14 ก.ย. 2021 เวลา 04:20 • ความคิดเห็น
คุณสมบัติพื้นฐานสุดที่สรรพชีวิตมีร่วมกันคือการพยายามรักษาชีวิตของตนไว้ให้นานที่สุด สำหรับมนุษย์แล้วกลไกตามธรรมชาตินี้จึงทำให้เรากลัวความตายลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึก
ในขณะที่ชีวิตมนุษย์ก็เปราะบางมาก ไม่มีความมั่นคงแน่นอนใด ๆ มากพอจะทำให้เราหนีพ้นจากความตายได้ ตรงนี้แหละจึงเป็นที่มาของการสร้างเรื่องราวชีวิตหลังความตายขึ้นเพื่อสร้างความหวังว่าตายแล้วก็ยังได้เกิดใหม่ซึ่งอาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำไป แบบนี้ความกลัวตายก็เบาลงไปได้มาก
เรื่องราวชีวิตหลังความตายมีในทุกอารยธรรมโบราณ ถ้ามีเวลาว่างมากพอน่าศึกษา น่าอ่านมากแม้แต่เพื่อความบันเทิง คำสำคัญสำหรับการค้นคว้าเรื่องนี้หลัก ๆ ก็ Mythology หรือเทพปกรณัม ที่หาง่าย ๆ หน่อยก็จะเป็นเทพปกรนัมอิยิปต์ กรีก โรมัน ที่เราคุ้นเคยก็เทพเจ้าของฮินดู แต่ถ้าทักษะในการอ่านและการค้นคว้าสูงขึ้นมาหน่อยโดยเฉพาะอ่านภาษาอังกฤษได้ดีจะหาอ่านเรื่องชีวิตหลังความตายในวัฒนธรรมต่าง ๆ ได้เยอะมาก ๆ
เมื่อเราอ่านเรื่องราวหลังความตายที่แตกต่างกันมากมายหลายแบบทั้งที่คล้ายกันบ้างแตกต่างกันแบบสุดขั้วบ้างเราจะเริ่มเข้าใจและรู้คำตอบอีกมากมายว่าใครสร้างเรื่องพวกนี้ขึ้น สร้างขึ้นทำไม แม้จนกระทั่งทำให้เราเห็นความหมายชีวิตของผู้คนที่อยู่ในวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ต่างยุคสมัย แตกต่างกันในเงื่อนไขของสิ่งแวดล้อมในการดำเนินชีวิต
ส่วนคำถามที่ว่าถ้าไม่มีชีวิตหลังความตายทุกอย่างไร้ความหมายเป็นคำถามที่ไม่มีความเป็นผลหรือมาจากเหตุที่เกี่ยวข้องกัน คำถามที่ว่าชีวิตเกิดมาทำไมก็ไม่มีความสืบเนื่องเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้ามเมื่อชีวิตเรามันมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เวลาในชีวิตผ่านไปแล้วผ่านไปเลยมันไม่มีวันหวนกลับมาอีกนั่นยิ่งทำให้ทุกเวลานาทีมีคุณค่ามากมาย ทุกขณะที่เราสัมผัสถึงสายลมอ่อน ๆ เย็นสบาย แสงแดดที่อบอุ่น ท้องฟ้า ทิวเขา ท้องทะเล ทุ่งหญ้า ล้วนเป็นสิ่งสวยงามและสัมผัสได้รู้สึกได้เฉพาะตอนนี้ เฉพาะขณะที่เรามีลมหายใจอยู่เท่านั้น
ชีวิตของคนแต่ละคนที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นตรงที่สามารถหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ได้มากมากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ทุกคนต้องหาความหมายให้กับตนเองให้ดีจึงจะเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ ก่อนที่จะหมดโอกาสค้นพบความหมายดี ๆ ไปชั่วนิจนิรันดร์
คำตอบสุดท้ายไม่มีพระเจ้าหรือทวยเทพองค์ไหนสร้างสรรพชีวิตขึ้นมา พระเจ้าหรือเทพสูงสุดองค์ไหนก็ถูกสร้างขึ้นมาในยุคสมัยหนึ่ง ๆ แล้วก็เสื่อมสลายไปในเวลาไม่นานนักอาจจะยิ่งใหญ่อยู่ได้กว่าพันปีแต่ก็กลายเป็นทรากปรักหักพังที่คนรุ่นหลังแทบไม่รู้จักเหมือนเทพเจ้าของชาวเมโสโปเตเมีย บาบิโบเนีย มายา แอสเท็ค แม้แต่ทรากหักพังของเทพเจ้าอิยิปต์ กรีก โรมัน ฮินดู ก็ใช่ว่าจะมีคนรุ่นใหม่รู้จักกันมากมายนัก
ลองตามอ่าน Spinoza's God ดูจะได้แนวคิดพวกนี้ได้ดี ไอสไตน์เมื่อถูกถามเรื่องพวกนี้เขามักจะเลี่ยงการตอบตรง ๆ โดยบอกว่าเขาเชื่อใน Spinoza God เสมอ ๆ ..อ่านคำประพันธ์นี้ปิดท้ายเพลิน ๆ
โฆษณา