20 ก.ย. 2021 เวลา 09:00 • สุขภาพ
เปิดแนวทางสิงคโปร์ ‘ใช้ชีวิตร่วมกับโควิด’ ทำได้จริงหรือ?
จนถึงปัจจุบัน จำนวนผู้เสียชีวิตสะสมจากโควิดในสิงคโปร์ยังมีเพียง 60 คน นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดระลอกแรกเมื่อปีที่แล้ว และตอนนี้มีประชากรกว่า 82% จากทั้งหมดราว 5.9 ล้านคน ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดส ส่งผลให้ภาพรวมการควบคุมสถานการณ์โควิดของสิงคโปร์เรียกได้ว่าค่อนข้าง ‘คุมได้’ แม้ล่าสุดสถานการณ์จะเข้าสู่การระบาดระลอกใหม่ ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ทะลุวันละ 1,000 คนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
2
ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์ไม่ประมาท และพยายามดำเนินมาตรการต่างๆ ด้วยแนวคิดที่ว่าโรคระบาดร้ายแรงนี้จะไม่หายไปไหนง่ายๆ และต้องปรับตัวเพื่อเริ่ม ‘ใช้ชีวิตร่วมกับโควิด’
1
แต่โมเดลการใช้ชีวิตร่วมกับโควิดนั้นจะทำได้จริงมากน้อยแค่ไหน ต้องดูจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์มีการปรับเปลี่ยนแนวทางและการรับมือกับสถานการณ์ เพื่อให้วิถีชีวิตของประชาชนและภาวะเศรษฐกิจดำเนินไปได้ท่ามกลางการระบาดที่ยังไม่สิ้นสุด
จุดเริ่มต้นแนวคิด ‘ใช้ชีวิตร่วมกับโควิด’
– ย้อนไปในเดือนมิถุนายน เป็นครั้งแรกที่สิงคโปร์ประกาศยุทธศาสตร์ใหม่ คือการ ‘ใช้ชีวิตร่วมกับโควิด’ ซึ่งมุ่งเน้นการติดตาม รักษา และให้วัคซีนแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคลัสเตอร์แพร่ระบาดแบบกลุ่มก้อน โดยไม่จำเป็นต้องล็อกดาวน์ ปิดชุมชนหรือปิดพรมแดน เพื่อป้องกันการระบาดแบบที่นานาประเทศเลือกทำ
– ตัวเลขผู้ติดเชื้อในเดือนมิถุนายนที่ลดต่ำอยู่ในหลักสิบต่อวัน ทำให้รัฐบาลตัดสินใจผ่อนคลายมาตรการควบคุมและวางแผนเปิดประเทศ แต่สถานการณ์หลังจากนั้นกลับแย่ลง จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกระลอก ทะลุหลักร้อยในเดือนกรกฎาคม และแตะหลัก 1,000 คนในเดือนกันยายน ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว ทำให้แผนทุกอย่างต้องชะลอออกไป และแทนที่ด้วยการยกระดับมาตรการรับมืออีกครั้ง
1
– การระบาดระลอกใหม่ที่รุนแรงขึ้น เชื่อว่าเป็นผลจากไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตาที่แพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็วกว่าปกติ ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์ได้เพิ่มมาตรการควบคุมแบบ ‘กึ่งล็อกดาวน์’ พร้อมเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนทั่วประเทศ
– รัฐบาลสิงคโปร์เรียกการระบาดที่เพิ่มขึ้นล่าสุด ว่าเป็น ‘พิธีกรรมแห่งการเปลี่ยนผ่าน’ ในขณะที่พยายามปรับเปลี่ยนแนวทางรับมือ ด้วยความหวังที่จะขับเคลื่อนประเทศด้วยโมเดลการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโควิด แทนการกำจัดเชื้อโควิดและไวรัสโควิดกลายพันธุ์ต่างๆ ให้หมดจากประเทศ
“เราอยู่บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความปกติใหม่ในการใช้ชีวิตกับโควิด มันคือการเดินทางที่ไม่แน่นอนและเต็มไปด้วยการพลิกผัน” ออง ยี คุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์กล่าว
– อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ระบาดล่าสุด ทำให้โรงพยาบาลในสิงคโปร์เริ่มเผชิญภาวะตึงเครียดจากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์พยายามช่วยลดความแออัด ด้วยการแนะนำให้กลุ่มผู้ติดเชื้อรายใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่กว่า 98% เป็นผู้ติดเชื้อที่อาการไม่รุนแรงหรือไม่มีอาการ ปรึกษาแนวทางรักษากับแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปหรือไปที่คลินิก แทนการเข้ารักษาในโรงพยาบาล และปรับแนวทางให้ผู้ติดเชื้อที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว อายุระหว่าง 12-69 ปี และไม่มีอาการป่วยรุนแรง พักรักษาตัวที่บ้าน
1
– โดยนอกจากการลดความแออัดในโรงพยาบาล ทางการสิงคโปร์ยังขยายการให้คำปรึกษาและช่วยเหลือประชาชน ในการรับมือกับภาวะสุขภาพจิตและความตึงเครียดที่เกิดจากความกังวลต่อสถานการณ์แพร่ระบาดและมาตรการรับมือโควิด
กลับสู่พื้นฐาน
– ดร.ออง ยู จิน รอย แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวในสิงคโปร์ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว Al Jazeera ชี้ว่าสถานการณ์ระบาด ณ ปัจจุบันยังไม่ไปถึงจุดที่โควิดกลายเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic Stage) ซึ่งประชาชนทุกคนสามารถพบเจอได้เป็นปกติ เช่นเดียวกับโรคหวัด
– แต่ถึงแม้ตอนนี้เชื้อโควิดจะเป็นอันตรายร้ายแรงสำหรับประชาชนในกลุ่มเปราะบางหรือกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน การใช้ชีวิตกับโรคโควิดก็ไม่ใช่สิ่งที่จะประมาท ซึ่ง ดร.อองชี้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ชาวสิงคโปร์อาจต้องพบเจอมาตรการป้องกันเชื้อที่หลากหลายในชีวิตประจำวัน เช่น การสวมหน้ากากอนามัย และรักษาระยะห่างในที่สาธารณะ การให้ทำงานจากที่บ้าน กินข้าวที่บ้าน และจำกัดการเดินทางท่องเที่ยว
– สำหรับคำถามที่ว่า “เราจะใช้ชีวิตกับโควิดอย่างไร” ดร.อองให้คำตอบง่ายๆ คือ ‘กลับไปสู่แนวทางพื้นฐาน’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปควรทำ เช่น การล้างมือบ่อยๆ สวมหน้ากากอนามัย รวมตัวกันในที่กลางแจ้ง รักษาระยะห่างระหว่างกัน และถ้าไม่รู้สึกปลอดภัยให้อยู่บ้าน
-การเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนของสิงคโปร์ ช่วยให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตของประชาชนท่ามกลางโควิดทำได้ง่ายขึ้น โดยประชาชนที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วสามารถไปกินข้าวในร้านอาหาร หรือเดินทางไปยังสถานที่สาธารณะต่างๆ ได้
– ขณะที่ เจนเน็ตต์ อิกโควิชส์ ศาสตราจารย์ด้านสาธารณสุขและจิตวิทยาชาวอเมริกัน จากวิทยาลัย Yale-NUS ในสิงคโปร์ กล่าวชื่นชมรัฐบาลสิงคโปร์ ที่ทำได้ดีทั้งการตรวจและติดตามผู้สัมผัสเชื้อวงกว้าง ตลอดจนการเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชน ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจากสถานการณ์ระบาดทั่วโลกที่ยังมีอยู่ และเป็นไปตามหลักการปฏิบัติพื้นฐานด้านสาธารณสุขที่ ‘ทุกคนยังคงมีความเสี่ยง หากความเสี่ยงนั้นยังอยู่’ ดังนั้นเราทุกคนจึงยังต้องระวังตัวไว้
ปฏิบัติตามกฎ
– จูเลียนา ชาน ผู้ประกอบการธุรกิจสื่อ เผยต่อ Al Jazeera ถึงความประทับใจในการดำเนินการของทางการสิงคโปร์เพื่อยับยั้งการระบาดของโควิด โดยเล่าว่า ลูกสาวของเธอนั้นถูกกักตัวหลังจากที่เพื่อนร่วมชั้นเรียนติดเชื้อ ขณะที่ลูกชายของเธอก็ต้องหยุดไปโรงเรียนเช่นกัน ซึ่งทางการสิงคโปร์ให้การดูแลโดยมีการติดตามและให้คำปรึกษา ทั้งไปเยี่ยมที่บ้านและวิดีโอคอล และยังได้รับข้อความและโทรศัพท์ตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่เป็นประจำทุกวัน
– ยูจีน ตัน รองศาสตราจาร์ยด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยการจัดการสิงคโปร์ กล่าวว่า ความเป็นผู้นำที่เด็ดขาดของรัฐบาลสิงคโปร์ ได้รับการช่วยเหลือจากประชาชนที่เต็มใจปฏิบัติตามคำแนะนำของรัฐบาล เช่น การสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นมาแล้วในการระบาดของโรคซาร์ส (SARS) ในปี 2003
– นอกจากความร่วมมือของประชาชน รัฐบาลสิงคโปร์เองก็ใช้เทคโนโลยีช่วยในการติดตามผู้สัมผัสเชื้อ ซึ่งเป็นอีกเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาด
– ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีผู้ประกอบธุรกิจบางรายที่มองว่า รัฐบาลสิงคโปร์ควรให้เสรีภาพในการเดินทางมากขึ้น เพื่อผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจ แต่หลายคนยังเชื่อว่ามาตรการรับมือสถานการณ์ระบาดของสิงคโปร์ ช่วยคงสถานะของสิงคโปร์ให้เป็นศูนย์กลางหรือ Hub ที่สำคัญสำหรับธุรกิจระดับโลก
– สตีเฟน โอกุน จากบริษัทที่ปรึกษา McLarty Associates เผยว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผลจากการระบาดของโควิดที่กระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นประเทศที่น่าสนใจมากขึ้น ในฐานะศูนย์กลางธุรกิจการค้าระดับโลกและระดับภูมิภาค
– นอกจากนี้ แม้ว่าอัตราการฉีดวัคซีนโควิดของสิงคโปร์จะสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ทางการสิงคโปร์ก็ยังพยายามผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนเข็ม 3 หรือเข็มกระตุ้น (Booster Shot) สำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับการฉีดวัคซีน 2 โดสแล้วเกิน 8 เดือน ซึ่งนายกรัฐมนตรี ลีเซียนลุง ก็ได้รับการฉีดไปเมื่อวันศุกร์ (17 กันยายน) ที่ผ่านมา ท่ามกลางความมั่นใจว่าจะช่วยป้องกันการติดเชื้อและลดอาการป่วยหนักได้มากขึ้น
“กรณีการติดเชื้อกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะช่วยเสริมสร้างการป้องกันของคุณต่อโควิด” นายกรัฐมนตรีลีกล่าว
เรื่อง: วิโรจน์ เลิศจิตต์ธรรม
ภาพ: Photo by Joseph Nair / NurPhoto via Getty Images)
อ้างอิง:
โฆษณา