30 ก.ค. 2021 เวลา 00:00 • ความคิดเห็น
บทความเรื่องอี้จิงที่ลงไปสัปดาห์ก่อน ผู้อ่านอาจอ่านจบในสิบนาที แต่ผู้เขียนใช้เวลาหาข้อมูลและเขียนมากกว่าสิบนาทีนับพันเท่า
1
บางครั้งบทความหนึ่งบทที่ดูง่ายต้องใช้เวลาอ่านตำราหลายสิบเล่ม ในช่วงเวลาหลายสิบปี
ฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่บ่อยครั้งเรื่องที่เขียนโดยเริ่มจากความไม่รู้เลย ต้องใช้เวลาศึกษานานก่อนจะเขียนได้
แม้กระทั่งเรื่องแต่ง บางครั้งก็ใช้เวลาเขียนนานมาก เช่น เรื่องสั้น เดือนช่วงดวงเด่นฟ้าดาดาว ใช้เวลาเขียนร่วมสองปี เพราะต้องอ่านงานของสุนทรภู่ทั้งหมดก่อน
ผมจำได้ว่าตอนอ่านเรื่องเกี่ยวกับจักรวาลวิทยา ผมเริ่มอ่านด้วยพื้นฐานความรู้แค่ 1 เปอร์เซ็นต์ (เพราะหลักสูตรโรงเรียนสอนมาแค่นั้น เช่น กลุ่มดาวจระเข้มีดาวกี่ดวง ระบบสุริยะมีดาวเคราะห์กี่ดวง) อีก 99 เปอร์เซ็นต์ต้องค่อยๆ แกะอ่านจากตำราต่างประเทศ กว่าจะพอเข้าใจและเขียนได้ ก็ปาเข้าไป 20-30 ปี
2
กว่าจะเขียนเรื่องเต๋าและเซน ผมก็ต้องงมอ่านมาอีกราว 30 ปี
งานเขียน 'วินทร์-วินทร์ Situation' ก็ต้องอ่านสะสมมานานราว 30 ปี กว่าจะพิมพ์หนังสือออกมาได้หนึ่งเล่มที่ขายไม่ได้
3
และยังมีอีกหลายศาสตร์ที่ไม่อยู่ในตำราเรียน
ศึกษายาก เข้าใจยาก เขียนให้อ่านง่ายก็ยาก และขายก็ยาก
บางคนอาจบอกว่า แล้ว 'tiger-ก' เขียนทำไม ทำไมไม่เขียนเรื่องที่รู้จริง
ก็ต้องตอบคำถามด้วยคำถามว่า หนึ่ง ในชีวิตคนคนหนึ่ง จะมีกี่เรื่องที่รู้จริง
เขียนไปสักหลายเรื่อง ก็อาจหมดข้อมูล
5
สอง เราสมควรเดินเข้าไปในพื้นที่ของศาสตร์ที่ไม่เคยรู้บ้างหรือเปล่า
โดยเฉพาะนักเขียนส่วนใหญ่มิได้มีประสบการณ์ตรงท่วมท้น มากจนพอเขียนได้ทั้งชีวิต
1
ดังนั้นการเดินเข้าไปในพื้นที่ไม่รู้จริงก็อาจจำเป็น โดยเฉพาะคนที่ริจะเป็นนักเขียนอาชีพ
1
ต่อให้เขียนนิยายอ่านเล่น ก็ยังต้องหาข้อมูลใหม่ตลอดเวลา
ผมคิดว่าไฟในการอยากเขียนเรื่องหนึ่งๆ อาจสำคัญกว่าเขียนเรื่องที่รู้จริงตลอดเวลา เพราะมันทำให้ต้องค้นคว้า ต้องก้าวไปไกลกว่าประสบการณ์ตรง
ผมเป็นสายพันธุ์จับฉ่าย สนใจหลายเรื่อง อยากรู้เรื่องนี้เรื่องนั้นไปหมด สนใจหลายเรื่องที่ไม่มีความรู้จริงมาก่อน หรือไม่ได้เรียนสายนั้น
2
บ่อยครั้งได้ยินคนบอกว่า "คุณไปเขียนเรื่องที่ถนัดไม่ดีกว่าหรือ?"
คำตอบคือเรื่องที่ถนัดก็มาจากความไม่ถนัดมาก่อนทั้งนั้น
มีใครบ้างในโลกที่เริ่มก้าวแรกในชีวิตนักเขียนด้วยความถนัด?
ทุกอย่างต้องฝึกทั้งนั้น การเรียนการค้นคว้าก็เป็นกระบวนการหนึ่งของการฝึก
แต่หลักการของผมคือ อยากเขียนเรื่องอะไร ก็เขียน ไม่เขียนตามใบสั่ง
ถ้าไม่รู้เรื่องไหน ก็เรียน
ถ้าได้ยินใครบอกว่า "เขียนไม่ดี เลิกเขียนเรื่องนี้เถอะ" ผมยิ่งอยากเขียนต่อ เพราะมีดีเอนเอ 'ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ' ฝังในโครโมโซมพอสมควร
4
ผมมักสนใจศาสตร์ที่ไม่ได้สอนในโรงเรียน อี้จิง เต๋า เซน ศาสนาต่างๆ ฟิสิกส์ จักรวาล ฯลฯ เหล่านี้เป็นหัวข้อที่ไม่น่าจะสนุก ไม่ค่อยมีคนสนใจ และ "ไม่รู้จะรู้ไปทำไม"
แต่ผมก็วนเวียนอยู่กับกองหนังสือที่ "ไม่รู้จะรู้ไปทำไม" และ "ขายไม่ได้" พวกนี้มาตลอดชีวิต
1
สงสัยจะเป็น masochist
2
โชคดีนะที่เป็นคนรวยมาก ขายหนังสือไม่ออก ก็ยังพิมพ์มาขายอยู่เรื่อย
6
เฮ้อ! กลุ้มใจจริงๆ ที่รวย
5
[ติดตามข้อเขียนของ วินทร์ เลียววาริณ ได้ทุกวันที่เพจ https://bit.ly/3amiAvG และ blockdit.com]
โฆษณา