17 ก.ย. 2021 เวลา 07:59 • ประวัติศาสตร์
“โอมชินริเกียว (Aum Shinrikyo)” ลัทธิวันสิ้นโลก
ในปีค.ศ.1984 (พ.ศ.2527) กลุ่ม “โอมชินริเกียว (Aum Shinrikyo)” เป็นกลุ่มเล็กๆ ที่เริ่มมาจากคลาสสอนโยคะในญี่ปุ่น
หากแต่อีก 11 ปีต่อมา กลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้ได้ทำการโจมตีรถไฟใต้ดินในกรุงโตเกียวด้วยก๊าซซาริน และกลายเป็นหนึ่งในลัทธิที่อันตรายที่สุดในโลก
สำหรับผู้นำกลุ่ม หรือ “เจ้าลัทธิ” นี้คือชายที่ชื่อ “โชโก อาซาฮาระ (Shoko Asahara)”
1
เขาเกิดในปีค.ศ.1955 (พ.ศ.2498) ในครอบครัวที่ยากจน โดยครอบครัวของเขาทำเสื่อตาตามิขายเป็นอาชีพ อีกทั้งตอนเด็กๆ เขาก็มีปัญหาทางสายตา และถูกส่งเข้าโรงเรียนสำหรับเด็กตาบอด
โชโก อาซาฮาระ (Shoko Asahara)
ภายหลังจากเรียนจบในปีค.ศ.1977 (พ.ศ.2520) เขาก็เริ่มงานด้วยการขายยาสมุนไพร หากแต่รายได้ก็ไม่เพียงพอสำหรับเลี้ยงดูครอบครัว และในปีค.ศ.1981 (พ.ศ.2524) เขาก็ถูกจับข้อหาปรุงยาโดยไม่มีใบอนุญาต
จากนั้น อาซาฮาระก็ลุ่มหลงในการทำสมาธิและปรัชญาโบราณ รวมทั้งหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ คำทำนายของนอสตราดามุส และนำสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาหลอมรวมในคลาสสอนโยคะและทำสมาธิที่เขาเป็นผู้สอน
คลาสสอนโยคะในปีค.ศ.1984 (พ.ศ.2527) ได้กลายเป็น “โอมชินริเกียว (Aum Shinrikyo)” ในปีค.ศ.1987 (พ.ศ.2530)
อาซาฮาระได้เขียนหนังสือและออกรายการทอล์กโชว์ พร้อมทั้งรับรองกับสมาชิกว่าเหล่าสมาชิก จะมีสุขภาพและชีวิตที่ดี ผ่านจิตวิญญาณ การโฟกัส และการคิดบวก ซึ่งถ้อยคำเหล่านี้ก็ทำให้หลายคนศรัทธา และเข้าร่วมกับอาซาฮาระ
1
ยิ่งนานวัน อาซาฮาระก็ยิ่งเหลิง โดยเขาเริ่มจะเรียกตนเองเป็นเสมือน “พระเจ้า” โดยเขาได้สัญญากับสาวกว่าจะช่วยล้างบาปให้เหล่าสาวก
1
แต่คำสอนของอาซาฮาระก็ค่อนข้างแปลก โดยอาซาฮาระสอนว่าคนหนุ่มสาวควรจะทอดทิ้งพ่อแม่ เนื่องจากพ่อแม่คือเรื่องของปัจจุบัน ไม่ใช่อนาคต
แต่ถึงอย่างนั้น เหล่าคนหนุ่มสาว นักศึกษามหาวิทยาลัย ต่างนิยมแนวคิดของอาซาฮาระ และเริ่มเข้าร่วมกลุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
2
ยิ่งนานวัน ลัทธิของอาซาฮาระก็ยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มีคนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก และมีการจัดค่ายเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของสมาชิกลัทธิอีกด้วย
จากนั้น ข่าวลือต่างๆ ก็เริ่มตามมา ไม่ว่าจะเป็นการที่ทนายความรายหนึ่งซึ่งต่อต้านโอมชินริเกียว ได้หายตัวไปอย่างปริศนา และไม่มีใครพบเห็นอีกเลย และยังมีคนออกมาแฉว่าใครที่ต้องการออกจากกลุ่ม จะมีความเสี่ยงที่จะถูกฆ่า และมีการบังคับให้จ่ายเงินเป็นจำนวนมาก
ส่วนใครที่แสดงออกชัดเจนว่าต้องการจะออกจากลัทธินี้ ก็ล้วนแต่ถูกฆ่า
แต่ถึงอย่างนั้น โอมชินริเกียวก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และในต้นยุค 90 (พ.ศ.2533-2542) ก็มีสมาชิกในญี่ปุ่นกว่า 10,000 คน ในต่างประเทศอีกหลายพันคน ซึ่งในต่างประเทศนั้น รัสเซียคือประเทศที่มีสมาชิกมากที่สุด
1
อาซาฮาระได้กล่าวอ้างว่าวันสิ้นโลกกำลังจะมาถึง และมีแต่สาวกของโอมชินริเกียว จึงจะรอดและเริ่มชีวิตในโลกยุคใหม่
กลุ่มโอมชินริเกียวยังพยายามจะแผ่อิทธิพลเข้าไปในวงการเมือง หากแต่ก็ล้มเหลว แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ ซึ่งในเวลานี้ ทางการญี่ปุ่นได้จัดให้โอมชินริเกียวเป็นลัทธิแล้ว
ในช่วงเวลานี้เอง ลัทธิโอมชินริเกียวเริ่มจะสะสมอาวุธ โดยส่วนใหญ่นำเข้าจากรัสเซีย และยังเริ่มค้ายาเสพติด โดยเริ่มตั้งโรงงานของตนเอง ซึ่งเป็นโรงงานที่มีแต่สมาชิกเท่านั้นจึงจะเข้าได้
นอกจากยาเสพติด โรงงานนี้ยังผลิต “ก๊าซซาริน (Sarin Gas)” ก๊าซพิษชนิดหนึ่งตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ในปีค.ศ.1993 (พ.ศ.2536) ลัทธิโอมชินริเกียวได้พยายามจะก่อการร้ายเป็นครั้งแรก ด้วยการพ่นของเหลวปนเปื้อนแอนแทร็กซ์ใส่หลังคาบ้านและอาคารต่างๆ ในโตเกียว หากแต่ก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือติดเชื้อ
1
เมื่อล้มเหลว ลัทธิโอมชินริเกียวก็ได้ทำการทดลองก๊าซซาริน และก็ประสบความสำเร็จ พวกเขาจึงเตรียมจะก่อการร้าย โดยจะทำการโจมตีย่านที่เหล่าผู้พิพากษาที่ต่อต้านลัทธิโอมชินริเกียวอาศัยอยู่
4
คราวนี้พวกเขาทำสำเร็จ มีคนเสียชีวิตแปดคน บาดเจ็บอีกกว่า 500 คน และไม่มีใครสงสัยเลยว่าเป็นฝีมือของลัทธิโอมชินริเกียว
จากนั้น มีคนอีกหลายคนเสียชีวิตด้วยอาการป่วยที่เกิดขึ้นอย่างปริศนา แต่เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าลัทธิโอมชินริเกียวได้แอบผลิตสารเคมีอันตราย อาซาฮาระและลัทธิโอมชินริเกียวจึงยังรอดจากเงื้อมมือของกฎหมาย
1
แต่แล้วในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ.1995 (พ.ศ.2538) สาวกลัทธิโอมชินริเกียวได้ขึ้นรถไฟในช่วงเวลาเร่งด่วน โดยสาวกรายนั้นได้ถือกระเป๋าที่ภายในบรรจุก๊าซซาริน
1
สาวกรายนั้นได้ใช้ปลายแหลมส่วนบนของร่มเจาะรูกระเป๋า ก่อนจะรีบเดินออกไปจากรถไฟ ทำให้ก๊าซซารินรั่วออกมา และทำให้ผู้คนที่ใช้รถไฟเสียชีวิตกว่า 13 คน บาดเจ็บอีกกว่า 5,500 คน
1
หลังจากเหตุการณ์นี้ ตำรวจเริ่มจะสงสัยลัทธิโอมชินริเกียว และในไม่กี่วันต่อมา ตำรวจก็ได้นำกำลังเข้าตรวจค้นศูนย์บัญชาการของลัทธิ และพบอาวุธชีวภาพจำนวนมาก มีอานุภาพมากพอที่จะฆ่าคนได้นับล้าน รวมทั้งแผนที่จะโจมตีระบบขนส่งมวลชนในอีกหลายที่ รวมทั้งสถานีรถไฟใต้ดินของนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
16 พฤษภาคม ค.ศ.1995 (พ.ศ.2538) อาซาฮาระถูกจับกุม และถูกตัดสินให้ประหารชีวิต
อาซาฮาระถูกประหารชีวิตในวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ.2018 (พ.ศ.2561)
ภายหลังจากเหตุการณ์นี้ อดีตสาวกของลัทธิโอมชินริเกียวบางรายก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์และเขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวิตในลัทธิ ซึ่งก็ได้เผยว่ามีการทรมานและฆ่าคนที่ทำพลาด
ในปัจจุบันนี้ ถึงแม้จะดูเหมือนว่าลัทธิโอมชินริเกียวจะล่มสลายไปแล้ว หากแต่อันที่จริง สาวกยังคงอยู่ และได้เปลี่ยนชื่อลัทธิ ดำเนินงานภายใต้ร่างใหม่
1
“Aleph” และ “Hikari no Wa” คือลัทธิที่แตกออกมา และยังคงมีสมาชิกอยู่เป็นจำนวนมาก โดยสมาชิกจำนวนมากอยู่ในยุโรปตะวันออกและรัสเซีย และอดีตสาวกของลัทธิโอมชินริเกียวจำนวนมากก็ได้เข้าร่วมด้วย
2
ถึงแม้ลัทธิโอมชินริเกียวจะไม่อยู่ แต่อิทธิพลของลัทธินี้ยังคงไม่สิ้นสลาย และยังต้องจับตามองจนถึงทุกวันนี้
โฆษณา