11 ต.ค. 2021 เวลา 02:00 • ท่องเที่ยว
Chapter 12 : Hokkaido ❄️ My Ice Ice Baby ❄️
ยืนหนาวเวิ้งว้างกลาง Hokkaido 🥶
ฮู้วววว ใครจะไปนึก เดือนมกรา 2021 อยู่ๆ อากาศในกรุงเทพฯ จะลดลงเหลือ 17 องศา ดีใจรีบควักเสื้อกันหนาวที่เก็บไว้ในตู้ (จนขนที่เคยฟูๆ ยุบไปจะหมดละ) กลับมาใส่อีกครั้ง พอได้อยู่ใน moment winter แบบนี้ก็ทำให้นึกถึงทริปที่ไป ฮอกไกโด (Hokkaido) เมื่อเดือนธันวาปี 2016 ขึ้นมาเลย
ตอนนั้นโชคดี เหล่าผู้สูงอายุในครอบครัวบอกอยากไปเล่นหิมะ ก็เลยเกิดทริปครอบครัวขึ้น เราซึ่งถูกมองว่าเป็นเด็ก (ในสายตาเหล่าผู้สูงอายุ 🤣) ก็เลยได้ติดสอยห้อยตามไปด้วย เพราะพวกผู้ใหญ่ต้องการคนคอยดูแลเทคแคร์ อิอิ บุญหล่นใส่ ใครจะไม่ไปล่ะ ให้ไปยกกระเป๋า 20 ใบช้านก็ไป
เพราะมีแต่ผู้ใหญ่อายุเยอะๆ (แก่สุดเห็นจะเป็นแม่เรา 72 ในตอนนั้น) ที่เหลือก็ลดหลั่นกันไป แต่ทุกคนยังสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงเต็มร้อย เราก็เลยคิดว่าจะจัดทัวร์แบบหลวมๆ ที่ทริปไม่แน่นจนเกินไป ผู้ใหญ่จะได้ไม่เหนื่อยมาก ก็เลยติดต่อบริษัทฯ ทัวร์ที่เคยใช้บริการกันอยู่เพื่อให้เค้าจัด private trip แค่ 14 คน หลังจากจัดสรรทริป เลือกที่จะไป ที่จะกิน ที่จะนอนกันเสร็จ ก็รอวันเดินทางเลยจ้า
วันแรก เราออกเดินทางกันวันที่ 13 ธค. 2016 เป็นไฟล์ทกลางคืน ก็จะถึงที่ญี่ปุ่นเช้าพอดี ทริปนี้ประมาณ 7 วัน (รวมวันเดินทาง) จุดหมายคือ Hokkaido เกาะสีขาวที่มีหิมะปกคลุมเกือบตลอดทั้งปี ❄️☃️
เราเลือกเดินทางกะการบินไทยเหมือนเดิมไปลงสนามบิน Chitose
วันที่ 2 ถึงจี้ปุ่งละฮะ ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยก็นั่งรถไปเมืองโทย่ากัน ระหว่างทางก็แวะทานมื้อเที่ยงซึ่งเป็นเมนู Kani Goten หรือขาปูหม้อไฟ 😋
Kani Goten
ทานอิ่มแล้วก็นั่งรถต่อเพื่อไปล่องเรือที่อุทยานแห่งชาติ โทยาโกะ (Toyako National Park) ทะเลสาปสวยนะ แต่ออกไปถ่ายรูปได้แป๊บเดียวเพราะมือหงิก หนาวมากกก 🥶ต้องรีบเข้ามาหลบลมข้างในเรือ
โทยาโกะ (Toyako National Park)
เสร็จจากล่องเรือ เราก็เดินทางต่อไปเมือง นิเซโกะ (Niseko) ระหว่างทางก็แวะจุดพักรถเพื่อยืดเส้นยืดสายเข้าห้องน้ำกัน เราชอบจุดพักรถที่ญี่ปุ่นมากเพราะสะอาด สะดวกสบายมาก และมีร้านรวงขายของ ร้านขนมน่ารักน่าทาน คือทำให้เราเสียเงินได้แน่ๆ อ่ะ อ้อ และวิวที่นี่ก็โคดดีงาม 😄
ถึงซะที โรงแรมที่เราจะพักกันคืนนี้ชื่อ Niseko Hilton Ski Resort Hotel วิวสวยมากเลย
Niseko Hilton Ski Resort Hotel
มันเป็น resort สำหรับคนมาเล่นสกีโดยเฉพาะ มีลานสกีอยู่ด้านหลังโรงแรมด้วย เห็นละอยากเล่นสกีเป็นชะมัดเลย แต่แค่สเก็ตเราก็ไม่รอดละ 🤣
คืนนั้นเราทานอาหารเย็นกันที่โรงแรมนั่นแหละ กินปูไปประมาณกระชังนึงได้มั้ง 5555 กินให้สมกะมาฮอกไกโด
หลังจากเสร็จจากอาหารเย็นก็ไปออนเซ็นแช่บ่อน้ำร้อนกันต่อ ซึ่งบอกเลยครั้งแรกเขินมาก เพราะมันต้องถอดหมด คนญี่ปุ่นอ่ะไม่อายหรอกเพราะชีวิตนี้คงเจอกันครั้งเดียว อายก็อายคนในบ้านนี่แหละ 😬 แต่ผู้ใหญ่กลุ่มเราเค้าไม่เขินกันเลย เค้าบอกปูนนี้ละ ไม่มีไรต้องเสีย 555 เห็นกันมาแต่เด็กๆ เราก็เอาวะ ลุย
วิธีการก็คือเราจะต้องอาบน้ำล้างตัวให้สะอาดก่อนลงบ่อออนเซ็น เพื่อสุขอนามัยของส่วนรวม อาบน้ำเสร็จก็เอาน้ำร้อนค่อยๆ ราดตัวอีกซักหน่อยเพื่อปรับอุณหภูมิร่างกาย จากนั้นก็ลงบ่อได้ (เค้าจะให้ผ้าผืนเล็กๆ ขนาดเท่าผ้าเช็ดหัวมาแค่ผืนเดียว เราก็เอาไอ้ผ้านี่แหละมาปิดแก้เขินได้ โห แต่ผืนเล็กขนาดนี้ปิดอะไรดี…อ่ะ ปิดหน้าละกัน 555)
ตอนลงบ่อให้ค่อยๆ แหย่เท้าลงไปก่อนเพื่อให้ได้รู้ถึงอุณหภูมิ (อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 40-44 องศา) จากนั้นค่อยๆ ลดตัวลงน้ำในระดับที่เราหายใจได้ไม่อึดอัดมาก จนลงไปแช่ได้ทั้งตัว อย่ารีบลงไปเพราะร่างกายอาจจะปรับตัวไม่ทัน ทำให้เป็นลมหน้ามืดได้ การแช่แต่ละครั้งก็ไม่ควรนานเกิน 15-20 นาทีกำลังดี
เมื่อแช่เสร็จขึ้นจากน้ำมาก็อย่าเพิ่งรีบอาบน้ำทันที ต้องนั่งพักซักครู่ให้ร่างกายปรับตัวสู่อุณหภูมิปกติอีกครั้งก่อน ที่สำคัญหลังจากออนเซ็นเสร็จก็ต้องดื่มน้ำตามด้วยนะ เพราะตอนออนเซ็นร่างกายเสียน้ำไปมากพอสมควร
ตอนลงบ่อแรกๆ บอกเลยจะรู้สึกทรมานมาก (จะร้อนไปไหนฟระ) แต่พอได้แช่ไปซักพักนะบอกเลยมันสุดยอดมาก โคดผ่อนคลายสบายตัวมากๆ ใครที่เคยได้ลองซักครั้งจะติดใจเลย (ต้องไม่ขี้เขินนะ 😬) คราวนี้ไปโรงแรมไหนที่มีออนเซ็น ตูลงมันทุกที่เลย
ทริปนี้บางโรงแรมที่ไปก็เป็นออนเซ็นแบบ Outdoor ด้วยนะ บรรยากาศสุดยอดมาก (แต่เสียดายไม่สามารถถ่ายมาให้ดูได้เพราะความเป็นส่วนตัว) แต่น้ำก็จะร้อนน้อยกว่าออนเซ็นที่อยู่ Indoor บางที่ก็จะมีบ่อน้ำเย็นให้แช่สลับกันด้วย ซึ่งแรกๆ เราก็กลัวนะว่าจะทำให้เป็นหวัดมั้ย เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว แต่ชาวญี่ปุ่น (และชาวฟินแลนด์) เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างรวดเร็วจะช่วยให้มีสุขภาพดีขึ้นหรือแข็งแรงมากขึ้น ไม่ต้องกลัวป่วยเพราะร่างกายมันจะปรับสมดุลย์ตัวเองอัตโนมัติ และทำให้สุขภาพแข็งแรง
พอออนเซ็นเสร็จกลับห้องดื่มเบียร์เย็นๆ ซักกระป๋อง อู๊วววว หลับสบายเลย เป็นอันจบคืนแรก
วันที่ 3 หลังจากจัดการมื้อเช้ากันเสร็จก็เตรียมตัวแพ็คของเพราะนอนที่นี่แค่คืนเดียว (ทริปนี้คือย้ายโรงแรมมันเกือบทุกคืนอ่ะ) เดี๋ยวเราจะไปเมืองอื่นต่อ แต่ยังมีเวลาเดินเล่นแถวลานสกี
ได้ไปแย่งเด็กเล่นสกีบอร์ดซึ่งตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นของเด็ก เพิ่งมารู้ตอนไต่กลับขึ้นมา เห็นมีคนสอนเด็กเล็กๆ เล่นบอร์ดอันนี้กันอยู่ อายเลย แต่ก็เล่น 2 รอบเลยนะ 🤣🤣🤣
Niseko Hilton Ski Resort Hotel
เห็นบอร์ดเล็กๆ แบบนี้ บอกเลยเล่นยากชะมัด เราเล่นไป 2 รอบ ผู้ใหญ่ลุ้นกันใหญ่ว่าจะกระดูกกระเดี้ยวหักมั้ย ปรากฎคุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง กลับขึ้นมาครบ 32 ทุกครั้ง 🤣
อิตอนเล่นนี่ว่าเหนื่อยแล้วนะเพราะต้องทรงตัวรักษา balance ดีๆ ไม่งั้นมีถาดคว่ำ แต่อิตอนเดินกลับขึ้นมานี่เหนื่อยกว่าอีก 🥴
เล่นจนหนำใจก็ไปเดินเล่นถ่ายรูปกันต่ออีกซักพัก วิวสวยมาก โอ้โห มองไปเห็นมือโปรเล่นสกีกันเต็มลาน เรานี่โคดกระจอกเลย 555
Niseko Hilton Ski Resort Hotel
อ่ะ ต้องมีการถ่ายภาพหมู่เป็นพิธีซักหน่อย 😁
จากที่นี่ เรานั่งรถต่อไปเมืองโอตารุ (Otaru) เมืองท่าอันแสนโด่งดังของเกาะฮอกไกโด
โอตารุ (Otaru)
เราไปเดินเที่ยวในเมืองกัน อากาศดีมากกกก แต่หิมะเต็มถนนเลย เวลาเดินต้องคอยดูแลผู้ใหญ่ กลัวเค้าลื่นกัน แต่ปรากฎเตรียมรองเท้ากันมาดีมาก ดอกยางดีมิมีลื่นเลย
อ้อ จะบอกว่าถ้าใครจะมาเที่ยวเมืองที่มีหิมะ ลงทุนกะรองเท้าหน่อยจะดีมาก เพราะมันปลอดภัยกว่าเยอะ ดีกว่าล้มแล้วขาเคล็ดขาแพลง จะทำให้การเที่ยวไม่สนุกเลย (ยืมคนอื่นมาใส่ดีสุด ไม่เปลือง)
เราได้เข้าไปชม พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี (Music Box Museum) ซึ่งถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1910 อายุเป็นร้อยปีละนะเนี่ย ว้าว 😳 ที่นี่เป็นที่เก็บรวบรวมกล่องดนตรีที่ถูกสะสมมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน สวยมากๆ เลย
ตึกรามบ้านช่องของที่นี่ได้รับอิทธิพลจากรัสเซีย เนื่องจากสมัยก่อนญี่ปุ่นเคยทำการค้าขายกับรัสเซียมาก่อน มันก็เลยดูยุโรปนิดๆ คลาสสิกสวยดี
หลังจากเดินเที่ยวในเมือง กินขนมร้าน Le Tao (ตามระเบียบนักท่องเที่ยวที่ดี) ละก็เดินกลับที่จอดรถ
โอตารุ (Otaru)
สาวๆ หันมาหน่อยจ้า แช๊ะ…📸 (รูปนี้อายุรวมกันร่วม 200 กว่าขวด 🤣🤣🤣🤣🤣)
จากจุดจอดรถ สามารถเดินไปคลองโอตารุได้โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที พวกเรา 4-5 คนทนความหนาวได้เลยลงมาเดินไปคลองกันต่อ ส่วนผู้ใหญ่สละสิทธิ์กันหมดเลยเพราะหนาวมากและลมแรงมาก ก็เลยคอยกันบนรถ
โอตารุ (Otaru)
คลองโอตารุมีความยาว 1,140 เมตร ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1923 เดิมที่นี่ถูกใช้เป็นที่เทียบเรือขนส่งสินค้าทางน้ำ แต่ปัจจุบันที่นี่ได้ถูกดัดแปลงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
โดยรอบๆ คลองโอตารุจะเป็นโกดังสินค้ารูปแบบดั้งเดิมหมดเลย มีความคลาสสิก สวยเก๋โรแมนติกมากกกก 🥰 จุดที่เป็น hi-light จะเป็นตรงหัวสะพานนี่แหละ ที่ถ้าใครเห็นปุ๊บก็จะรู้เลยว่านี่คือคลองโอตารุ
จากคลองโอตารุ พวกเราก็เดินทางเข้าโรงแรม คืนนี้นอนกันที่ Otaru Grand Park Hotel โรงแรมนี้เด็ดตรงที่อยู่ติดกะห้างอิออนเลย เดินทะลุถึงกันได้ พวกเรารีบเก็บของรีบลงมาช็อปเลย อิออนที่นี่มีทั้งร้านขายของ มีทั้งซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วย เจ๋งมาก พวกเราเดินซื้อขนมกันกระจาย ช็อปปิ้งเสร็จก็ทานข้าวเย็นกันในโรงแรมแล้วก็แยกย้ายกันพักผ่อน
Otaru Grand Park Hotel
วู๊ววว วิวในห้องมองเห็นท่าเทียบเรือ สวยมากกก 🤩
วันที่ 4 วันนี้เดินทางไปเมือง อาซาฮิกาว่า (Asahikawa) ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเกาะฮอกไกโด
วันนี้เราไปที่ หมู่บ้านราเมน (Ramen Village) กันเป็นที่แรกเลย
หมู่บ้านราเมน (Ramen Village)
(ไรเนี่ย มายืนถ่ายรูปหน้าห้องน้ำ 🤣🤣🤣)
ที่หมู่บ้านราเมนนี้จะมีร้านราเมนเจ้าดังๆ อยู่ถึง 10 ร้านเลย แต่ละร้านก็จะเอาจุดเด่นของราเมนตัวเองมาแข่งกัน เรามาลองชิมราเมนร้านนี้ (ชื่อร้านอะไรก็จำไม่ได้ละ มีแต่ชื่อร้านตามรูป) ซึ่งมันเป็นซุปกระดูกหมู อร่อยมาก อาจจะเป็นเพราะหนาวด้วยมั้ง กินอะไรร้อนๆ ก็เลยอร่อย 555
หมู่บ้านราเมน (Ramen Village)
จากหมู่บ้านราเมน เราก็ไปย้อนวัยกันนิดนุงส์ที่สวนสัตว์ อาซาฮิยาม่า (Asahiyama Zoo)
ที่นี่มีสัตว์เขตหนาวกว่า 150 ชนิดเลย เช่น แมวน้ำ หมีขาวขั้วโลกเหนือ แต่หมีที่เป็นสัญลักษณ์ของเกาะฮอกไกโดนี่คือหมีสีน้ำตาลนะ ไม่ใช่หมีขาว (สงสัยมีเราคนเดียวที่ไม่รู้ 🥴)
มาเที่ยวสวนสัตว์ก็สนุกดีนะ ไม่ได้น่าเบื่อเหมือนที่คิด ได้เห็นสัตว์ที่ปกติจะเห็นแต่ในทีวีซะเป็นส่วนใหญ่ และอีกอย่างนึงเพราะอากาศมันดีมาก เดินกันสบายๆ
เราชอบที่คนญี่ปุ่นจะเป็นชนชาติที่มีระเบียบวินัยมีมารยาทมาก เค้าจะไม่เบียดเสียดกันไม่แย่งกัน ค่อยๆ ต่อแถวกันไปใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ได้ดู นี่แหละเสน่ห์อีกอย่างที่ทำให้คนทั่วโลกหลงรักญี่ปุ่น 😄
ไฮไลท์ที่ทุกคนอยากดูเมื่อมาสวนสัตว์ อาซาฮิยาม่า คือขบวนพาเหรดน้องๆ เพนกวิน 🐧🐧🐧 ผู้น่ารัก ลูกเล็กเด็กแดงชาวญี่ปุ่นมายืนต่อคิวรอดูน้องๆ กันเต็มไปหมด (รวมถึงพวกเราชาวผู้สูงอายุด้วย 😁) แต่กว่าน้องๆ จะมาอากาศก็เริ่มเย็นขึ้นๆ 🥶 (ขนาดเพิ่งจะประมาณบ่ายสามเองนะ)
ตอนแรกที่ยืนดูก็ยังพอไหวอ่ะนะ เพราะเราใส่เสื้อมาพร้อม แต่อิเท้านี่ดิ พอยืนไปได้ซักพักเจ้าลมเย็นมันก็เริ่มแทรกซึมเข้าไปในรองเท้า เล่นเอานิ้วเท้าเราแข็งไปหมดเลย มันเย็นจนปวดนิ้วเท้ามากๆ เราต้องบอกพี่ๆน้องๆ ว่าเราไม่ไหวแล้ว 🥴 ขอไปนั่งพักในร้านขายของที่ระลึกใกล้ๆ เพื่อเอาไออุ่นหน่อย
พอได้เข้าไปในร้าน ค่อยยังชั่ว…ไออุ่นเริ่มทำให้เท้าเราอุ่นขึ้นจนคลายความเจ็บได้ นึกถึงพวกหนังที่เกี่ยวกับคนติดอยู่กลางพายุหิมะที่เคยดูเลย เข้าใจความรู้สึกเลยว่ามันทรมานขนาดไหน
เรื่องเครื่องแต่งกายนี่สำคัญมากๆ เมื่อมาเที่ยวเมืองหนาว Legging Heat-tech ต่างๆ ถุงมือหนาๆ ถุงเท้าหนาๆ หมวก ผ้าพันคอ ล้วนเป็นของจำเป็นทั้งนั้น เอาไปเถอะได้ใช้อยู่แล้ว ดีกว่าไปละต้องมา "รู้งี้เอามาด้วยดีกว่า" 😬
เอาล่ะ ชื่นชมสัตว์โลกเมืองหนาวผู้น่ารักกันเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทางไปอีกเมือง คราวนี้เราไปเมืองชื่อ โซอุนเคียว (Sounkyo) ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงเรื่องออนเซ็นกัน
วิวข้างทาง มีแต่หิมะขาวโพลน ❄️❄️❄️ ดูละมีความสุขจัง 😄
โซอุนเคียว (Sounkyo)
ถึงละ โรงแรมที่เราจะนอนคืนนี้ชื่อ Sounkyo Grand Hotel จะเป็นสไตล์โบราณๆ นอนกะเสื่อทาทามิ ก็คลากสิกดี และเช่นเคย คืนนี้หลังจากพวกเรา enjoy eating เสร็จละก็ออนเซ็นต่อ (นี่เริ่มติดอ่างละนะเรา 🤣) จากนั้นก็แยกย้ายกันพักผ่อน จบวันที่ 4 จ้า
วันที่ 5 เราออกเดินทางไปเมือง บิเอะ (Biei) เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเมือง อาซาฮีกาว่า กับเมือง ฟูราโน่
บิเอะถือว่าเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงอีกเมืองนึงของเกาะฮอกไกโด เพราะเป็นเมืองที่มีเทือกเขางดงาม มีวิวแบบพาโนราม่าที่สุดอลังการ
เราไปเที่ยวลานสกีกัน (อีกละ)
บิเอะ (Biei)
ที่นี่ผู้ใหญ่ทุกคนก็มาร่วมแจมเล่นเครื่องเล่นกันด้วย เราเลือกเล่น สโนว์ราฟติ้ง (Snow Rafting) เฮฮามาก โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บกระเด็นกระดอนออกจากแพกันเลย 🤣🤣🤣
บิเอะ (Biei)
(ปล. คนบนแพที่ใส่เสื้อกันหนาวสีครีม อายุ 71 ขวด 😆)
ที่ลานสกีนี้มีเจ้า อัลปาก้า (Alpaca) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ในวงศ์อูฐ ให้ดูด้วย
บิเอะ (Biei)
น่ารักชะมัดเลย เพิ่งเคยเห็น ต้องขอป้อนหญ้าแห้งและก็ถ่ายรูปกะน้องเซเลบทั้งหลายซะหน่อย
วิวที่ลานสกีนี้สวยมากกกกกก วิวแบบพาโนรามาสุดลูกหูลูกตาเลย
บิเอะ (Biei)
จากลานสกี เราก็ไปเที่ยว พิพิธภัณฑ์นำ้แข็ง (Kamikawa Ice Pavillion) กันต่อ ที่นี่จะเป็นเหมือน Ice Museum ที่รวบรวมเรื่องราวต่างๆ ของหิมะ และน้ำแข็งไว้
เมื่อเข้าไปด้านใน จะเป็นทางเดินน้ำแข็งทั้งหมด เหมือนเดินเข้าไปในถ้ำหิมะเลย ตามทางเดินก็จะประดับตกแต่งด้วยแสงสีต่างๆ อย่างสวยงาม
เชื่อมะ ความหนาวมากที่สุดของญี่ปุ่นที่เคยบันทึกได้คือ -40 องศา ที่พิพิธภัณฑ์น้ำแข็งแห่งนี้เค้าก็ได้จำลองห้องที่มีอุณหภูมิ -41 องศาให้เราได้ทดสอบความกล้ากันด้วยว่าจะทนได้นานกี่นาที
OMG บอกเลยเราอยู่ได้ไม่ถึงนาทีขอบายฮะ แทบตาย 🥶 แค่วันก่อนที่ยืนดูน้องกวิ้น อุณหภูมิไม่ได้ติดลบยังเกือบม้วย 🥴 เห็นมีรูปผู้กล้าทั้งหลายที่ถอดเสื้อยืนถ่ายรูปในห้องนั้นแปะไว้เต็มไปหมด ข้าน้อยขอคารวะจากใจจริง 👏👏👏
(ปล. มาเที่ยวครั้งนี้ จริงๆ อยากถ่ายรูปมากเลยนะ แต่ควักมือออกมาจากถุงมือทีไร ความเย็นมันก็กัดมือซะนิ้วแดง มีครั้งนึงยอมเสี่ยงตายถ่ายรูปให้คนอื่นๆ แค่ประมาณ 5 นาทีเอง มันเจ็บนิ้วมากกก จนเหมือนนิ้วจะขาด 😖 เข็ดเลย ตอนที่เข้ามาในพิพิธภัณฑ์ก็เลยแทบไม่ถ่ายรูปเลย เพราะมันหนาวมากกก)
พิพิธภัณฑ์นำ้แข็ง (Kamikawa Ice Pavillion)
ออกจากพิพิธภัณฑ์มาจะมีเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับ เอามันเผาร้อนๆ กะน้ำชาอุ่นๆ ให้เราทานเพื่อปรับอุณหภูมิร่างกาย แม๋ ไม่ต้องบอกเลย มันเผาญี่ปุ่นอร่อยอยู่ละ หวานหอม อืม…จะขออีกซักหัวได้มั้ยเนี่ย 😋
ออกจากพิพิธภัณฑ์ เราก็มุ่งหน้าไปเมือง ซัปโปโร (Sapporo) เมืองหลวงของเกาะฮอกไกโด และเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศญี่ปุ่นด้วย
ก่อนจะเข้าโรงแรม พวกเราไปแวะช็อปปิ้งที่ ทานุคิโคจิ (Tanukikoji) ย่านช็อปปิ้งชื่อดังของเมืองซัปโปโร เดินกันเพลิดเพลินเกือบไม่ไปทานข้าวกันเลย 😁
มื้อเย็นวันนี้เราทาน Yakiniku กัน จำชื่อร้านไม่ได้ รู้แต่อร่อยและอิ่มมาก 😋
อิ่มท้องก็ได้เวลาไปพักผ่อนกันละ โรงแรมสำหรับคืนนี้ คือ Sapporo Century Royal Hotel จ้า
วันที่ 6 เราไปเที่ยวที่จุดชมวิว ฮิซึจิงาโอคะ (Hitsujigaoka Observation Hill) เป็นจุดชมวิวที่อยู่บนเนินเขาทางทิศใต้ของซัปโปโร
ฮิซึจิงาโอคะ (Hitsujigaoka Observation Hill)
จากนั้น เราก็ไปเที่ยว โอคุรายามะ สกีจั๊มพ์ (Okurayama Ski Jump) ซึ่งเป็นสถานที่จัดแข่งโอลิมปิกฤดูหนาว ที่จัดขึ้นที่ซัปโปโรในปี ค.ศ. 1972
โอคุรายามะ สกีจั๊มพ์ (Okurayama Ski Jump)
เราได้นั่งแชร์ลิฟท์เพื่อขึ้นไปจุดชมวิวโอคุระ ซึ่งเป็นจุดกระโดดสกีจั๊มพ์ที่สูงถึง 397 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
โอคุรายามะ สกีจั๊มพ์ (Okurayama Ski Jump)
แอบหวาดเสียวเหมือนกัน 😆
จากนั้นก็ลงมาถ่ายรูป ปั้นหิมะเล่นด้านล่าง อ้าาาา ในที่สุดก็ได้สัมผัสตุ๊กตาหิมะของจริงกะเค้าซะที
โอคุรายามะ สกีจั๊มพ์ (Okurayama Ski Jump)
จากสกีจั๊มพ์ เราไปทานมื้อเที่ยงกันที่ร้านชาบู
(นี่ไม่ได้นัดกันใส่เสื้อลายฝางนะจ๊ะ 😆)
จากนั้นก็ไป พิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโร (Beer Museum) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เบียร์แห่งแรกของญี่ปุ่น
พิพิธภัณฑ์นี้เดิมทีเป็นโรงงานผลิตเบียร์ซัปโปโรมาก่อน โดยเปิดมาตั้งแต่ พ.ศ. 2419 ซึ่งนอกจากเบียร์แล้วเค้าก็ยังทำเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ ด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นชาเขียว น้ำสัม กาแฟ นำ้อัดลม (เรารุ้จักแต่เบียร์ 😁) ต่อมาเค้าก็ขยายกิจการและสร้างโรงงานผลิตขึ้นอีกหลายแห่ง ก็เลยดัดแปลงอาคารแห่งนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์เบียร์ ไปเลยเมื่อปี พ.ศ. 2530 ซึ่งก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวของเมืองซัปโปโรไปเลย
พิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโร (Beer Museum)
จากพิพิธภัณฑ์ เราก็ไปทานมื้อเย็นที่ร้าน Kani Honke
Kani Honke
แล้วก็กลับโรงแรมพักผ่อน เป็นคืนแรกเลยที่ไม่ต้องเปลี่ยนโรงแรม 😁
วันที่ 7 วันนี้ไม่มีกิจกรรมใดๆ เลย เพราะเป็นวันที่ต้องเดินทางกลับไทยละ แต่เราไม่กลัว ที่สนามบินซัปโปโรมีที่ให้ช็อปของกินของฝากเพียบ เป็นสนามบินที่ดูคล้ายซุปเปอร์มาร์เก็ตที่สุดเท่าที่เราเคยเจอมาเลย 55555
ซื้อของฝากของกินกันก็อกสุดท้ายแล้วก็ขึ้นเครื่องกลับบ้านกันจ้า บายฮอกไกโด
ซัปโปโร (Sapporo)
สรุปทริปฮอกไกโดอันแสนหฤหรรษ์ จริงๆ เราเคยมาฮอกไกโดครั้งนึงละเมื่อปี 2010 ตอนเดือน ก.ค. ตอนนั้นเป็นช่วงพักร้อนของบริษัทฯ บ้านเราอยากไปเที่ยวที่ๆ ไม่ร้อนมากก็เลยได้ไปฮอกไกโดกัน ประทับใจมาก แต่ก็เทียบกะฮอกไกโดหน้าหนาวไม่ได้เลย เพราะหิมะขาวโพลนเต็มไปหมด สวยงามมากๆ เลย
จนถึงตอนนี้ ฮอกไกโดก็ยังคงเป็นเมืองที่เราชื่นชอบมากๆ เราชอบผู้คนที่นี่ ชอบอาหาร ชอบวิวทิวทัศน์ ชอบความเงียบสงบของที่นี่ หวังว่าหมด Covid-19 มะไหร่คงได้มีโอกาสกลับไปเยือนฮอกไกโดอีกซักครั้งน้า 😁
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ 😊
โฆษณา