20 ส.ค. 2021 เวลา 10:05 • ท่องเที่ยว
เจดีย์โบตะทาวน์ (Botataung Paya)
เจดีย์โบตะทาวน์ แปลว่า “เจดีย์นายทหารพันนาย” โดยมีตำนานเล่าว่า ในสมัยพุทธกาล มีพ่อค้าชาวมอญ 2 คนชื่อ “ตะปุสสะ” และ “ภัลลิกะ” เดินทางไปค้าขายที่ประเทศอินเดีย พ่อค้าทั้งสองได้มีโอกาสเข้าเฝ้าองค์
พระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และได้ถวายภัตตาหารแก่พระองค์ .. หลังจากเสวยเสร็จ พระพุทธเจ้าได้ประทานพระเกศาให้ 8 เส้น
เมื่อนายวานิชทั้งสองเดินทางกลับ พระราชาแห่งอเชตตะได้ขอแบ่งพระเกศธาตุไป 2 เส้น เมื่อเขาเดินทางกลับมาถึงเมืองอสิตันชนะ พระเจ้าโอกกลาปะได้ทรงประกอบพิธีต้อนรับพระเกศธาตุอย่างยิ่งใหญ่ โดยให้นายทหารหนึ่งพันนายยืนเรียงรายจากท่าเรือมาจนถึงที่วัดแห่งนี้ เจดีย์ที่วัดนี้จึงได้ชื่อว่า “เจดีย์นายทหารหนึ่งพันนาย” ด้วยประการฉะนี้
เจดีย์แห่งนี้เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อรับพระเกศธาตุที่ถูกนำขึ้นมาจากเรือ โดยพระเกศธาตุ 1 เส้นได้ถูกนำมาประดิษฐานไว้ที่เจดีย์แห่งนี้ ก่อนที่จะอัญเชิญพระเกศธาตุที่เหลือไปประดิษฐานที่เจดีย์ชเวดากอง
พระเจดีย์โบตะทาวน์ถูกทำลายในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ได้รับการปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ สูง 40 เมตร สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2496
ก่อนเดินเข้าไปในบริเวณเจดีย์นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องเสียค่าผ่านเข้าไปคนละ 5 USD และสามารถถอดรองเท้าฝากไว้ที่นี่ได้ สำหรับคนพม่าไม่ต้องจ่ายค่าผ่านประตูค่ะ
เมื่อเราเดินเข้าไปในบริเวณที่ตั้งของเจดีย์ ทางด้านขวามือจะเป็นลานเดินได้รอบๆเจดีย์ … องค์เจดีย์สีทองสูงใหญ่ดูสง่างามผู้คนมากมายเข้ามาสักการะองค์พระเจดีย์ในแต่ละวัน …
โดยทั่วไปการสักการบูชาในวัดใดวัดหนึ่ง ควรเริ่มต้นที่การเข้าไปกราบไหว้พระที่ด้านใดด้านหนึ่งของวัดเสียก่อน (หลายวัดอาจจะไม่มีพระประธานเพียงรูปเดียว หากแต่ทุกทิศอาจจะมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ทุกทิศ) แล้วจึงไปสวดมนต์
จากนั้นใช้ขันตักน้ำรดน้ำพระและสัตว์ประจำวันเกิดจำนวนเท่ากับอายุของตนบวกอีกหนึ่ง (คงเป็นเคล็ดเหมือนคนไทยปักเทียนบนเค๊กวันเกิดไงจ๊ะ) … แล้วไปตีระฆัง 3 ครั้งบอกกล่าวฟ้าดินและสรวงสวรรค์ว่า เรามาทำบุญนะจ๊ะ
เจดีย์โบตะทาวน์ เป็นเจดีย์ที่มีความแตกต่างจากเจดีย์ทั่วไป ด้วยเป็นเจดีย์แห่งเดียวที่เราสามารถมองเห็นพระเกศธาตุในครอบแก้วใสได้ ณ ใจกลางเจดีย์ได้อย่างชัดเจน และทำทางเดินให้พุทธศาสนิกชนเดินเข้าไปดู ไปสักการะได้อย่างใกล้ชิด …
ภายในเจดีย์มีทางเดินทะลุกันได้ทั้ง 4 ทิศ ผนังแต่ละด้านจะประดับประดาอย่างอลังการด้วยสีฟ้าเขียวประดับกระจกแวววาว บางด้านมองเห็นผนังเป็นสีทอง
ซึ่งฉันไม่รู้ว่าเป็นการทาสี หรือปิดทอง หรือด้วยกรรมวิธีใด หากแต่ประกายของทองที่สะท้อนแสงไฟนั้นดูงดงาม … ตามมุมต่างๆมองเห็นผู้คนนำเครื่องสักการะมาบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่
ในโถงทางเดินแคบๆมีพระสงฆ์ นักบวช และผู้ที่เลื่อมใสศรัทธามานั่งสวดมนต์ ทำสมาธิกันหลายคน … การได้นั่งบำเพ็ญภาวนาใกล้ๆพระเกศธาตุคงส่งความรู้สึกที่สงบ และเป็นสุขอย่างยิ่ง
แต่ละวันมีพุทธศาสนิกชนมากมายเรียงแถวกันเข้ามาภายในเจดีย์เพื่อสักการะ ชื่นชม และถ่ายรูปพระเกศธาตุที่อยู่ในผอบ … ฉันเห็นทองคำในรูปของเครื่องประดับชนิดต่างๆมากมายจริงๆที่ตั้งถวายเป็นพุทธบูชาเบื้องหน้าผอบทอง
น่าทึ่งในความศรัทธาแรงกล้าของคนพม่าในสิ่งที่เขาเชื่อถือ อีกทั้งเงินบริจาคในตู้ก็มากชวนให้คิดถึงระบบของการควบคุม … แต่คนที่นี่พูดเป็นเสียงเดียวกันค่ะว่า เงินบริจาคถูกนำไปใช้ในกิจการของวัด และไม่ต้องกลัวเรื่องการนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เพราะคนพม่ากลัวบาปเหนือสิ่งใด (จริงหรือเปล่านะ?)
ณ ลานวัดสามารถมองเห็นองค์พระเจดีย์ได้ชัดเจน … ด้านชวาของพระเจดีย์โบตะทาวน์เป็นที่ตั้งของศาลาซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำปางมารวิชัย ทีมีพุทธลักษณะงดงามมาก
ตามตำนานเล่าไว้ว่า เดิมพระพุทธรูปองค์นี้อยู่ที่วัดชเวนันดอ หรือ Golden Palace ที่เราได้ไปเยือนมาแล้วที่เมืองมัณฑะเลย์ … เมื่อพม่าแพ้สงครามและอังกฤษเข้ายึดครองพม่าในปี พ.ศ. 2428 พระพุทธรูปองค์นี้ถูกอังกฤษนำไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์เมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย จึงรอดพ้นจากการถล่มในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2488 ได้นำไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์วิกตอเรียและแอลเบิร์ตอยู่หลายปี ภายหลังพม่าได้รับเอกราช ที่พม่าจะเรียกร้องให้นำกลับมา และถูกนำมาประดิษฐานอยู่ที่วัดโบตะทาวน์แห่งนี้จนถึงปัจจุบัน
ด้านซ้ายมือของเจดีย์โบตะทาวน์ จะมองเห็นทางเดินมีหลังคาคลุมข้ามสระน้ำตรงไปยังศาลาที่ประดิษฐาน ‘เทพทันใจ” หรือ “โบโบยี” ที่คนไทยรู้จักกันดี ชาวพม่านิยมมาขอพร ด้วยเชื่อว่าอธิษฐานสิ่งใดจะสมปรารถนา
เทพทันใจ คือ เทพที่คอยปกปักรักษา คงเหมือนกับเจ้าที่ … เทพทันใจเป็นหนึ่งใน 37 นัต และท่านเป็นหัวหน้า ส่วนนัตอีก 36 ตนอยู่ที่เจดีชเวซิกอง เมืองพุกาม
สิ่งของที่นิยมนำมาถวาย โบโบยี ส่วนใหญ่จะเป็นมะพร้าวและกล้วยเป็นหวีๆ … ใครฐานะดีก็อาจจะถวายมะพร้าวทองคำ ส่วนคนที่ฐานะด้อยลงมาก็อาจจะถวายแพรพรรณ ดอกไม้ ธูปเทียนเท่านั้นท่านก็คงจะไม่ว่าอะไร .. และที่ร้านค้าหน้าวัดเห็นมีการจัดชุดถวาย ซึ่งเท่าที่มองเห็นก็จะมีกล้วย มะพร้าว ดอกไม้ ธูปเทียน และผ้าโปร่งเขียว แดง หรือเหลือง ส่วนราคานั้นไม่ทราบจ๊ะ …
คนพม่าแนะนำว่าให้นำกิ่งต้นชัยชนะ (ต้นหว้า) ไปถวาย แล้วนำยอกอ่อนของต้นชัยชนะที่นำไปถวายกลับไป 1 ยอด แล้วติดตัวไว้เพื่อเป็นสิริมงคล เราจึงมักจะเห็นคนพม่านำกิ่งต้นหว้าไปถวายพระอยู่เสมอทุกหนทุกแห่ง
บางคนก็ว่า การบูชาโบโบยีให้ได้ผลตามที่ต้องการ แค่ขอพร ไม่ต้องบนบาน … โดยให้นำธนบัตร 2 ใบไปใส่ในมือของท่าน แล้วเข้าไปใกล้ๆให้นิ้วของโบโบยีแตะที่หน้าผากของเรา แล้วจึงขอพร … ก่อนกลับก็เก็บธนบัตร 1 ใบกลับมาบูชาด้วย ว่ากันว่าโบโบยีจะให้พรตามที่ขอ
ใกล้ๆกับเจดีย์โบตะทาวน์ เป็นท่าเรือพาณิชย์ … เมื่อใกล้ค่ำเราจึงเดินตามชาวพม่าไปที่นั่น เพื่อเฝ้าดูพระอาทิตย์อัสดง
ที่สะพานท่าเรือมีนกนางนวลมากมายบินฉวัดเฉวียนไปมา เพื่อกินอาหารที่ผู้คนโยนไปให้ … เห็นแล้วคิดถึงนางนวลที่บางปูเลยค่ะ แต่เท่าที่ดูผ่านๆ เห็นมีนางนวลธรรมดาเป็นส่วนใหญ่ มีไม่มากชนิดเหมือนที่บ้านเรา
ไม่นานนักอากาศรอบๆตัวเริ่มสลัวลง … ดวงอาทิตย์กลมโตเริ่มคล้อยต่ำ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงงดงามในสายตา ฉันมองแสงและสีของท้องฟ้าที่เปลี่ยนไปช้าๆ … บางสิ่งกำลังจะจากลา เพื่อหลีกทางให้อีกบางสิ่งโดดเด่นขึ้นมาแทน เป็นการลาจาก เพื่อกลับมาพบกันอีกในไม่ช้า .. ไม่นาน
*******************
เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลกกับพี่สุ … รวม link บทความที่เขียนในเพจ ..
***เมืองไทย ไดอารี่ by Supawan
***Supawan’s colorful world
***สถานีอร่อย by Supawan
โฆษณา