3 ส.ค. 2021 เวลา 03:23 • หุ้น & เศรษฐกิจ
หุ้นน่าซื้อวันนี้ 3 ส.ค. 64 : โบรกมองหุ้นไทยวันนี้แกว่งออกข้างจนถึงพักตัว หลังราคาน้ำมันดิบร่วงแรง เกาะติดโควิดพุ่งไม่หยุด-ชุมนุมการเมือง ประเมินกรอบเคลื่อนไหว 1,515-1,530 จุด เน้นหุ้นแกร่งฝ่าวิกฤติ
บล. หยวนต้า (ประเทศไทย)
เมื่อวานนี้ SET INDEX เริ่มยืนทรงตัว และมีการฟื้นตัวทางเทคนิคเล็กน้อยตามที่เราประเมิน แต่ Sentiment ตลาดหุ้นไทย วันนี้ มีแรงกดดันจากการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบ คาดทิศทางวันนี้ เป็นการแกว่งตัวออกข้างจนถึงพักตัว กรอบ 1,515-1,530 จุด
สำหรับประเด็นการคลังของสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ต้องจับตาในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า หลังจากเมื่อวานนี้ สิ้นสุด นโยบายพักการใช้เพดานหนี้ชั่วคราวเป็นเวลา 2 ปี (ตั้งแต่ 31 ก.ค.2562) ส่งผลให้กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ จำเป็นต้องใช้มาตรการฉุกเฉิน เพื่อให้รัฐบาลสามารถจ่ายคืนหนี้พันธบัตรได้ประมาณ 2-3 เดือน
โดยระหว่างนี้ สภาคองเกรสจะต้องขยับเพดานหนี้ขึ้นหรือยับยั้งการใช้เพดานหนี้ชั่วคราวเหมือนเมื่อ 2 ปีก่อน หากไม่ทันเวลา จะทำให้เกิดความเสี่ยงที่รัฐบาลไม่สามารถจ่ายเงินสวัสดิการบางประเภทให้กับประชาชน รวมถึง การเลื่อนจ่ายเงินเดือนข้าราชการ กระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อฐานะการคลังของประเทศ ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมหรือ Bond Yield ในตลาดขยับขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตลาดไม่ได้ตื่นตระหนกกับข่าวดังกล่าว เพราะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ลดระดับลงมาปิดที่ 1.18%
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบทั้ง Brent และ NYMEX ปรับตัวลดลงราว 2-3% เนื่องจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เริ่มส่งสัญญาณชะลอความร้อนแรงลง ทั้งดัชนี Caixin PMI ภาคการผลิตของจีน และดัชนี ISM ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาด ประกอบกับ น้ำมันดิบเป็นสินค้า โภคภัณฑ์ที่ราคาปรับตัวขึ้นแรงมากตั้งแต่ต้นปีนี้ราว 40-50% ทำให้เกิดแรงขายทำกำไรออกมา
สำหรับ หุ้นเด่นวันนี้มี 4 ตัว ORI เราคาดกำไรสุทธิ 2Q64 ที่ 868 ลบ. เติบโต +23% YoY และ +5% QoQ แม้โครง การแนวสูงจะได้รับผลกระทบจาก COVID แต่สัดส่วนรายได้จากโครงการแนวราบที่เพิ่มขึ้นมาก, กำไรพิเศษจาก Share Premium และรายได้ค่าบริหารโครงการเป็นปัจจัยช่วยหนุนกำไร
จุดเด่นของ ORI คือ 1.ธุรกิจอสังหาฯกระจายตัวได้ดีทั้งแนวราบ, แนวสูง และรายได้ประจำ 2.ต่อยอดธุรกิจเข้าสู่ New S-Curve เช่น Logistic, Healthcare, AMC, Alternative Energy 3.มีพันธมิตรต่างชาติแข็งแกร่ง เช่น Nomura, Tokyu Land 4. การ Spin Off บริษัทลูก เช่น Britania, Primo เข้า IPO ราคาหุ้นซื้อขายที่ PER2564 ราว 7.6 เท่า ให้ Yield 6%
หุ้นเด่นตัวถัดมาคือ TASCO การปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบ Brent และ Nymex ราว -3% เป็น Sentiment บวกต่อบริษัท เนื่องจากน้ำมันเป็นต้นทุนในการผลิต และส่งผลให้ Spread ยางมะตอยมีโอกาสปรับตัวขึ้น แนวโน้มกำไรปกติ 2Q64 คาดเติบโต QoQ ขณะที่เชิงเทคนิคดูน่าสนใจ แนวต้าน 20.00 บาท และ Stop loss หากปรับตัวลงต่ำกว่า 18.50 บาท
หุ้นเด่นอีกตัวคือ STA ราคาหุ้นมี Sentiment บวก หลังสมาคมประเทศผู้ผลิตยาง ได้แก่ ไทย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม และมาเลเซียคาดว่าอาจเกิดภาวะซัพพลายตึงตัวในตลาดยาง หลังประเทศสมาชิกประสบปัญหา COVID ส่งผลให้การผลิตยางต่ำกว่าคาด
เราคาดกำไรปกติ 2Q64 ที่ 4.8 พันลบ. เพิ่มขึ้น +443% YoY ขณะที่เงินปันผล 2Q64 คาดหุ้นละ 0.90 บาท ให้ Yield 2.4% นอกจากนั้น สัดส่วนรายได้มาจากการส่งออกสูงถึง 90% จึงคาดว่า 3Q64 จะได้ประโยชน์เต็มที่จากเงินบาทเทียบ USD ที่อ่อนค่าเตรียมขึ้นทดสอบ 33.00 บาท/USD
หุนเด่นตัวสุดท้ายคือ GPSC ภาพทางเทคนิค แนวต้าน 80.00 บาท แนวรับ 77.50 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 76.00 บาทแนวโน้มกำไร 2Q64 คาดจะออกมาดีจากแรงหนุนของกำไรจากโครงการไซยะบุรี และเรามีมุมมองบวกต่อการเติบโตในระยะยาว ทั้งธุรกิจ EV battery และการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ หลังเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังลมในไต้หวันสัดส่วน 25% มูลค่าเงินลงทุน US$500 ล้าน
บล.เอเซีย พลัส
SET index กรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,510-1,530 จุด ความกังวลเรื่อง Covid-19 ทั่วโลกกลับมาชัดเจนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ทิศทางการเคลื่อนย้ายของเม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย เห็นได้จากระดับ Bond Yield ที่ปรับตัวลดลง
สำหรับสถานการณ์ในบ้านเรา ก็ถือว่าน่าเป็นห่วง โดยการขยายวงในการระบาดของ Covid-19 ยังเป็นไปอย่างรวดเร็วจนกำลังการให้บริการของระบบสาธรณะสุขเป็นปัญหา นำไปสู่อัตราการตายที่สูงขึ้น
ด้วยความร้อนแรงของเรื่องดังกล่าวก็ยังนำไปสู่ความกังวลเรื่องการเมืองอีกส่วนหนึ่งด้วย ดังจะเห็นได้จากการแสดงออกผ่านการนัดชุมนุมต่างๆ สภาพแวดล้อมดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้ SET Index ไม่สามารถปรับตัวขึ้นไปได้ โดยขาดแรงหนุนจากทั้ง Fundamental และ Fund Flow
ภาพรวมยังขาดแรงผลักดัน คาด SET Index ปรับฐานโดยมี 1,510 จุดเป็นแนวรับ พอร์ตจำลองให้คงระดับเงินสดไว้ที่ 15% ตามเดิม ส่วนหุ้น Top Pick เลือก JMART, MCS และ NER
หุ้นเด่นตัวแรกคือ NER (FV@9.50) หุ้นกลุ่มส่งออกยางพาราที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าโดยล่าสุดเงินบาทอยู่ที่ 32.7 บาท/เหรียญฯ(อ่อนค่ากว่า 7.8%(ytd) เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว หนุนคำสั่งซื้อจากลูกค้าใหม่และเก่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หนุนแนวโน้มธุรกิจยางพาราของ NER จะเติบโตชัดเจนต่อจากนี้ โดยคาดกำไรสุทธิปี 64-65 จะเพิ่มขึ้นถึง 87.5% yoy และ 17.4% yoy จากแนวโน้มปริมาณขายยางพาราและทิศทางราคายางพาราเพิ่มขึ้น
หุ้นเด่นตัวถัดมา JMART (FV@42.00) แม้คาดกำไร 2Q64 ลดลงจาก 1Q64 แต่เกิดจากฐานที่มีกำไรพิเศษ เฉพาะกำไรปกติงวด 2Q64 ประคองตัวได้ดี ลดลงเล็กน้อย qoq จากฐานกำไร 1Q64 ที่ใกล้เคียงสถิติสูงสุดรายไตรมาส โดยมีธุรกิจการเงิน JMT และ SINGER เป็นเติบโตต่อเนื่อง
ทั้งนี้ประเมินกำไร 3Q64 และ 4Q64 เติบโตเป็นขั้นบันได หนุนจากธุรกิจ JMT ที่ได้แรงบวกการรับรู้กำไร จากหนี้ที่ติดตามได้เพิ่ม หลังมีก้อนหนี้ที่จัดเก็บเงินครบเงินลงทุนเพิ่มต่อเนื่อง, SINGER ที่คาดรักษากำไรระดับสูง และธุรกิจ J Mobile เข้าสู่ฤดูกาล คาดหนุนกำไรทั้งปีโต 51%
หุ้นเด่นตัวปิดท้ายคือ MCS (FV @ 21.00) คาดกำไร 2Q64 ทำได้สูงถึง 330 ล้านบาท (+41%QoQ, +46%YoY) หนุนด้วยปริมาณส่งมอบโครงสร้างเหล็กรวม 2.25 หมื่นตัน โดยกำไร 1H64 ที่คาดว่าจะทำได้สูงถึง 564 ล้านบาท ประเมินปันผล 1H64 ไว้ที่ 0.55 บาท คิดเป็น Div Yield 3.8% ทิศทางกำไรครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก ตามแผนส่งมอบงานล่าสุด จึงปรับประมาณการกำไรปีนี้ขึ้น 13% อยู่ที่ 1.18 พันล้านบาท ประเมิน FV อิง PER (2565) 10 เท่า จะให้ราคาเหมาะสม 21.00 บาท มี Upside 44% และคาดหวังปันผลสูงถึง 8.90% ต่อปี
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)
วันนี้คาด SET แกว่ง Sidewaysในกรอบแนวรับ 1,516 จุด และแนวต้าน 1,540 จุด เน้นหุ้นคาดแนวโน้มกำไรเด่น
โดยหุ้นเด่นวันนี้แนะนำ MCS คาดกำไร 2Q64 จะทำสถิติสูงสุดใหม่320 ล้านบาท (+37%QOQ +42%YOY) จากการส่งมอบงานเหล็กโครงสร้างที่สูง และ มีงานที่ค้างส่งมอบในไตรมาสแรก ผสาน Backlogคาดสูงถึง 1 แสนตัน ขณะที่ราคาหุ้น
ซื้อขาย PE ปี 2504 ต่ำเพียง 6.8เก่า และคาดอัตราปันผลสูงถึง 9%เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 19.50 บาท
หุ้นเด่นตัวต่อมาคือ GFPT (Upgrade)คาดผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 1Q64 โดยกำไร 2Q64 จะฟื้นตัวขึ้น จากยอดขายในประเทศและIndirect export เพิ่มขึ้น ประกอบกับกำลังการผลิตไก่แปรรูปเพิ่มหลังจากเครื่องจักรใหม่ติดตั้งเสร็จซึ่งจะเริ่มผลิตในเดือน ส.ค. รวมทั้ง McKey มีการส่งออกไก่เพิ่มขึ้น เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 14.60 บาท
บล.ไทยพาณิชย์
คาด SET มีแนวโน้มปรับตัวลงได้ต่อ โดยมีปัจจัยกดดันจาก 1.สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศ 2. รายงานตัวเลขด้านการผลิตของทั้งจีน และสหรัฐที่ชะลอตัว และ 3. ราคาน้ำมันที่ปรับลงกดดันราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดย SET มีแนวรับอยู่ที่ 1,513 และ 1,500 จุด ตามลำดับ ส่วนกรอบบนถูกจำกัดที่แนวต้าน 1,533-1,543 จุด กลยุทธ์ใช้บริเวณ 1,500 จุด เป็นจุดเริ่มซื้อสะสมในสัดส่วน 25% เพื่อการลงทุน ด้านการ Selective Buy หรือเก็งกำไร ทำอย่างระมัดระวัง
ทั้งนี้แนะนำ Selective buy หุ้นปลอดภัยรับมือตลาดผันผวนสูง 1) Defensive Plays : กลุ่มการแพทย์ BDMS BCH RJH ; EV/clean energy EA สื่อสาร ADVANC 2) Earnings Play 2Q-3Q64 เติบโต : SCGP GPSC TU PM SFT WICE
อย่างไรก็ตาม ให้เลี่ยงหุ้น reopening และจับตาการระบาดในพื้นที่สีแดงเข้ม และคลัสเตอร์โรงงานกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานช่วงสั้น
หุ้นเด่นวันนี้แนะนำ แนะนำ BDMS (ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท) คาดกำไร 2Q64 โต 217%YoY 8%QoQ แนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งในระยะถัดไป ราคาหุ้นยังปรับขึ้นไม่มาก และแนะนำ WICE คาดกำไร 2Q-4Q64 โตต่อเนื่อง YoY จากความต้องการขนส่งระหว่าง ปท.ขยายตัวแรง
ขณะที่ บล.กสิกรไทย มองเป้าดัชนีวันนี้อยู่ที่ 1,510 -1,535 จุด หุ้นเด่นวันนี้ แนะนำ 3 หุ้นเด่นตัวแรก UV ปัจจุบัน 3.98 บาท เป้าหมาย 4.36 บาท ถัดมาคือ ORI ปัจจุบัน 8.80 บาท เป้าหมาย 9.25 บาท
หุ้นเด่นปิดท้ายคือ PTTGC ปัจจุบันอยู่ที่ 58 บาท เป้าหมาย 60.25 บาท
โฆษณา