25 ส.ค. 2021 เวลา 19:36 • คริปโทเคอร์เรนซี
สรุป(สั้น) จาก เมื่อกลุ่มลูกค้าสถาบันก้าวสู่โลก DeFi มากขึ้น จะเป็นอย่างไร?
สรุป(สั้น) จาก เมื่อกลุ่มลูกค้าสถาบันก้าวสู่โลก DeFi มากขึ้น จะเป็นอย่างไร?
======================
1. เทคโนโลยีในโลกคริปโตจะเปลี่ยนไปยังไง
======================
- tech จะเปลี่ยนมหาศาล software wallet กับ hardware wallet ในระดับรายบุคคล จะจบที่ hardware wallet แต่สถาบันทำอย่างนั้นไม่ได้ การจะนำเงินมาใช้จ่าย ต้องมีคนอนุมัติหลายส่วน การมีแค่ hareware wallet จึงไม่พอ หาก CFO ถือคนเดียว เราจะเชื่อใจเค้าได้อย่างไร อันตรายมากๆ ต้องใช้เทคโนโลยีที่ดีกว่านั้น เช่น multisig
1.1 Multisig
- คือ การเอากระเป๋าของหลายๆ คน มารวมเป็นกระเป๋าใบเดียว เหมือนการเปิดบัญชีร่วม ที่ใช้หลายคนเซ็นอนุมัติ ข้อดีคือ กำหนดได้ว่าต้องการกี่คนจึงจะอนุมัติได้ อย่าง treasury ของ DeFi ต่างๆ ก็ยังใช้วิธี multisig อยู่
- ข้อเสียคือ ถ้ามีคนเข้าออกจากองค์กร ก็จะต้องโอนเงินทั้งหมดออก แล้วทำกระเป๋าใบใหม่ โอนเข้าไปใหม่ ซึ่งไม่ยืดหยุ่นและไม่สะดวก และถ้ากำหนดแล้วว่าต้องใช้กี่คนเซ็น ไม่สามารถแก้ไขได้ หากจะเปลี่ยน ต้องทำกระเป๋าใหม่
- ซึ่งปัญหานี้เอง ทำให้เกิดบริการใหม่ที่มาแก้ไขจุดนี้ เรียกรวมๆ ว่า MPC (Multi Party Computation)
1.2 MPC (Multi Party Computation)
- ข้อดีคือ ใช้ private key แค่ set เดียว นำมาแยกเป็นกลุ่ม seed กี่ก้อนก็ได้ แล้วกำหนดได้ว่า จะใช้อย่างน้อยกี่ก้อนรวมกัน จึงอนุมัติได้ ซึ่งไม่เหมือนกับการแยก seed phrase เอง ทำให้ business เกิด continuity ที่ดี เมื่อคนเข้าออก ก็ไม่ต้องเปลี่ยนกระเป๋า
- ซึ่ง MPC นี้ สามารถทำได้เองด้วยเครื่องคอมที่บ้านได้ แต่ต้องเข้าใจตัวคณิตศาสตร์
1.3 Hierarchical Key Management
- ตัวอย่าง Axelar เป็น cross chain bridge พัฒนาความปลอดภัยเพิ่มจาก MPC คือ hierarchical key management ไม่ใช่แค่กำหนดจำนวนคนที่อนุมัติได้เท่านั้น แต่มีระดับในการอนุมัติด้วย เช่น ในการใช้เงินลงทุน ต้องให้ CFO COO อนุมัติ แต่ถ้าใช้ในการซื้อของใช้ประจำ อาจเป็นแค่ manager อนุมัติ ก็ได้
- การทำแบบนี้จะปลอดภัยขึ้นมาก เพราะบอกได้ด้วยว่า ใครอนุมัติเรื่องอะไรได้บ้าง เช่น มี key ชุดนึงแค่ swap ได้ key อีกชุดถอนเงินได้ เป็นต้น
- tech นี้ เข้ามาแล้ว และกำลังถูกพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เป็นอีก service ที่กำลังพัฒนา
- การบริหาร private key นี้ เป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุด
======================
2. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคริปโตจะเปลี่ยนยังไง
======================
- ผู้ออกกฎหมายต้องขยับ เพราะหากมีความผิดพลาด ผลกระทบจะยิ่งใหญ่กว่าผู้ลงทุนรายย่อยมาก และด้วยปัจจุบันที่ทั่วโลกมีการยอมรับตลาดคริปโตมากขึ้น
- ตัวอย่างในต่างประเทศ มีเคสที่ลูกค้าแสดงพอร์ต DeFi (เช่นการใช้ Apeboard) แล้วไปกู้เงินกับธนาคารได้จริง
- การที่ผู้คุมกฎเข้ามาสนใจ ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่า มีการยอมรับมากขึ้นด้วย และจะเข้ามาช่วยคนที่เปลี่ยนแปลงไม่ทันด้วย
- ตอนนี้ Binance และ FTX ถูกบังคับให้ลูกค้าทุกคนต้องทำ KYC และเป้าหมายของ 2 exchange นี้ ต้องการจะทำให้ถูกกฎหมายในทุกประเทศ
- ความเห็นของอาจารย์ธันวาคือ การใช้กฎหมายจะควบคุมไม่ได้ทั้งหมดทันที ในส่วนของ cex (central exchange) อาจจะโดนก่อน และการพัฒนาเริ่มน้อยลง แต่ในภาคส่วนอื่น เช่น ใน DeFi ผู้คุมกฎหมายยังไม่สามารถเข้าไปจัดการได้ และมี innovation อยู่อย่างต่อเนื่อง
- กฎหมาย มีเรื่องของ intention กับ enforce หากการ enforce เป็นเรื่องที่ต้องเปลืองทรัพยากรเกินไป ก็จะไม่ถูกใช้งานโดยตรง แต่จะมีเพื่อป้องกันและแสดงความชัดเจน
- กฎหมายจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และเป็นธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว
======================
3. กลไกตลาดคริปโต และ DeFi จะเปลี่ยนไปยังไง
======================
- เงินของสถาบันจะเข้ามาลงทุนใน DeFi protocol มากขึ้น ถ้าคุณเป็น DeFi ที่เจ๋งจริงๆ ยังไงก็ต้องมีคนมาลงทุน ในระยะหลังๆ นี้ มักมีเงินของ VC (Venture Capital) เข้ามาลงทุนและถือเหรียญของ DeFi เยอะขึ้น
- ข้อดีคือ VC สามารถช่วยให้ DeFi โตได้เร็วมากขึ้น เพราะช่วย connect กับภาคส่วนอื่น หรือ DeFi อื่น ให้คำปรึกษา ส่งคนมาช่วยเสริม หรือแม้กระทั่ง infrastructure อย่าง server หรือการรัน validator node
- ในทางกลับกัน VC ที่ไม่ดี ก็จะเป็นข้อเสีย เพราะลงทุนเพื่อ dump ซื้อในรอบ VC ที่ราคาถูกมาก แล้วพอเริ่มเปิดขายให้รายย่อย ดันราคาขึ้นไป ก็จะเทขายทำให้ราคาตกลงมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ดี และไม่เป็นการพัฒนา DeFi ที่ดีเลย
- ฉะนั้นต่อไปนี้ ดูแค่ DeFi project ไม่ได้แล้ว ต้องดูที่ชื่อเสียงและประวัติของ VC ด้วย
- นอกจากนี้เมื่อสถาบันเข้ามาทำให้สภาพคล่องในตลาดคริปโตสูงขึ้นมากไปด้วย ซึ่งถ้าสภาพคล่องน้อย การดันราคาจะทำได้ง่าย
- โดยการวิจัยของ Coinbase หากคุณมีเงิน 3,000 ล้านบาท ซื้อ Bitcoin ใน Coinbase สามารถดันราคาได้แค่ 15,000 บาทเท่านั้นเอง
- เป็นภาพที่เห็นได้ชัดเจนว่า สถาบันเข้ามาแล้วสภาพคล่องสูงขึ้นมาก และเป็นอีกเหตุผลที่ ราคา Bitcoin แกว่งน้อยกว่า Altcoin อื่นๆ
- อีกตัวอย่างคือ หากใช้เงิน 240 ล้านบาท ก็สามารถดันราคา Ethereum ได้ นั่นหมายความว่า เงินของสถาบันสร้างสภาพคล่องให้กับเหรียญแต่ละเหรียญไม่เท่ากัน และหากสภาพคล่องต่ำมาก ขาเข้าอาจจะเข้าได้ แต่ขาออกอาจจะออกไม่ได้
1
- สิ่งนึงที่หลายคนเข้าใจผิดคือ ลูกค้าสถาบันเข้ามามากขึ้น จะทำให้ราคาสูงขึ้นรึเปล่า ไม่ถูกต้องซะทีเดียว เนื่องจาก การซื้อของสถาบัน จะทยอยซื้อและซื้อในปริมาณที่ส่งผลต่อราคาน้อยที่สุด เพื่อให้ไม่ซื้อในราคาที่แพงเกินไป และกรรมวิธีในการสั่งซื้อนั้น มีพัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
======================
Moderator:
[@scb10x] SCB 10X
[@taipanich] คุณใต้ มุขยา พานิช
Chief Venture & Investment Officer, SCB 10X
======================
Speaker:
[@tanwaarpornthip] อาจารย์ ดร. ธันวา อาภรณ์ทิพย์
Blockchain Technical Advisor, SCB 10X
======================
สรุปโดย serious block
Date 25 AUG 2021 (21:00-23:00)
#ClubhouseTH #DeFi #DeFi2021 #SCB10X #seriousblock #todayinotetotext #todayinoteto #วันนี้สรุปมา
โฆษณา