15 ก.ย. 2021 เวลา 02:08 • กีฬา
ถ้าหากการเปิดบ้านถล่ม นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 4-1 ในเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อคืนวันเสาร์ คือนัดที่ทำให้แฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีความสุขมากที่สุดในรอบหลายปี ก็ต้องบอกเลยว่า การบุกแพ้ ยัง บอยส์ 1-2 ในเกมประเดิมรอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อคืนนี้ คือแมตช์ที่เลวร้ายที่สุดของทีมปีศาจแดงในปี 2021 นี้อย่างไม่ต้องสงสัย
มันเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บใจที่แพ้ ลิเวอร์พูล คาบ้านตัวเอง 2-4 เมื่อเดือนพฤษภาคม
มันเลวร้ายยิ่งกว่าการดวลจุดโทษแพ้ บียาร์เรอัล ในนัดชิงชนะเลิศ ยูโรปา ลีก
มันเลวร้ายยิ่งกว่าเกมที่เคยแพ้ทีมอย่าง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด คาบ้านในช่วงต้นปี
ถ้าจะให้วิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่เกรงใจ ผมใช้คำว่า “อัปยศ” ได้เลยนะครับ สำหรับความพ่ายแพ้นัดล่าสุดของทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์
ก่อนอื่นผมอยากให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า เราไม่ควรประเมินศักยภาพของ ยัง บอยส์ ต่ำเกินไป
แม้จะมีชื่อชั้นเป็นรองทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด, บียาร์เรอัล และ อตาลันต้า จนทำให้ใครๆ ก็มองว่าพวกเขาคือทีมแจกแต้มประจำกลุ่มแน่ๆ แต่จริงๆ แล้ว ทีมจากเมืองเบิร์นทีมนี้ ไม่ได้กระจอกอย่างที่หลายคนคิด
ยัง บอยส์ คือทีมที่สามารถโค่นอำนาจ เอฟซี บาเซิ่ล ผงาดคว้าแชมป์ สวิส ซูเปอร์ ลีก มานานถึง 4 ฤดูกาลซ้อนๆ ซึ่งในรอบ 4 ซีซั่นที่ผ่านมา พวกเขาเคยเอาชนะทีมจากลีกใหญ่อย่าง ยูเวนตุส และ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในรายการฟุตบอลยุโรปให้เห็นมาแล้ว
จุดแข็งสำคัญของ ยัง บอยส์ คือฟอร์มการเล่นเกมเหย้าอันสุดแกร่ง เพราะนับตั้งแต่เข้าสู่ปี 2021 พวกเขาแพ้คาบ้านเพียงครั้งเดียวจากการลงเตะ 18 นัดนับรวมทุกรายการ (ชนะ 15 เสมอ 2 แพ้ 1) และก่อนหน้าจะเปิดบ้านพบกับผีแดง พวกเขาไม่แพ้คาบ้านมานานถึง 11 นัดติดต่อกัน
ทีมเดียวในศักราชนี้ที่สามารถบุกไปชนะพวกเขาได้ถึงถิ่น คือ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ที่บุกอัด 2-0 ในศึก ยูโรปา ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย เลกสอง ฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้ยักษ์ใหญ่จากเนเธอร์แลนด์บุกชนะไม่ยาก นั่นเป็นเพราะตุนสกอร์นำห่าง 3-0 มาจากเลกแรกที่อัมสเตอร์ดัมไว้ก่อน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้แชมป์จากแดนนาฬิกามีฟอร์มการเล่นในบ้านที่แข็งแกร่งมาก นั่นก็คือสนาม สตาดิโอน วังค์ดอร์ฟ ของพวกเขาปูด้วยหญ้าเทียม ซึ่งแตกต่างจากสนามหลายๆ แห่งในยุโรป นั่นทำให้ทีมไหนที่ไปเยือน เล่นกับลูกบอลได้ไม่ค่อยถนัดนัก
1
ในฤดูกาล 2018-19 ซึ่ง ยัง บอยส์ ลงเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่มเป็นครั้งแรก พวกเขาอาจจะประเดิมด้วยการแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คาบ้าน 0-3
แต่หลังจบเกมดังกล่าว โชเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งคุมทัพปีศาจแดงในเวลานั้น บ่นยับว่าการที่นักเตะต้องลงไปหวดกันในสนามหญ้าทำให้ลูกทีมของเขาเล่นกับบอลได้ไม่เป็นธรรมชาติ และมีบางคนที่เจอปัญหาบาดเจ็บแถมมา
ซีซั่นดังกล่าว ยัง บอยส์ อาจจะตกรอบไปในฐานะอันดับบ๊วยของกลุ่ม แต่นอกจากเกมที่แพ้ผีแดงแล้ว พวกเขาสามารถเปิดบ้านเสมอกับ บาเลนเซีย 1-1 และพลิกล็อคชนะ ยูเวนตุส ชุดที่มี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ลงเต็ม 90 นาทีได้ 2-1
1
นั่นจึงพอเป็นหลักฐานที่เพิ่มน้ำหนักได้ว่า ทีมใดก็ตามที่บุกไปเยือนรังเหย้าของพวกเขา ต่อให้ขนนักเตะดาวดังลงไปเล่นหลายคน ก็ใช่ว่าจะได้ 3 แต้มกลับออกไปได้ง่ายๆ เพราะนอกจากพื้นสนามที่แปลกจากที่อื่นๆ ในยุโรปแล้ว แฟนบอลของ ยัง บอยส์ ยังช่วยสร้างบรรยากาศให้ดูเป็นนรกสำหรับทีมเยือนอีกด้วย
ในฤดูกาล 2021-22 นี้ ยัง บอยส์ มีการเปลี่ยนตัวกุนซือ เพราะ เจราร์โด้ ซิอัวเน่ ซึ่งพาทีมคว้าแชมป์ลีกมา 3 ฤดูกาลหลังสุด ย้ายไปคุม ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น
เฮดโค้ชคนปัจจุบันของพวกเขาคือ ดาวิด ว้ากเนอร์ ซึ่งประวัติไม่ค่อยสวยงามเท่าไร เพราะเคยคุมทีมอย่าง ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ และ ชาลเก้ 04 ทำผลงานแย่จนโดนไล่ออกมาแล้ว
สำหรับการมาคุม ยัง บอยส์ ในซีซั่นนี้ ปกติแล้ว ว้ากเนอร์ มักจะจัด 11 คนแรกโดยใช้ระบบกองหน้า 2 ตัวทุกนัด แต่การเจอกับทีมที่เหนือกว่าพวกเขามากอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำให้เขาเน้นความรัดกุมในแดนกลางเพิ่มขึ้น โดยเลือกปรับมาใช้แผน 4-2-3-1 วาง เมส์ชัต เอเลีย ตัวความเร็วจัดทีมชาติดีอาร์คองโก ยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า
น่าแปลกใจเล็กน้อยตรงที่ เอเลีย ได้ลงตัวจริงในแดนหน้า แทนที่จะเป็น จอร์แดน ซีบัตเชอ หัวหอกทีมชาติสหรัฐอเมริกาที่ฟอร์มในฤดูกาลนี้น่าจะดีกว่า (ยิง 6 ประตูจาก 11 นัดรวมทุกถ้วย) แถมส่วนสูง 190 เซนติเมตรของ ซีบัตเชอ ก็น่าจะคุกคามแนวรับปีศาจแดงที่มักมีปัญหากับลูกกลางอากาศได้มากกว่า เอเลีย ที่เป็นกองหน้ารูปร่างเล็กด้วย
อย่างไรก็ตาม กองหน้าดาวเด่นตัวจริงเสียงจริงของ ยัง บอยส์ คือ ฌอง-ปิแอร์ เอ็นซาเม่ ดาวซัลโวสูงสุดลีกสวิสฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งมีดีกรีเป็นศูนย์หน้าทีมชาติแคเมอรูนต่างหาก แต่น่าเสียดายที่เขาเจ็บเอ็นร้อยหวายในช่วงปลายซีซั่นก่อน และยังคงไม่พร้อมคืนสนาม จึงพลาดลงโชว์ฝีเท้าในเกมรับมือจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก
ส่วนนักเตะคนอื่นๆ ที่เด่นๆ ได้แก่ คริสเตียน ฟาสส์นัคท์ ปีกขวาดีกรีทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ และมี คริสโตเฟอร์ มาร์ตินส์ เปเรยร่า กองกลางผิวดำจากทีมชาติลักเซมเบิร์ก ลงเป็นตัวตัดเกม
1
ถึงแม้ ยัง บอยส์ จะเต็มไปด้วยผู้เล่นที่ชื่อไม่ค่อยคุ้นหู แต่ด้วยความที่พวกเขาเล่นในสนามเหย้าของตัวเอง และเป็นเกมระดับ แชมเปี้ยนส์ ลีก นั่นทำให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ไม่คิดจะประมาทพวกเขาเกินไป
11 ตัวจริงที่จัดลงไปสู้ แม้จะมีการปรับเปลี่ยน 3 ตำแหน่งจากชุดที่ถล่ม นิวคาสเซิ่ล แต่บรรดาสตาร์ดังหลักๆ ยังได้ออกสตาร์ทกันเพียบ
ผมไม่ค่อยเห็นด้วยนัก ที่ โซลชาร์ ปรับตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก เพราะ ราฟาแอล วาราน ที่เพิ่งย้ายมาใหม่ๆ ควรจะได้เล่นคู่กับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ให้ต่อเนื่องกว่านี้ เพื่อให้การประสานงานกันที่กำลังทำได้ดีไม่เสียจังหวะไป
แต่ผมก็เข้าใจได้ ที่ โซลชาร์ อยากให้นักเตะที่เคยเป็นกองหลังตัวหลักของเขามาหลายปีอย่าง วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ได้ลงเล่นบ้าง เพราะโอกาสลงตัวจริงในพรีเมียร์ลีกคงเหลือน้อยมากๆ แล้วจากการเข้ามาของ วาราน
ตำแหน่งมิดฟิลด์ต้องเปลี่ยนเช่นกัน เพราะ เนมานย่า มาติช เพิ่งลงสนามเต็ม 90 นาทีไปเมื่อวันเสาร์ ซึ่งสภาพร่างกายของเขาไม่สมควรลงกรำศึกหนักติดๆ กันโดยได้พักไม่กี่วัน นั่นทำให้ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ได้โอกาสออกสตาร์ทสมกับที่แฟนบอลอยากเห็นซะที โดยจับคู่กับ เฟร็ด ที่ไม่ได้ลงเล่นเกมลีกนัดล่าสุด
คนที่หลุดไปนั่งสำรองคือดาวรุ่งอย่าง เมสัน กรีนวู้ด เพื่อเปิดทางให้ เจดอน ซานโช่ ได้ลงเล่นปีกขวา เขาถูกซื้อมาเพื่อเป็นตัวหลักตำแหน่งนี้ให้สโมสรในระยะยาว นั่นจึงมีส่วนให้ ซานโช่ ได้สิทธิพิเศษในการได้ลงตัวจริงก่อนคนอื่นๆ แม้ฟอร์มจะยังไม่น่าพอใจ และดูจะยังเล่นไม่เข้าขากับเพื่อนร่วมทีมใหม่ก็ตาม
นอกนั้น ปอล ป็อกบา เริ่มเกมด้วยการยืนเป็นตัวทำเกมฝั่งซ้าย ให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส เป็นเพลย์เมกเกอร์ตัวปั้นเกมรุก ส่วน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยังได้ลงยืนกองหน้าตัวเป้า
มันดูเป็น 11 ตัวจริงที่เหนือกว่า ยัง บอยส์ มาก หากมองจากเฉพาะชื่อชั้น...
แต่ความเป็นจริงก็คือ การลงไปเจอกับเจ้าถิ่นซึ่งเป็นสโมสรตัวแทนจากสวิตเซอร์แลนด์ ที่คุ้นกับสนามหญ้าเทียมของตัวเองมากๆ ในบรรยากาศที่มีแฟนบอลเข้ามาช่วยสร้างความฮึกเหิมแบบแทบเต็มความจุ มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทีมเยือนอยู่แล้ว
เจดอน ซานโช่ ที่เล่นไม่ออกในพรีเมียร์ลีก พอมาเจอกับพื้นสนามหญ้าเทียมที่ไม่คุ้นเคย และโดนนักเตะเจ้าถิ่นเข้าประชิดตัวเร็ว ทำให้เขาดูจะเล่นได้ยากยิ่งกว่าตอนลงเตะเกมลีกเสียอีก
ทางเดียวที่จะทำให้ ซานโช่ เล่นได้ง่ายขึ้น และมั่นใจขึ้น นั่นก็คือทีมปีศาจแดงต้องพยายามขึ้นนำให้ได้เร็วๆ และก็ทำได้จริงๆ ในนาทีที่ 13
การประสานงานจาก 2 ซูเปอร์สตาร์ทีมชาติโปรตุเกส เมื่อ บรูโน่ แฟร์นันด์ส จ่ายติดไซด์ก้อยด้วยเท้าขวาจากฝั่งซ้ายเข้าไปในเขตโทษ ให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หลุดกับดักล้ำหน้าไปยิงตามน้ำ ส่งบอลลอดขา ดาวิด ฟอน บัลส์มูส ข้ามเส้นประตูเข้าไป แสดงให้เห็นถึงจินตนาการของคนแอสซิสต์ และสัญชาตญาณดาวยิงระดับโลกของคนจบสกอร์
1
นาทีที่ 24 เราได้เห็นจังหวะที่ ซานโช่ โชว์ความคล่องในการโจมตีเร็ว เมื่อได้บอลทางกราบขวาจาก อารอน วาน-บิสซาก้า แล้วล็อคหลบ คริสโตเฟอร์ มาร์ตินส์ เข้าในก่อนจ่ายให้ บรูโน่ ไหลต่อให้ โรนัลโด้ แตะบอลเข้าไปซัดด้วยซ้ายมุมแคบ แต่ว่าโดน ดาวิด ฟอน บัลส์มูส ผวาปัดได้ ซึ่งดูจะเป็นสัญญาณที่ดีว่าทีมเยือนสามารถบุกเอาประตูที่ 2 ได้ไม่ยาก
แต่ไม่น่าเชื่อว่านั่นจะเป็นโอกาสยิงครั้งสุดท้ายในเกมนี้ของ แมนฯ ยูไนเต็ด และเป็นจังหวะเดียวในเกมนี้ที่ ซานโช่ ทำได้ดี เพราะถัดจากนั้น 10 นาทีเศษ ผีแดงมาเสียเปรียบตัวผู้เล่นจากการโดนไล่ออกของ อารอน วาน-บิสซาก้า
จากที่ดูภาพรีเพลย์จังหวะใบแดง ผมมั่นใจว่า วาน-บิสซาก้า ไม่ได้มีเจตนาเปิดปุ่มย่ำใส่คู่แข่งนะครับ
1
เพียงแต่เขา “ไม่ระมัดระวัง” เอาเสียเลยในจังหวะ 50-50 ที่ตัวเองแตะบอลยาวเกินไปแล้วจะรีบตามไปแย่งคืน เพราะพอถึงบอลช้ากว่า แล้วเท้าไปอยู่ในเหลี่ยมที่ทำอันตราย คริสโตเฟอร์ มาร์ตินส์ ต่อหน้าต่อตาผู้ตัดสินแบบนั้น จึงกลายเป็นว่าต้องรับสภาพกับการเป็นแพะรับบาป ที่ทำให้ทีมเสียเปรียบตัวผู้เล่นทันที
สถานการณ์ตอนนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ประตูนำที่ต้องการไปแล้ว และตำแหน่งแบ็กขวาที่หายไปคือจุดบอดที่จะโดนคู่ต่อสู้เจาะได้ ผมจึงเข้าใจและเห็นด้วยกับ โซลชาร์ ที่รีบถอด ซานโช่ ที่ยังเล่นไม่ค่อยเวิร์คออกมาก่อน แล้วส่ง ดีโอโก้ ดาโลต์ ลงไปแทนเพื่อปรับแผนเป็น 4-4-1
1
ดาโลต์ คือตัวสำรองที่เหมาะที่สุดแล้วกับการทำหน้าที่เล่นเกมรับ และหาโอกาสบุกขึ้นทางริมเส้นได้ด้วย นั่นจึงเป็นการเปลี่ยนตัวที่ไม่ผิดเลยในสถานการณ์ที่เหลือ 10 คน
1
การที่ทีมเยือนรอดตัวหวุดหวิดจากการโดนตีเสมอในช่วงท้ายครึ่งแรก ที่ อูลิสเซส การ์เซีย ครอสจากซ้ายแล้วบอลกระดอนพื้นเลยไปถึง คริสเตียน ฟาสส์นัคท์ เติมขึ้นมาวอลเลย์หลุดกรอบ ทำให้ผมรู้สึกว่าโมเมนตัมน่าจะเข้าทางทีมปีศาจแดง เพราะการรักษาสกอร์นำจนถึงช่วงพักครึ่งได้ น่าจะทำให้ไปประชุมแก้ไขสถานการณ์ที่เหลือนักเตะน้อยกว่าได้ดีกว่าโดนตีเสมอ
แต่ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าสิ่งที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เลือกทำในครึ่งหลัง จะแสดงให้เห็นถึงการขาดทัศนคติผู้ชนะไปมากขนาดนี้
แน่นอนว่า การลงแข่งเกมระดับ แชมเปี้ยนส์ ลีก คนเป็นผู้จัดการทีมต้องห้ามประมาทคู่แข่งทุกทีมที่ต้องเจอ
แต่สิ่งที่เขาทำ มันไม่ใช่การประเมินคู่แข่งต่ำ แต่มันคือการด้อยค่าศักยภาพทีมตัวเองว่าดีพอจะชนะได้แม้เหลือผู้เล่นน้อยกว่าต่างหาก
แน่นอนว่า ยัง บอยส์ ที่ได้เปรียบตัวผู้เล่นแต่สกอร์ตามหลัง เลือกที่จะเน้นเกมรุกให้มากขึ้น โดยถอดกองกลางอย่าง แว็งซ็องต์ เซียร์โร่ ออก แล้วเติม จอร์แดน ซีบัตเชอ ที่เป็นกองหน้ารูปร่างสูงใหญ่ลงไปแทน พร้อมกับปรับระบบเป็น 4-4-2 เน้นการครอสเข้าไปโจมตีในกรอบเขตโทษอย่างเต็มตัว
แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไม โซลชาร์ ถึงต้องกลัวเจ้าบ้านมากขนาดที่จะต้องรีบถอดกองกลางแล้วเสริมกองหลังลงไปอุดเร็วขนาดนั้น ทั้งที่เวลายังเหลืออีกตั้ง 45 นาที
ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค อาจจะไม่ใช่นักเตะตัวรับธรรมชาติ แต่เขาสามารถช่วยทีมแก้เพรสซิ่ง และใช้การเชื่อมบอลไม่กี่จังหวะ เพื่อเปลี่ยนจากรับเป็นรุกในตอนที่คู่แข่งพลาดได้ แต่กลายเป็นว่ามันคืออีกเกมที่มิดฟิลด์ชาวดัตช์ได้โอกาสช่วยทีมน้อยเกินไป เพื่อส่ง ราฟาแอล วาราน ลงไปช่วยป้องกันอีกแรงแทน
แน่นอนว่า วาราน คือเซนเตอร์แบ็กคุณภาพ แต่ในแง่แท็กติกแล้ว การเปลี่ยนแผนจาก 4-4-1 มาเล่น 5-3-1 ไม่ต่างอะไรกับการทำลายสมดุลแดนกลาง แล้วกวักมือเรียกคู่แข่งให้มาบุกใส่ตัวเอง โดยมั่นใจว่ากองหลังที่อัดลงไปแน่นๆ นั้นจะเอาอยู่
เพียงแค่ 20 กว่านาทีหลังจาก โซลชาร์ เปลี่ยนตัวตอนเริ่มครึ่งหลัง เราก็ได้เห็นว่าการรีบเล่นแบบเสี่ยงรอโดน ก็ทำให้ทีมโดนตีเสมอจริงๆ ในนาทีที่ 66 แถมยังเป็นการเสียประตูในแบบที่เจอเป็นประจำจากฤดูกาลที่แล้วอีกต่างหาก
1
นั่นคือการพยายามใช้นักเตะไปอัดแน่นในกรอบเขตโทษมากเกินไป แต่ฟูลแบ็กกลับเปิดพื้นที่ให้ตัวริมเส้นฝั่งตรงข้ามได้ครอสง่ายๆ ซึ่งสุดท้ายการที่ ลุค ชอว์ หุบเข้าใน กลายเป็นเปิดโอกาสให้ เมส์ชัค เอเลีย ฉีกออกด้านกว้างแล้วเปิดแฉลบเขาไปถึงหน้าประตู ก่อนที่บอลจะเลยไปถึง มูมี่ เอ็นกามาเลอ แหย่เท้ายิงจ่อๆ ตุงตาข่าย
ต่อให้ ดาบิด เด เคอา จะปฏิกิริยาดีแค่ไหน แต่โดนจ่อๆ ซะขนาดนี้ ก็หมดปัญญาเหมือนกัน
ถ้าหากการเปลี่ยนตัวเพื่อหวังรักษาสกอร์นำ 1-0 ด้วยการอุดท่าเดียวแต่ไม่ได้ผลว่าแย่แล้ว ต้องบอกว่าการตัดสินใจเปลี่ยนตัวเพื่อรักษาสกอร์นำ 1-1 ในการเจอกับทีมที่คุณภาพเป็นรองตัวเองมากอย่าง ยัง บอยส์ มันคือสิ่งที่แฟนบอลยิ่งรับไม่ได้อย่างแรง
1
ในสถานการณ์ที่ทีมเหลือผู้เล่นน้อยกว่า, สกอร์กลับมาเท่ากัน แล้วรูปเกมตกเป็นรอง การเหลือนักเตะที่มีความสามารถเฉพาะตัวสูงพอจะสร้างความแตกต่างให้ทีมพลิกกลับมาทำประตูได้อีกครั้ง ยังพอจะทำให้ทีมของคุณเหลือโอกาสเป็นผู้ชนะได้อยู่บ้าง ตราบใดที่ยังไม่โดนนำ
แต่การถอด คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ออกมาพร้อมๆ กัน แล้วส่งนักเตะที่ฟอร์มเอาแน่เอานอนไม่ได้อย่าง เจสซี่ ลินการ์ด ลงไปเป็นตัวรุก และส่งกองกลางที่เชื่องช้า และไม่ได้ถนัดเกมบุกอย่าง เนมานย่า มาติช มันทำให้แฟนบอลมองไม่เห็นเลยว่า ถ้าคู่แข่งไม่พลาดให้ จะเอาอะไรไปคว้า 3 แต้มได้
จังหวะที่ทำให้แฟนผีพอจะยิ้มได้ในครึ่งหลัง ไม่ใช่การเล่นใดๆ ของทีม แต่เป็นช็อตที่มีแฟนบอลเจ้าถิ่นวิ่งลงไปป่วนในสนามช่วงท้ายเกมให้ได้หัวเราะนิดหน่อยต่างหาก
ยิ่งเวลาผ่านไป แฟนบอลคงพอทำใจยอมรับไว้แล้วว่าเกมนี้คงเสมอ 1-1 แน่ๆ แต่ใครจะไปคิดว่าในนาที 90+5 ซึ่งเป็นช่วงวินาทีสุดท้ายของเกม จู่ๆ เจสซี่ ลินการ์ด จะจ่ายบอลคืนหลังพลาด แล้วไปเข้าทาง จอร์แดน ซีบัตเชอ ได้ส้มหล่นหลุดไปยิงผ่าน เด เคอา จนเป็นประตูชัยให้เจ้าถิ่นแบบนั้น
1
สถิติระบุว่า ในครึ่งหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่มีโอกาสยิงเพิ่มเลยสักครั้ง แต่ปล่อยให้ ยัง บอยส์ ยิงใน 45 นาทีหลังรวมกัน 13 ครั้ง แล้วพลิกจากตามหลังครึ่งแรก 0-1 กลับมาชนะ 2-1 นี่อยากจะถาม โซลชาร์ ว่า “นี่น้าทำอะไรลงไปวะ?”
ยิ่งได้เห็น อองโตนี่ มาร์กซิยาล ลงสนามเป็นตัวสำรองโควตาสุดท้ายไปแทน เฟร็ด ในนาทีที่ 88 ตอนที่สกอร์ยังเสมออยู่ นอกจากผมแล้ว เชื่อว่ามีอีกมากที่คิดในใจว่า แล้วจะเอา บรูโน่ กับ โรนัลโด้ ออกมาก่อนเพื่อ?
คือถ้าจะบอกว่าต้องการเก็บสภาพร่างกาย 2 ตัวหลักไว้ใช้สำหรับเกมลีกนัดหน้า ก็ดูเหมือนว่าจะรีบคิดเรื่องนั้นเร็วไปหน่อย เพราะกว่าจะลงเล่นกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ก็มีเวลาอีกตั้งเกือบ 5 วัน แถมทีมขุนค้อนต้องลงเตะ ยูโรปา ลีก คืนวันพฤหัสบดีนี้ด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าทุกการตัดสินใจของ โซลชาร์ เขาย่อมมีเหตุผล แต่เมื่อผลลัพธ์ออกมาแบบนี้ โดยที่แฟนบอลไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนตัวของเขาเลยในครึ่งหลัง เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงการโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงได้เลย
มันปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ ว่าสิ่งที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ทำในเกมนี้ มันแสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้จัดการทีมที่มีทัศนคติกลัวแพ้ มากกว่าจะพยายามเอาชนะ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อคืนนี้ อย่างกับว่าเป็นคนละทีมกับที่ทำให้แฟนบอลได้มีความสุขอย่างล้นหลามเมื่อคืนวันเสาร์
บางที ฝันร้ายในค่ำคืนยุโรปยังคงหลอกหลอนเขา และนั่นอาจจะส่งผลให้เขาไม่มีความมั่นใจมากเท่ากับการคุมทีมลงเล่นเกมลีกที่มักจะทำได้ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม การที่ผลอีกคู่ในกลุ่มเดียวกัน บียาร์เรอัล เสมอกับ อตาลันต้า 2-2 โดยที่ ฟร็องซิส โกเกอแล็ง กองกลางของ บียาร์เรอัล โดนใบเหลือง-แดง และจะติดโทษแบนในเกมที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ยังทำให้สถานการณ์ในการลุ้นเข้ารอบไม่ได้เลวร้ายมากนัก
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังมีอีก 15 คะแนนเต็มให้ลุ้นเก็บ จากโปรแกรม 5 นัดที่เหลือ ส่วนสถานการณ์ในพรีเมียร์ลีก พวกเขาก็ไม่ได้มีแต้มตามหลังใคร
นั่นหมายความว่าความพ่ายแพ้นัดนี้แค่นัดเดียว มันยังไม่ได้ทำลายฤดูกาลนี้ของทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ให้พังพินาศ
แต่เขาย่อมรู้ดี ว่าเหตุการณ์แบบนี้ แฟนบอลคงไม่ยอมให้เกิดขึ้นบ่อยๆ ได้อีกแล้ว...
#เสียบสามเหลี่ยม #ผีแดง #ปีศาจแดง #แมนยู #แมนฯยูไนเต็ด #แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด #ยังบอยส์ #โซลชาร์ #โรนัลโด้ #ซานโช่ #วานบิสซาก้า #ลินการ์ด #UCL #แชมเปี้ยนส์ลีก #ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก
สนับสนุนโดย GG Live แอปจัดทีมแฟนตาซีพรีเมียร์ลีก ลุ้นเงินรางวัลแชมป์ประจำเกมวีคมูลค่าหลายแสนบาทได้ทุกสัปดาห์
เพจเสียบสามเหลี่ยม จับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับ GG Live อย่างเป็นทางการ จึงอยากเชิญชวนผู้คนที่สนใจร่วมสนุกลุ้นรางวัลจากการจัดทีมแฟนตาซีพรีเมียร์ลีกทุกสัปดาห์ ถ้าคุณต้องการกดซื้อตั๋วแพ็กเกจแบบพรีเมี่ยม (99 บาท ลุ้นเงินรางวัลไม่ต่ำกว่า 2 แสนบาทถ้าเป็นแชมป์) ให้เข้าผ่านลิงก์นี้ครับ
ทุกยอดคลิกสั่งซื้อ จะถือเป็น Performance และการสนับสนุนเพจและพาร์ทเนอร์ของเราให้เติบโตไปด้วยกัน โดยที่คุณสามารถนำตั๋วไปลุ้นรางวัลต่อได้ และจะทำให้การดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้สนุกยิ่งขึ้น
โฆษณา