29 ก.ค. 2021 เวลา 02:50 • ข่าว
รู้จัก ลอตเตอรี่อเมริกัน ที่มีรางวัลใหญ่หลักหมื่นล้าน
4
หากเราซื้อลอตเตอรี่ในไทย จะมีโอกาสถูกรางวัลที่ 1 คือ 0.0001% หรือก็คือมีโอกาสหนึ่งในล้านเท่านั้นและผู้โชคดีคนนั้นก็จะได้รับรางวัลมูลค่า 6 ล้านบาท
2
แต่รู้หรือไม่ว่าที่ประเทศสหรัฐอเมริกามีบริษัทลอตเตอรี่รายใหญ่ ที่นักเสี่ยงดวงมีโอกาสถูกรางวัลแจ็กพอตน้อยกว่ารางวัลที่ 1 ของไทยเป็นร้อยเท่า แต่เงินรางวัลที่ 1 ก็มากพอที่จะทำให้เรากลายเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้านได้เลยทันที
แล้วระบบลุ้นโชคแบบไหนที่ให้เงินรางวัลแจ็กพอตระดับหมื่นล้าน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
จริง ๆ แล้ว ประเทศสหรัฐอเมริกา มีผู้ออกลอตเตอรี่ที่ถูกต้องตามกฎหมายหลายราย ซึ่งเกือบทุกรัฐจะมีการออกลอตเตอรี่ของตัวเอง ปัจจุบันมีผู้ออกลอตเตอรี่มากถึง 48 รายการครอบคลุม 45 รัฐ
ในปี 2020 ชาวอเมริกันมียอดซื้อลอตเตอรี่มากถึง 2.67 ล้านล้านบาท โดยการซื้อและรับเงินรางวัลของลอตเตอรี่แต่ละรัฐจะเกิดขึ้นภายในรัฐหรือเขตพื้นที่ของแต่ละรัฐเท่านั้น
จึงทำให้ต่อมา เกิดการรวมตัวของหน่วยงานที่ออกลอตเตอรี่ในแต่ละรัฐ เพื่อที่จะขยายพื้นที่ในการจัดจำหน่ายมากขึ้นและก่อให้เกิดลอตเตอรี่ประเภทใหม่ 2 ประเภทคือ “Mega Millions” และ “Powerball”
แล้วลอตเตอรี่ทั้ง 2 รายการนี้ ต่างกันอย่างไร ?
1
รายการที่ก่อตั้งขึ้นก่อนคือ Powerball เริ่มดำเนินการครั้งแรกในปี 1988
ภายใต้ชื่อ Lotto America แรกเริ่มมีการวางจำหน่ายใน 7 รัฐ
3
จนในภายหลัง ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Powerball ในปี 1992 โดยจะแบ่งการออกรางวัลเป็นสัปดาห์ละ 2 ครั้งคือวันพุธและวันเสาร์
สำหรับวิธีการออกรางวัลของ Powerball คือ ผู้เล่นจะจ่ายเงินจำนวน 60 บาท
เพื่อตั๋ว 1 ใบสำหรับการเล่น 1 ชุดตัวเลขและผู้เล่นจะต้องเลือกลูกบอลสีขาวมา 5 ลูกและสีแดง 1 ลูก
1
โดยลูกบอลสีขาวจะมีเลขให้เลือกตั้งแต่ 1-69 และสีแดงตั้งแต่ 1-26 ซึ่งเงื่อนไขในการถูกรางวัลก็มีตั้งแต่ สีแดง 1 ลูก ไปจนถึงสีขาว 5 ลูกสำหรับรางวัลที่ 1 และหากทายถูกทุกลูกก็ได้เงินรางวัลแจ็กพอต
1
ทั้งนี้ผู้เล่นสามารถจ่ายเงินเพิ่มตั้งแต่ 30-300 บาท หรือเรียกว่า Power Play สำหรับการเพิ่มมูลค่าเงินรางวัลที่จะได้รับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 2 ถึง 10 เท่าของมูลค่าเริ่มต้น
ในขณะเดียวกัน ลอตเตอรี่ Mega Millions เริ่มครั้งแรกในปี 1996 ในชื่อ The Big Game
ซึ่งได้มีการปรับระบบการออกรางวัลจนมีลักษณะเหมือนกับ Powerball
2
แต่จุดที่แตกต่างกันจะอยู่ที่จำนวนลูกบอลสีขาวจะมี 70 หมายเลข และลูกบอลสีทองจะมี 25 หมายเลขและก็มีระบบ Megaplier ซึ่งมีหลักการเหมือน Power Play แต่เงินรางวัลสามารถเพิ่มได้สูงสุดที่ 5 เท่า
โดยที่ตั๋วของ Mega Millions จะถูกจำหน่ายอยู่ที่ใบละ 60 บาทเท่ากับ Powerball
และมีการออกรางวัลสัปดาห์ละ 2 ครั้งคือทุกวันอังคารและวันศุกร์
2
อีกหนึ่งจุดขายของลอตเตอรี่ดังกล่าว ก็คือรางวัลแจ็กพอตจะถูกทบต้นไปเรื่อย ๆ หากยังไม่มีใครถูกรางวัล
ซึ่งในปัจจุบันเงินรางวัลแจ็กพอตของ Powerball สูงถึง 4,500 ล้านบาท ในขณะที่ Mega Millions มีเงินรางวัลแจ็กพอต 3,500 ล้านบาท
แต่หากมีผู้ถูกรางวัลแจ็กพอตพร้อมกันในงวดนั้น เงินรางวัลทั้งหมดก็จะถูกหารตามจำนวนผู้ที่ถูกไปด้วย
จากระบบทั้งหมดนี้ ก็ถือเป็นแรงดึงดูดให้นักเสี่ยงโชคแห่กันเข้ามาเล่นลอตเตอรี่มากขึ้นเรื่อย ๆ ตามมูลค่าเงินรางวัลแจ็กพอตที่เพิ่มขึ้น
และถึงแม้ว่าเราจะเห็นโอกาสถูกรางวัลแจ็กพอตเพียงหนึ่งในหลายร้อยล้าน
แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะในปี 2021 นี้ แจ็กพอตของ Powerball ก็มีผู้ชนะรางวัลไปแล้วถึง 3 ครั้ง
ในขณะที่ Mega Millions ก็แจ็กพอตแตกถึง 2 ครั้ง เช่นกัน
1
เงินรางวัลที่มากที่สุดในปีนี้ของ Powerball คือ 22,000 ล้านบาท
ในขณะที่ Mega Millions มีจำนวนมากถึง 31,500 ล้านบาท
ทั้ง 2 ครั้งเป็นการออกรางวัลที่ห่างกันเพียง 2 วันเท่านั้น
3
อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือวิธีการให้รางวัล ที่บอกแบบนั้นก็เพราะว่ามันมีเงื่อนไขอยู่ว่า หากเราอยากรับเงินรางวัลเต็มจำนวน เราก็จะได้รับเป็นการแบ่งจ่ายเงินรางวัลออกเป็นปี ปีละ 1 งวด ทั้งหมดมี 30 งวด
แต่ถ้ารับทีเดียวทั้งก้อนทันที เราก็จะได้รับเงินรางวัลเพียง 1 ใน 3 ของมูลค่าทั้งหมด
2
ทีนี้ก็น่าจะมีคนสงสัยว่าแล้วเงินที่ได้จากการขายลอตเตอรี่จำนวนมหาศาลนี้ถูกเอาไปทำอะไร ?
1
หลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว เงินที่เหลือจะถูกส่งมอบให้กับส่วนกลางของแต่ละรัฐ
โดยแบ่งตามสัดส่วนยอดขายที่แต่ละรัฐทำได้ ซึ่งเงินดังกล่าวจะถูกนำไปใช้เพื่อสาธารณประโยชน์
เช่น สร้างถนน ปรับปรุงโรงเรียน สนับสนุนกองทุนต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมของรัฐ
หรือแม้แต่การสนับสนุนโครงการบำบัดผู้ที่ติดการพนัน
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รางวัลแจ็กพอตใหญ่สุดที่เคยมีผู้ได้รับเป็นของรายการ Powerball ในปี 2016 ด้วยมูลค่ากว่า 47,500 ล้านบาท แต่กลับมีผู้ถูกรางวัลถึง 3 คน จาก 3 รัฐ ทำให้ต้องแบ่งเงินรางวัลเป็น 3 ส่วน เท่า ๆ กัน..
โฆษณา