2 ส.ค. 2021 เวลา 01:59 • นิยาย เรื่องสั้น
บันทึกกึ่งนิยาย ตอนที่ 1
"Do you believe in True Love?"
แม่สะเรียง/แม่ฮ่องสอน/ปาย
แม่สะเรียง / 17 ก.พ. 2545

อำเภอเล็ก ๆ ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่น้อยคนนักจะรู้ว่าเป็นที่ตั้งของ อุทยานแห่งชาติสาละวิน ฉันเตรียมตัวพร้อมด้วย คู่มือนำเที่ยวจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นหนังสือเล่มเล็กกระทัดรัดที่บอกหมดว่าจะขึ้นรถไปถึงแม่สะเรียงด้วยวิธีใดบ้าง หรือจะหาที่พักราคาเท่าไหร่ ตรงไหน ฉันไล่สายตาตามแผนที่ของ เมืองแม่สะเรียง พบว่ามี เกสท์เฮาส์อยู่กระจายเต็มตัวเมือง เพียงแต่มีอยู่ไม่กี่แห่งที่ติดกับแม่น้ำ หมายตาเกสท์เฮาส์ราคาถูกที่ระบุในคู่มือว่า ราคาประมาณ 80 – 120 บาท
เมื่อรถจอด และคนทยอยลง ฉันก็ลงบ้างหารู้ไม่ว่ามันยังไม่ถึงท่ารถเป็นแค่ปากทางเข้าเมือง แต่ด้วยความที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะทำหน้า “ฉลาด” เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเอง จึงเดินลงมาจากรถอย่างมั่นใจไม่มีการถามว่าถึงรึยัง ฉันกวาดสายตาไปเจอพี่ชายวัยกลางคนในกลุ่มมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่มารุมถาม ระบุจุดหมายปลายทางอย่างฉาดฉาน “ไปริเวอร์ไซด์เกสท์เฮาส์ค่ะ”
ระหว่างที่นั่งซ้อนท้าย ฉันตกลงใจจะให้ “พี่ต๋อย” มอเตอร์ไซด์รับจ้างมารับตอน บ่ายโมง เพื่อจะให้พาชมวัดวาอารามที่ขึ้นชื่อของเมืองแม่สะเรียง
อากาศในเดือนกุมภาพันธ์ ยังเย็นอยู่สำหรับเมืองที่ขึ้นชื่ออย่าง “เมืองสามหมอก” เมืองในหุบเขาที่มีหมอกทุกฤดู
ริเวอร์ไซด์เกสเฮาส์ เป็นบ้านไม้ธรรมดาที่ติดถนนเล็ก ๆ นอกจากห้องพักบนตัวบ้านยังมีห้องพักที่อยู่ทางด้านล่างเดินลงไปได้อีก 3 ห้อง มีระเบียงยาวยื่นออกไปใกล้กับแม่น้ำยวม และต้นไม้ที่ร่มครึ้มคลุมระเบียง เก้าอี้สีขาววางเรียงรายให้นั่งละเลียดอารมณ์ปล่อยใจไปกับสายน้ำด้านล่าง มองไกลออกไปจะเห็นขุนเขาเรียงรายเสมือนกำแพงสีเขียวโอบล้อมเราไว้อย่างจนมุมด้วยความเต็มใจยิ่ง ฉันพักห้อง “C” ตรงระเบียงนี้ในสนนราคาคืนละ 100 บาท
ระหว่างที่รอให้เข็มนาฬิกามาหยุดที่เวลาบ่ายโมงเพื่อจะออกไปชมเมืองกับพี่ต๋อยแมงกะไซค์ ฉันพลิกคู่มือนำเที่ยว เพื่อหาสถานที่น่าสนใจ พบว่ามีแต่วัด และ วัด และ วัด ฉันตัดใจจะลองดูกับวัดสักตั้งเผื่อว่าการเที่ยวแบบนี้จะทำให้ฉันสนใจสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า “วัด” ขึ้นมาได้บ้าง เมื่อพี่ต๋อยมาฉันจึงร่ายรายชื่อวัดที่คิดว่าน่าสนใจวัดพระธาตุจอมมอญ และ วัดจองสูง เผื่อพี่ต๋อยจะจัดสรรเส้นทางได้ถูก
วัดพระธาตุจอมมอญ ทางวัดมีบันไดให้นักท่องเที่ยวและชาวบ้านได้เดินขึ้นไปสักการะ และนมัสการ พระธาตุที่บนยอดเขา พี่ต๋อยถามว่าอยากเดินขึ้นรึเปล่า เดี๋ยวพี่จะแบกขาตั้งกล้องแล้วก็ขี่มอร์ไซค์ขึ้นไปรอข้างบน ซึ่งฉันตอบโดยไม่ต้องคิดว่า ไม่เป็นไรค่ะ ศรัทธาหนูไม่แก่กล้าพอ ไปพร้อมกับพี่ดีกว่าค่ะ
2
เมื่อลงมาจากวัดฉันรีบบอกให้พี่ต๋อยแวะที่ชลประทาน ก่อนที่พี่ต๋อยจะมุ่งพาไปยังวัดต่อไป ให้ตายสิเที่ยววัดอย่างนี้ไม่สนุกเลย รู้สึกไม่ถูกกับจริต เรานั่งพักที่ใต้ต้นไม้ครึ้มริมน้ำ หลังจากเป็นฝ่ายให้พี่ต๋อยซักถามมาโดยตลอด จึงถือโอกาส ซักถามพี่เค้าบ้าง
พี่ต๋อยเล่าว่ามีลูกสาวสองคน เมื่อก่อนพี่ต๋อยมีรถยนต์เป็นของตัวเองและมีอาชีพขับรถรับส่งนักเรียน แต่เมื่อปลายปี ต้องการซื้อบ้านจึงขายรถนำเงินมาสมทบซื้อบ้านแทน แล้วจึงออกมอเตอร์ไซค์ แล้วเปลี่ยนอาชีพมาเป็นอย่างปัจจุบัน
พี่ต๋อยถามฉันว่า ที่เขาตัดสินใจขายรถซื้อบ้านน่ะเป็นการตัดสินใจที่ผิดหรือถูก บอกตรง ๆ ว่าฉันไม่มีสิทธิตัดสินชีวิตคนอื่น ยิ่งเรื่องผิด-ถูก ยิ่งแล้วใหญ่ ไม่รู้จะเอาอะไรมาวัด แต่ที่แน่ ๆ พี่ตัดสินใจไปแล้ว เอาเป็นว่าวางแผนเรื่องอนาคตดีกว่าพี่ เรื่องนี้ยังพอมีเวลาได้ไตร่ตรอง ส่วนเรื่องอดีตเอาเก็บไว้เป็นข้อมูลสำหรับอนาคตดีกว่า พี่ต๋อยยิ้มกว้าง “จริงด้วยสิ! ลืมคิดไปเลย”
3
ทั้ง ๆ ที่ตัดสินใจจะอยู่แม่สะเรียงนานกว่า 1 คืนแต่การเที่ยวรอบเมืองอย่างที่ผ่านมาทั้งวัน ทำให้ฉันเหงาหนักกว่าปกติ ในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากถ่ายรูปกลุ่มไอหมอกหนาหนักลอยละเลียดขึ้นมาจากแม่น้ำยวม ฉันก็เดินเข้าไปเก็บกระเป๋าโดยไม่ได้ถามตัวเองให้แน่ว่าจะเอายังไง มือมันเก็บของโดยอัตโนมัติ กว่าจะรู้ตัวจริง ๆ จัง ๆ ก็นั่งอยู่บนรถสาย เชียงใหม่ – แม่ฮ่องสอน ซะแล้ว
แม่ฮ่องสอน / 18 ก.พ. 2545
เมื่อเท้าสัมผัสแม่ฮ่องสอนได้ไม่กี่นาที ใจก็อยากกระโดดขึ้นรถไปต่อ ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อาจเป็นเพราะ อากาศของเที่ยงวันนั้น ที่พระอาทิตย์ทำมุมแทยงมาโดนโคนหัวใจพอดีกระมัง มันถึงได้ร้อนจนเหี่ยว และหดหู่
1
พยายามหาเรื่องชุบชูจิตใจ อย่างเดินเที่ยว เดินกินตามตลาด แวะนมัสการวัดชื่อดังของจังหวัดที่มีรายชื่อเรียงไว้ในหนังสือคู่มือนำเที่ยว ไม่อยากจะคิดว่าเป็นเพราะเดินทางคนเดียว อารมณ์เหงาเลยเข้ามาเกาะง่าย อารมณ์เบื่อก็กระโดดงับ
แต่คิดในทางที่ดีว่า คงเป็นที่เรายังหาเส้นทางของตัวเราไม่เจอ ความรื่นเริงจึงยังไม่บังเกิด ทั้ง ๆ ที่อะไรก็พร้อม อย่างเช่นเวลาที่มีอยู่ในมือเต็ม ๆ 2 เดือน ไม่มีห่วงอะไรทั้งสิ้นแท้ ๆ เอาเป็นว่าจะลองดูซักตั้งถ้ามันยังเบื่อ ยังเหงา ก็จะหอบกระเป๋ายกธงขาวกลับบ้าน …. ก็ได้
ในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นฉันว่าจ้างมอร์เตอร์ไซค์ด้วยสนนราคา 30 บาท เมื่อขี่ลัดเลาะจนขึ้นมาถึงยอดเขา พี่ชายถามอย่างเป็นห่วงว่า แล้วจะลงยังไง อึ้งไปพักนึง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบพี่เค้าว่าไง เช้าขนาดนี้ไม่มีรถรับจ้างรายไหนเปิดให้บริการเลย
วัดพระธาตุดอยกองมู ขึ้นชื่อเรื่องสถาปัตยกรรมที่งดงามและมีเอกลักษณ์ ทั้งยังเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นเมืองทั้งเมือง และเช้าวันนั้นฉันเห็นเมืองแม่ฮ่องสอนนอนสงบนิ่งอยู่ใต้ทะเลหมอก จวบจนแสงสีทองค่อยๆ สาดซัดท้องฟ้าอย่างช้า ๆ ฉันไม่พลาดที่จะใช้ประสาททุกส่วนที่สามารถเก็บทุกวินาทีแห่งการเคลื่อนไหวของโลก และความมหัศจรรย์ของพระอาทิตย์ ผู้เป็นเสมือนพลังที่คอยเติมให้แต่ละชีวิต โลดแล่นไปตามเสียงของชีพจร และเมื่อพระอาทิตย์แสดงตน ฉันก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของเมืองข้างล่าง
ฉันแน่ใจว่าเพราะพลังของพระอาทิตย์ยามเช้า ทำให้ฉันเดินลงจากยอดเขา ลงมายังที่พักด้วยระยะทางเท่าไหร่ไม่รู้แต่นานร่วมชั่วโมง โดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือหงุดหงิดแต่อย่างใด ถึงกระนั้นก็ตามทีฉันรีบเก็บของลงเป้เมื่อมาถึงที่พักและจากลาโดยไม่อาลัยอาวรณ์ จับรถทัวร์ไปยังที่หมายใหม่ “ปาย” เมืองที่เป็นความหวังลึก ๆ ในใจว่าจะช่วยให้ฉันค้นพบการเดินทางอันรื่นรมย์
ปาย/ 19 ก.พ. 2545
รถเมล์เล็กสายย่อย แม่ฮ่องสอน-ปาย มีเพียงฉันและเด็กนักเรียน 3 คน กับ เด็กเก็บตังค์และคนขับรถ ทำให้ชักไม่แน่ใจในเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า “ปาย” กำลังเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวไทย-เทศ ก็ไม่เห็นหัวนักท่องเที่ยวซักคนนอกจากหัวตัวเอง ซึ่งทำให้ฉันรีบลบภาพเมือง”ปาย” ในฝันออกจากสมองทันที กลัวจะฝันเกินจริง!
เมื่อรถเริ่มลัดเลาะทิวเขา ฤทธิ์ยาแก้เมาก็เริ่มทำงาน ฉันแน่ใจแล้วว่า ยาแก้เมารถก็คือยานอนหลับอย่างแรงดี ๆ นี่เอง กินไปแค่ไม่กี่นาทีหลับทันตาเห็น ฉันไม่อยากเสี่ยงแม้เพื่อนจะบอกว่าอย่าพลาดขุนเขาเขียวขจี และไม้ดอกสีสดที่อยู่ดี ๆ ก็ขึ้นมาแซมอยู่โดดเด่นเพียงต้นเดียว กลัวว่าความเขียวสดจะไม่อาจต้านทานพายุในช่องท้องและอาการวิงเวียนไปได้ ก็เรื่องรถราไม่ถูกกันมาแต่ไหนแต่ไร หารู้ไม่ว่าอีกเดือนกว่า ๆ ข้างหน้าต้องผจญกับรถตลอดการเดินทาง ออกจะสาหัสกว่ากันด้วยซ้ำ
รถจอดพัก 10 กว่านาที ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งเข้าใจว่าคงเป็นจุดหยุดพักรถ ก่อนรถออกไม่กี่เสี้ยววินาที ชายฝรั่งร่างสูงวิ่งขึ้นมา ยืนบนรถทำท่าโล่งใจแล้วหันไปทางคนขับ “ขอบคุณครับ” ภาษาไทยเกือบใช้ได้ ดูจากเสื้อผ้าแสนโทรมค่อนไปทางโสโครกและเป้เดินทางใบยักษ์มอซอ ก็รู้ได้โดยง่ายว่าคงขลุกอยู่ที่หมู่บ้านนั้นหรือใช้เวลาก่อนหน้านั้นมามิใช่น้อย เห็นแล้วอยากเป็นบ้าง อยากดูสกปรกบ้าง เหมือนว่าได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ เป็นอย่างที่ไม่เคยคิดจะเป็น ก้มลงมองเป้ตัวเองที่อยู่ข้าง ๆ สีสดที่มองเห็น ฟ้องตำตาว่ามือใหม่หัดเดิน
3
เมื่อรถจอดที่ท่ารถเมืองปาย ฉันแบกเป้ขึ้นหลังเดินตรงดิ่งไปยังทิศที่มั่นใจว่าต้องเป็นที่พักอันหมายตาไว้และยังไม่เลิกทำหน้าฉลาด เมืองปายไม่มีคิวมอร์ไซค์ที่ท่ารถให้เรียกใช้บริการ เดาเอาเองในตอนแรกว่าเมืองคงเล็กมาก และผู้คนคงอาศัยการเดินเท้าเป็นหลัก อยู่แค่วันเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ แต่คนส่วนใหญ่มีพาหนะเป็นรถจักรยาน หรือไม่ก็มอร์เตอร์ไซค์ รถยนต์ไม่ค่อยมีให้เห็นมากสักเท่าไหร่ ถนนในเมืองปายจึงน่าเดิน ปราศจากมลพิษเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
ฉันเดินและกวาดสายตามองหาวัด ตามแผนที่บอกว่าถ้าเจอวัดนี้แล้วเลี้ยวขวาก็จะถึง “บ้านน้ำปาย” ที่ซึ่งเพื่อนบอกไว้น้ำเสียงน่าเชื่อถือว่า “มึงต้องไป แล้วมึงต้องชอบ” เอาวะ!! ลองดูที่นี่อีกตั้ง ถ้าไม่ชอบก็อย่าเดินทางมันเลย เห็นทีจะไม่ถูกจริต วิญญาณนักเดินทางคงไม่อยากมาสิงสถิตย์กับเราสักเท่าไหร่
ป้ายไม้แผ่นเล็กทาสีฟ้าเก่าซีดและหลุดลอก แต่ยังมีเค้าของสีสันและลูกเล่นตัวหนังสือ ถูกแขวนติดไว้ที่รั้วริมถนนสายเล็ก ภาษาอังกฤษที่จารึกอยู่บนป้ายอ่านได้ว่า “บ้านน้ำปาย” ฉันเดินผ่านเข้าไปมองเห็นบ้านสองชั้นหลังใหญ่พอสมควร ข้างล่างเป็นปูนเปลือยส่วนข้างบนเป็นเรือนไม้ ฉันเยี่ยมหน้าเข้าไปในบ้าน แต่ไม่เจอใครนอกจากพัดลมที่ถูกเปิดทิ้งไว้ เปลญวนที่ผูกอยู่ในบ้าน และหมาพันธุ์นอกนอนหลับอยู่ 1 ตัว
จึงเดินลึกเข้าไปอีก ถึงได้เห็นสวนหย่อมขนาดย่อมของที่นี่ นอกจากไม้ดอกไม้ใบที่ร่มครึ้ม ยังมีเตียงไม้ไผ่ดีไซน์สวยสำหรับนอนเล่นพักผ่อน วางเรียงรายอย่างมีรสนิยม ทั้งยังมีเรือนไม้ 2 ชั้นหลังข้าง ๆ ที่มองผาดเผินนึกว่าเป็นเรือนปลูกต้นไม้ ค่าที่ว่าไม้เลื้อยพันโอบรอบจนเห็นแค่บันไดทางขึ้น ข้างล่างถูกตีด้วยไม้ปิดทึบ เดาว่าน่าจะเป็นห้องครัว พอชะโงกหน้าผ่านประตูเล็กเข้าไปก็เจอครัวไทยขนาดย่อม แต่ไม่มีคนอยู่อีกเหมือนกัน จนปัญญาจึงต้องตะโกนเรียกเผื่อจะมีคนอยู่ข้างบน “สวัสดีค่าาาา”
ชายไทยร่างสันทัด นุ่งกางเกงขาก๊วยสีดำเสื้อยืดกลางเก่า ผมยุ่งกระเซิง วิ่งลงมาหลังเสียงตะโกนไม่นาน “ที่พักเหรอครับ” , “กี่คนครับ” , “ช่วงนี้บ้านเป็นหลังเต็มหมดเลยครับ เหลือแต่ห้องที่บ้านใหญ่ ลองไปดูก่อนมั๊ยครับ”
ชายไทยคนนี้คือ “พี่ตั้ม” หนึ่งในสองผู้รั้งตำแหน่งเจ้าของ “บ้านน้ำปาย” ฉันแนะนำตัวกับพี่ตั้มว่าเป็นเพื่อนของคนที่เพิ่งมาพักเมื่อไม่นานนี้เอง หวังว่าพี่คงจำได้ แน่นอนพี่ตั้มแกจำได้ค่ะ ในเมื่อพี่ตั้มจำได้ฉันก็ไม่เกี่ยงที่จะนอนในห้องของบ้านใหญ่ แทนที่จะเป็นกระท่อมไม้ไผ่หลังเล็กอย่างที่ฝันไว้ เพราะคิดเอาไว้ว่าสายสัมพันธ์ที่โยงระยางระหว่างเพื่อนเรากับเรา และเพื่อนเรากับพี่ตั้ม คงทำให้อย่างน้อยตอนนี้เราก็ไม่โดดเดี่ยวเกินไปนัก นักเดินทางแม้เดินคนเดียว แต่ไม่อยากโดดเดี่ยวกันทั้งนั้นแหละ … ฉันคิดว่านะ
หลังจากเก็บของ ฉันก็รีบขึ้นไปเจ๋อที่เรือนอาหาร ก็ตรงที่ฉันเจอกับพี่ตั้มที่แรก คราวนี้ได้พบ “พี่นิด” ด้วย พี่นิดเป็นคู่ชีวิตพี่ตั้ม อีกหนึ่งของผู้รั้งตำแหน่งเจ้าของบ้านน้ำปาย บนเรือนไม้เลื้อยนี้ทำให้ฉันตะลึง! ชั้นบนที่มองจากภายนอกเดาไม่ออกว่าเป็นยังไง ตอนนี้อวดโฉมเต็มสองตา
โต๊ะไม้ที่ต่อง่าย ๆ วางเรียงอย่างลงตัวตรงระเบียงที่เปิดกว้าง มองออกไปไกล เห็นคลื่นภูเขาและหมอกยามเย็น ต้นไม้เขียวหลายพุ่ม หลายกลุ่มกอ เปลญวนถูกผูกไว้ทั้งสองที่ นอกชานระเบียง และในร่มชายคา กระบะฟืนสำหรับก่อไฟยังมองเห็นเถ้าถ่าน ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะได้พบสถานที่พิเศษแบบนี้ ลมเย็นพัดเบา ๆ ฉันกระชับผ้าคลุมไหล่ให้แนบตัวยิ่งขึ้น ฟ้าค่อย ๆ มืดลงและก็ถึงเวลาแสดงของเหล่าดารา ที่มีคนบอกว่า ฤดูหนาวฟ้าจะมืดเร็ว เพิ่งเห็นกับตาวันนี้นี่แหละ ช่วงเวลาไม่กี่นาทีท้องฟ้าก็ปิดไฟย้ายวิกอย่างรีบร้อน
พี่ตั้มเริ่มจุดเทียนตามโต๊ะที่มีอยู่ 4 ชุดและเปิดเพลงคลอเบา ๆ อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ยักกะมีคนมา พี่ตั้มบอกว่าช่วงเย็นจะมีบ้างแต่ไม่ค่อยมากเท่าช่วงเช้าและกลางวัน ฉันจึงประเดิมด้วยการขอให้พี่นิดทำอะไรก็ได้สำหรับอาหารเย็นให้ฉัน 1 จาน และเมื่ออาหารถูกนำมาวางตรงหน้า บทสนทนาจึงเริ่มเข้มข้น
ชาย-หญิงคู่นี้พากันมาตั้งรกรากที่ปาย เมื่อปีก่อน การทำบ้านน้ำปาย ให้เป็นบ้านน้ำปายอย่างที่เห็นไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่งานสบาย ฉันถามว่า “เหงาบ้างมั๊ยพี่” ทั้งคู่หัวเราะเกือบจะพร้อมกัน “ไม่มีเวลาจะเหงาน่ะสิ” พี่นิดเป็นคนตอบ พี่ตั้มเสริมว่า “วัน ๆ นึงเดินเป็นกิโลเลยเชียวหล่ะ เห็นบริเวณแค่นี้ก็เถอะ เดี๋ยวเดินเข้าบ้านนั้นออกบ้านนี้ วิ่งวุ่นกันทั้งวัน”
การเป็นเจ้าของก็หมายถึงเป็นเบ๊ ไปด้วยในตัว เพราะทั้งสองคนช่วยกันทำทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องความสะอาดของห้องน้ำซึ่งเป็นห้องน้ำรวมที่แขกต้องใช้ร่วมกัน พี่นิดบอกว่า แทบจะวิ่งสวนเข้าไปในห้องน้ำเมื่อแขกออกมาเลยเชียว เพราะพี่นิดอยากจะให้ห้องน้ำสะอาดตลอดเวลา น้ำเต็มอยู่เสมอ แล้วยังมีเรื่องของต้นไม้ที่มีอยู่เยอะ ร่มครึ้มได้ขนาดนี้ยิ่งต้องดูแลเอาใจใส่มาก ซึ่งก็มีกันแค่คนละสองมือสองเท้า วันนึงกว่าจะทำครบทุกอย่าง 24 ชั่วโมงก็หมดแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น มันเหนื่อยเกินไปรึเปล่าล่ะพี่” ฉันเลยยิงคำถามใหม่ พี่นิดยิ้มพร้อมกับตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด 
“มันไม่ใช่แค่งาน มันเป็นบ้านด้วยน่ะ” ใช่เลย!! ที่เคยอ่านเจอว่า ถ้าคุณสนุกกับงาน คุณก็ไม่ต้องทำงาน ใช่เลย!!
1
วันแรกที่ปายจบลงด้วยค่ำคืนที่อบอุ่น จากเจ้าของบ้านที่น่ารักอย่างพี่นิดพี่ตั้ม และปิดท้ายจริง ๆ ด้วยความอลังการของวงดนตรีไม่ปรากฎนามแต่ฝีมือสุดยอด ซึ่งโผล่กันมาในช่วงใกล้รอยต่อของวัน พวกเขาช่วยระบายสีของคืนดาวพราวให้ยิ่งพราวพร่างด้วยเสียงเพลงและมิตรภาพ
วงดนตรีที่ว่าเป็นกลุ่มนักเดินทางที่รักดนตรี พวกเขาต่างคนต่างมา และต่างมีเครื่องดนตรีที่รักติดตัวมาด้วย ฉันไม่รู้ว่าพวกเขามาเจอกันได้อย่างไร ใครทักใครก่อน แต่ที่แน่ ๆ เสียงดนตรีของพวกเขาเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยใครคนหนึ่งกรีดนิ้วลงเบา ๆ ที่กีตาร์ 6 สายในวงแขน แล้วพูดขึ้นว่าเขาไม่รู้ว่าเพลงนี้ชื่อเพลงอะไร และแม้กระทั่งคอร์ดต่อไปคืออะไรเขาก็ยังไม่รู้
เมื่อเสียงกีต้าร์เริ่มไปสักพัก เสียงขลุ่ยฝรั่งของชายผมยาวอีกคนก็เริ่มขึ้นเคล้าคลอไปด้วยกันอย่างกลมกลืน จากนั้นคนอื่น ๆ ก็เริ่มทยอยเข้าร่วมคลุกเคล้าด้วยเครื่องดนตรีที่ฉันไม่รู้จักอีก 3 ชิ้นและบทเพลงที่ไม่เคยมีมาก่อนบนโลก เสียงที่เกิดจึงเป็นความมหัศจรรย์ต่อหน้าต่อตา บทเพลงนี้ยาวนานโดยไม่มีการหยุดพักตลอดกว่าชั่วโมง พวกเขากำลังอยู่ในโลกอีกโลก ที่กำลังจมดิ่ง หายลงไปเรื่อย ๆ ด้วยความลุ่มหลงอย่างรุนแรง และตาฉันก็พร่าพรายมองไม่เห็นใครนอกจากเสียงดนตรีและความมหัศจรรย์
ฉันเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ขยับผ้าคลุมไหล่อีกครั้ง เอ่ยขอบคุณในใจให้อะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น 
การเดินทางที่รื่นรมย์ของฉันได้เริ่มต้นแล้ว
ขี้เกียจรออ่านเป็นตอน ๆ สามารถซื้อ E-book ได้ที่นี่นะคะ 👇
โฆษณา