29 ก.ค. 2021 เวลา 02:12 • หุ้น & เศรษฐกิจ
" Peter Lynch " ตำนานที่ยังมีลมหายใจ
วันนี้ จะมาแชร์มุมมองของคุณ Peter Lynch ให้ทุกคนให้ทำความเข้าใจกัน จากหนังสือ One Up On Wall Street.
- ใช้สิ่งที่คุณรู้อยู่แล้วในการทำเงินในตลาด
.... ครับสิ่งที่ง่าย แต่คนเลือกที่จะฟังความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญมากกว่าจะเชื่อตนเอง
- Microsoft ไม่ได้ทำธุรกิจกล่อง แต่ มันขาย น้ำมันที่จะเอามาขับเคลื่อนกล่อง ทำให้บริษัทแทบไม่มีผลกระทบในเรื่องของการตัดราคา
.... กล่องในที่นี้ หมายถึง HardWare ต่างๆ ซึ่งมีการแข่งขันกันสูงมาก ทำให้มีการตัดราคา เพื่อแย่งลูกค้า ผลกำไรบริษัทที่ขาย Hardware จึงลดลง แต่ไม่ใช่สำหรับ Microsoft ที่ขาย Software ซึ่งเปรียบเสมือนน้ำมัน ที่ Hardware ต่างๆย่อมต้องใช้
- Peter Lynch มองว่า การปรับตัวของตลาดคือ การตกลงไป อย่างน้อย 10% ซึ่งอาจจะเกิดทุกๆ 2-3 ปี ตลาดหมี คือการตกลงไปอย่างน้อย 20% ซึ่งเกิดทุกๆ 6 ปี และ ตลาดหมีร้ายแรง คือการตกอย่างน้อย 30% ซึ่งอาจจะเกิดทุก 5-10 ปี
.... Peter Lynch ให้มุมมองว่า มันเป็นเรื่องโง่เขลาที่จะเดิมพันว่า เมื่อไรตลาดหมีจะมา แต่ควรวางแผนเงินไว้ใช้ให้เพียงพออย่างน้อย 12 เดือนข้างหน้า
1
- Peter Lynch กล่าวว่า จากประสบการณ์ 20 ปี ในการลงทุน ... เขามั่นใจว่า คนธรรมดา 3% ที่ใช้สามัญสำนึกเลือกหุ้นในดีกว่าผู้เชี่ยวชาญใน Wall street .... ยกตัวอย่างเช่น ภรรยาของคุณเองที่แนะนำหุ้น 10 เด้งให้เขา จากการไปเดิน Shopping
1
- เลิกเชื่อ ผู้เชี่ยวชาญจาก Wall street เพราะ 3 เหตุผลต่อไปนี้
1. เขาอาจจะผิด ... ในพอร์ตลงทุนของ Peter Lynch มีถึง 40% ที่เขาเลือกผิด
2. แม้ว่าเขาอาจจะถูก ... คุณก็ไม่มีทางรู้ว่าเขาจะเปลี่ยนใจและขายออกไปเมื่อไร
3. คุณมีข้อมูลที่ดีกว่า... และที่สำคัญ มันอยู่รอบตัวคุณ ซึ่งคุณสามารถติดตามมันได้จากการเป็นผู้ใช้บริการโดยตรง และการกระทำนั้นอาจทำให้คุณพบหุ้น 10 เด้งก่อนที่ Wall street จะมาเจอด้วย
- นักลงทุนรายย่อยมักมองโลกในแง่ร้าย และดี ในเวลาที่ผิดอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่แพ้ภัยตัวเองที่พยามจะพยามลงทุนในภาวะตลาดหุ้นที่ดี เพราะเขาจะได้ผลตอบลัพธ์ที่เลวแทน
1
- Peter Lynch เปรียบเทียบผู้เชี่ยวชาญใน Wall Street ว่า เหมือร ชาวกรีกในยุคแรก ที่จะมานั่งล้อมวงกันเป็นวันๆ และถกเถียงกันว่า ม้ามีฟันกี่ซี่ พวกเขาคิดว่าเขาสามารถหาตัวเลขนั้นได้โดยเพียงแต่นั่งกันอยู่ตรงนั้นแทนที่จะออกไปตรวจฟันม้า
... เปรียบเสียบกับการวิเคราะห์หุ้นว่า แทนที่เราจะไปสำรวจบริษัท ติดต่อนักลงทุนสัมพันธ์ การที่มานั่งถกเถียงกันว่าหู้นจะขึ้น หรือลง
1
- เราจะมองได้ไกลออกไป... เป็นเพราะเรายืนอยู่บนบ่าของยักษ์
- ถ้าหุ้นตกแต่พื้นฐานยังเป็นบวก... สิ่งที่ดีที่สุดก็คือ ถือต่อ หรือ ถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีกก็คือ ซื้อเพิ่ม
1
- ก่อนจะซื้อหุ้นสักตัวหนึ่ง มีประเด็นที่จะต้องพิจารณา 3 ข้อ
1. ผมมีบ้านไหม... สำหรับ Peter Lynch แล้วนั้น บ้านคือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด ในระยะยาว เพราะว่า การที่เราจะเลือกซื้อบ้านสักหลังหนึ่ง ต้องเลือกแล้วเลือกอีก ทั้งทำเล โครงสร้าง วัสดุ ราคาเปรียบเทียบ และระยะเวลาการอยู๋อาศัย.... ถ้าคุณเลือกซื้อหุ้น ได้อย่างการเลือกซื้อบ้าน คุณจะไม่มีวันล้มเหลว ขาดทุนในการลงทุนแน่นอน
2. ผมจำเป็นต้องใช้เงินก้อนนั้นหรือไม่
.... จงลงทุนเฉพาะเท่าที่คุณสามารถที่จะเสียได้โดยที่การขาดทุนนั้นจะไม่มีผลต่อชีวิตประจำวันของคุณในอนาคตที่พอจะเห็นได้
3. ผู้มีคุณสมบัติของคนที่จะสำเร็จหรือไม่
.... เพราะในความเป็นจริงแล้ว ถ้าคุณคิดแบบวิทยาศาสตร์ใน Wall street ผลลัพธ์ที่คุณจะได้คือ คุณจะช้าไปเสมอ เพราะคุณไม่มีทางได้ข้อมูล ตัวแปรจนครบทุกอย่างก่อนที่คุณจะ ซื้อหุ้นนั้น ซึ่งในความเป็นจริงคุณอาจจะต้องตัดสินใจซื้อบนความไม่ชัดเจน
.... Peter Lynch ยกตัวอย่างก่อนที่จะเกิด Great Depression 1990 นั้น ช่วงนั้น ตลาดมีแต่ความชัดเจนของบริษัท รายได้และกำไรดีงาม อีกทั้ง แผนการลงทุนในอนาคตดูจะเป็นไปได้มาก นักลงทุกมองโลกในแง่ดีสุดๆ แต่ช่วงนั้น ปีเตอร์ กลับมองว่าเป็นช่วงที่หุ้นกำลังจะแย่ที่สุด เช่นกัน
- ชาวสวนที่แท้จริงจะรอจนทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเย็นลง และซื้อหุ้นที่ไม่มีคนสนใจ โดยเฉพาะหุ้นที่ Wall street งาวงหวาวหาวนอน
... คุณจะต้องยืนหยัดกับหุ้นของคุณตราบใดที่พื้นฐานของบริษัทไม่ได้เปลี่ยน อย่าไปสนใจตลาด!
... จำไว้ว่างสิ่งต่างๆ จะไม่มีวันชัดเจนจนกระทั่งมันสายเกินไป
- วิกฤติ ไม่เคยมารูปแบบเดิม
... แน่นอนเราพยามศึกษาอดีต และเตรียมการป้องกัน วิกฤติในแบบที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็จะไม่ค่อยเกิดขึ้น ในทางกลับกัน อะไรที่ไม่คิดว่าจะเกิด เราไม่ได้วางแนวทางป้องกัน นั่นแหละ วิกฤติรูปแบบใหม่ ที่จะเกิดขึ้น
.... จึงเป็นเรื่องโง่เขลาที่จะ เดิมพันว่าวิกฤติจะเกิดอย่างไร แต่จะฉลาดกว่าถ้าเรามีเงินพร้อมสำหรับวิกฤติทุกๆครั้ง
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนทุกท่าน
โฆษณา