31 ก.ค. 2021 เวลา 11:01 • ความคิดเห็น
คำพังเพยว่าเอาไว้ "ความรักทำให้คนตาบอด"
แต่ผมว่า "อำนาจ" ต่างหากที่ทำให้คนตาบอด!!
1
ว่ากันว่า ใครมีอำนาจมากกว่า ย่อมกลายเป็นผู้ที่ชนะ
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ล้วนไม่มีคำว่า "เสมอไป" ไม่มีอะไรที่ "ตั้งอยู่" และไม่ "ดับไป"
เหตุการณ์ "ตาบอด" ในอดีต.......
-ยุคสามก๊ก-
ชายผู้ตาบอด คนที่ 1 "โจโฉ"
เมื่อโจโฉ ชนะ อ้วนเสี้ยว ที่ศึก กัวต๋อ ด้วยกำลังคนน้อยกว่า 1 ต่อ 10
ได้ทำให้โจโฉ กลายมาเป็นผู้กุมอำนาจในแผ่นดินแทน
โจโฉใช้อำนาจที่มี ปราบหัวเมืองต่างๆ ที่กระด้างกระเดื่อง จนคุม พื้นที่แทบจะทั้งหมดของตอนเหนือ
จะเหลือก็แต่ฝั่งใต้ ซึ่งมี สกุล "ซุน" เป็น ผู้นำค้ำจุนอยู่
และก็ยังมี ก้างชิ้นเล็ก ที่คอยขัดคอ มาเนิ่นนาน อย่างเล่าปี่ คอยทิ่มแทงมานานเสียนาน
ด้วยความที่มีอำนาจ ล้นมือ อยู่ตอนนั้น ก็เลยคิดอยากที่จะกำจัดเสี้ยนหนามทั้ง 2 ทิ้ง
ยกพลเรือนแสน สู่ "กังตั๋ง" เพื่อกำราบ สกุล "ซุน" และหวังกำจัด "เล่าปี่"
สุดท้าย พ่ายแพ้ ยับเยิน ให้กับ พันธมิตร "ซุน-เล่า" เอาชีวิตแทบไม่รอด
และหลังจากนั้นก็ไม่เคยออกทัพอีกเลย
ความตาบอด น่าจะเริ่มจากความผยองที่รบใครก็ชนะมาตลอด 10 ต่อ 1 ก็ win มาแล้วพอตาบอด ก็มองไม่เห็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ทีละจุดๆ อย่างไม่น่าจะเป็น
เริ่มจาก ตั้งแต่ บังทอง มาแนะนำให้ผูกเรือ เพื่อที่จะให้ทหารเดินสะดวก เสมือนรบบนบก
ประหาร "ชัวมอ" ผู้ชำนาญการรบทางน้ำ และสุดท้ายก็เสียท่าด้วย เพลิง
ทั้งหมดทั้งมวล ถึงแม้จะเป็นกลอุบายที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อหลอก "โจโฉ"
แต่ถ้าไม่ใช่เพราะ "อำนาจ" ทางทหารที่มีล้นพ้น ชนิดเป็นต่อ 10 ต่อ 1 ก็คงไม่มีทางที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นได้แน่ๆ
เพราะ "อำนาจ" ทำให้ โจโฉ ตาบอด จนมองไม่เห็น อุบายต่างๆ ที่หากคิดอย่างรอบคอบ ก็คงไม่เป็นเช่นนี้
ชายตาบอด คนที่ 2 "เซอร์ซีส"
ชื่อนี้พูดไปใครก็คง งง และคิดไม่ออก ว่าเค้าคือใคร
แต่ถ้าบอกว่าเขาคือ กษัตริย์ เปอร์เซีย ที่ยกพลมาหมายขยี้ เอเธนส์ จนทำให้เกิดสงครามในภาพยนต์เรื่อง 300 ขึ้นมา ก็คงจะอ๋อ กันบ้าง
ตอนนั้นครับทางเปอร์เซียนำโดยจักรพรรดิ์นามว่า "เซอร์ซีส" กรีธาทัพมาเป็นจำนวนมากสุดถึง 1 ล้านคน หวังที่จะมาตีกรีกให้ได้
นอกจากกำลังคนแล้ว น่าจะไม่มีอะไรดีเลย จึงลืมศึกษาแม้กระทั่ง ภูมิประเทศของ กรีก ที่จะเข้ามาโจมตี
ด้วยความที่ภูมิประเทศ มีภูเขาแล้วก็ช่องแคบเยอะ แถมยังโอบล้อมด้วยทะเล การจะเดินทัพทางเท้า ก็ต้องผ่านช่องแคบหนึ่ง ซึ่งนั่น ก็เป็นที่มั่นของกองทัพสปาร์ตา 300 นายและพันธมิตรอีก 700 นาย ไปดักรอที่ช่องแคบเพื่อที่จะสกัดกั้นกองทัพของเปอร์เซีย
ตอนนั้นจักรพรรดิ์ "เซอร์ซีส" ก็คงไม่คิดหรอกว่า กองทัพแค่ 1 พันนาย จะไปยันกองทัพของเขาได้
แต่ผลก็กลับ ตาลปัตร เพราะสามารถยื้อไว้ได้จน ผู้นำของชาวเอเธนส์ ที่มีชื่อว่า
"เธมิสโตคลีส" ทำการอพยพคนได้ทัน
เมื่อกองทัพของเปอร์เซียไปถึงเอเธนส์ ก็พบเมืองที่แทบจะว่างเปล่า ก็ได้ทำการเผาเมืองเอเธนส์จนราบเป็นหน้ากลอง
นอกจากนั้นพวกเขายังสืบพบว่ามีกองทัพเรือกอง 1 มุ่งหน้าไปยังเกาะซาลามิส
จักรพรรดิ์ "เซอร์ซีส" สั่งให้ กองทัพเรือ ออกติดตามไปทันที
แต่หารู้ไม่ว่า....... นี่คือ กับดัก ที่ถูกวางไว้
ด้วยความที่กองทัพเรือของเปอร์เซียเป็นเรือใหญ่ เมื่อเจอกับภูมิประเทศที่เป็นเกาะแก่งของกรีกแล้ว จึงเดินเรือได้ค่อนข้างยาก ซึ่งในตอนนั้นกองทัพเรือของเอเธนส์ที่มีลักษณะเป็นเรือเล็กได้ลอบเข้าโจมตี
จนในที่สุด กองทัพเรือ พ่ายแพ้และแตกพ่ายไป
นั่นทำให้ จักรพรรดิ์ "เซอร์ซีส" สูญเสียกำลังพลไปมหาศาล
สุดท้ายชัยชนะตกเป็นของฝั่งเอเธนสทางเปอร์เซียล่าถอยไปในที่สุด
ความตาบอดของ จักรพรรดิ์ "เซอร์ซีส" นั้น ไม่ต่างกับ ของ โจโฉ สักเท่าไหร่ ที่เห็นว่าตนเอง มีกำลังพลมากกว่า จึงน่าจะเอาชนะได้ง่าย ๆ แต่สุดท้าย กลับพ่ายแพ้กลับมาอย่างหมดท่า
ชายตาบอด คนสุดท้าย John Antioco (จอร์น อันติโก้)​
ในอดีตเคยมีบริษัทหนึ่งที่ทำธุรกิจเกี่ยวการเช่าวีดีโอ ซึ่งมีชื่อว่าบล็อกบัสเตอร์ ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจเช่าวีดีโออันดับ 1 ของอเมริกาในตอนนั้น หลังจากนั้นก็มีธุรกิจเช่าวิดีโอเกิดขึ้นมาเป็นคู่แข่ง พวกเขามีชื่อว่า netflix
Pain Point ที่ netflix นำมาใช้ในการเรียกลูกค้าจากบล็อกบัสเตอร์มันก็คือค่าปรับ ในการเช่าวีดีโอ
เพราะ บล็อกบัสเตอร์ คิดค่าปรับ วีดีโอ แพง เขาก็เลยทำให้มันถูกเพื่อแย่งลูกค้าจาก บล็อกบัสเตอร์
แต่ด้วยความที่เป็นบริษัทเล็กๆ สายป่านในการทำธุรกิจนั้นยังค่อนข้างสั้น
1
ทำให้สุดท้ายพวกเขาก็ต้องยอมแพ้ให้กับบริษัทใหญ่อย่างบล็อกบัสเตอร์ จนในที่สุด มาถึงจุดที่ต้องเสนอขายกิจการของตัวเองให้กับบล็อกบัสเตอร์
และเหตุการณ์ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยน ครั้งยิ่งใหญ่ให้ กับ netflix ก็คือวันนั้นที่ สองผู้ก่อตั้ง Reed Hastings และ Marc Randolph ได้เข้าไปเจรจากับ John Antioco ผู้เป็น ceo ของบล็อกบัสเตอร์ในตอนนั้น
Reed Hastings และ Marc Randolph ได้เสนอขายบริษัทของพวกเขาในราคา 50 ล้านเหรียญ (ราคาโดยประมาณ)
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ John Antioco กลับหัวเราะเยาะใส่พวกเขา และก็บอกว่า บริษัทโนเนมอย่างพวกเขาเนี่ยนะ จะให้ซื้อด้วยราคาขนาดนั้น คงเป็นไปไม่ได้
1
หลังจากวันนั้น Reed Hastings และ Marc Randolph ได้ลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง พยายามพัฒนาธุรกิจของตัวเองจนสุดท้ายกลายมาเป็น netflix Streaming อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน แล้วก็ไม่ต้องบอกเช่นกันครับว่า ทุกวันนี้ไม่มีบริษัทที่ชื่อว่าบล็อกบัสเตอร์ แล้ว และชายตาบอดที่ชื่อว่า John Antioco ทุกวันนี้ ก็ไม่รู้ไปอยู่ไหนแล้ว
1
ความตาบอดของ John Antioco นั้นคือการที่หลงคิดว่า บริษัทตัวเอง ครองอันดับ 1 มาโดยตลอด กำไรตอนนี้ตัวเองก็เป็นอันดับหนึ่ง แล้วทำไม ฉันจะต้องไปเปลี่ยนหรือ ไปสนใจบริษัทเล็กๆ แบบนั้นด้วย
แต่เพราะแบบนั้นแหละครับ เรื่องราวนี้เลยกลายเป็นเรื่องสนุกที่ถูกเล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้
ข้อเสนอที่ รี๊ด และ มาร์ช เสนอขายไม่ใช่แค่เรื่องกิจการของ Netflix เท่านั้น แต่ยังเป็นการดูแลและพัฒ​นาในส่วนของ online ให้ บล็อก​บัสเตอร์ด้วย
ความตาบอดของ จอร์น อีกข้อก็น่าจะเป็นการดูแคลน ใน​เรื่อง​ online นั่นเอง
นี่แหละตัวอย่างของ อำนาจที่ทำให้คนตาบอด
แท้จริงแล้ว ไม่ใช่เพียงความรัก ที่ทำให้คน "ตาบอด"
แต่ "อำนาจ" ที่มี ก็ทำให้ "ตาบอด" ได้เช่นเดียวกัน
ผู้ที่อยู่ในอำนาจ จะเฝ้ามอง แต่สิ่งที่เขาต้องการ และ มองไม่เห็นในสิ่งที่เขาไม่ต้องการ
จริงอยู่ที่อำนาจอาจจะทำให้หลายๆอย่างสะดวกสบาย สามารถ และทำอะไรได้ "ง่ายกว่า" แต่สุดท้ายแล้ว "อำนาจ" ก็ไม่ใช่ตัวตัดสินทุกสิ่งทุกอย่าง
ผู้ที่มีอำนาจอยู่ในมือของตัวเองมักจะตกอยู่ในภาวะ "ประมาท"มากกว่าคนที่ไม่มีอำนาจ
และ "ตาบอด" จนมองไม่เห็น Pain Point ที่สำคัญทั้ง ๆ ที่ควรจะเห็น จนในที่สุดวันหนึ่งกว่าจะ "ตาสว่าง" นั้นก็เมื่อ "สาย" จนเกินไป
ขอให้บทเรียนทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเป็นข้อคิดเตือนใจให้ทุกคนไม่หลงระเริงไปกับอำนาจที่มีอยู่ และไม่ "ตาบอด" จนมองข้าม สิ่งที่ควรจะ "มองเห็น" ได้
เพราะ เมื่อใดก็ตามที่คุณ "ตาสว่างแล้ว" อาจจะไม่เหลืออะไรเลย แม้กระทั่ง "อำนาจ" ที่เคยมี
โฆษณา