20 ก.ย. 2021 เวลา 13:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาด Fed ประกาศแผนลดวงเงิน QE ในเดือน พ.ย. ก่อนทยอยเริ่มลดในเดือน ธ.ค.
1
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.0-0.25% และน่าจะยังคงไม่ประกาศการลดวงเงิน QE (QE Tapering) ในการประชุมนโยบายการเงินที่จะมีขึ้นในวันที่ 21-22 กันยายนนี้ โดย Fed น่าจะยังคงมีมุมมองต่อการปรับลด QE ไม่เปลี่ยนแปลงจากที่ตลาดรับรู้ไปแล้วว่า Fed จะเริ่มลดวงเงิน QE ในสิ้นปีนี้
ในการประชุมนโยบายการเงินครั้งนี้ คาดว่า Fed คงส่งสัญญาณผ่านถ้อยแถลงว่ามีมุมมองระมัดระวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังจากเครื่องบ่งชี้เศรษฐกิจบางตัว อาทิ ตัวเลขการจ้างงานภาคการเกษตร และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการ (Services PMI) เดือนสิงหาคมออกมาต่ำกว่าที่คาด ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด รวมถึงปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทานที่ยังคงกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี คาดว่า Fed จะมีมุมมองที่มั่นใจว่าในภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีโมเมนตัมการฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง และมีความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายของ Fed เช่นกัน หลังจากอัตราว่างงานได้ลดลงอย่างต่อเนื่องและอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือนที่ 5.2% ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ขณะที่แรงกดดันจากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง เนื่องจากปัญหาขาดแคลนแรงงานและปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทานคาดว่าจะไม่คลี่คลายลงในระยะเวลาอันใกล้ ส่งผลให้ Fed คงจำเป็นที่จะต้องประกาศลดวงเงิน QE เพื่อรักษาเสถียรภาพทางด้านราคาให้สอดคล้องไปกับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยที่ 2%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ถ้อยแถลงของ Fed จะเป็นการเน้นย้ำให้ตลาดยังคงคาดการณ์ว่าจะมีการเริ่มลดวงเงิน QE ในสิ้นปีนี้ตามที่ตลาดรับรู้ไปแล้วก่อนหน้านี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความตื่นตระหนกในตลาดและเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือโดย Fed น่าจะประกาศแผนลดวงเงิน QE ในการประชุมนโยบายการเงินครั้งหน้าในเดือนพฤศจิกายน และเริ่มลดวงเงิน QE ในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ โดยมีแนวโน้มที่ Fed จะทยอยลดวงเงิน QE อย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอีกทางก็ยังคงมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนนโยบายในระยะข้างหน้า
ทั้งนี้ การลดวงเงิน QE ถือเป็นเพียงการชะลอนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายท่ามกลางสภาพคล่องในตลาดการเงินที่อยู่ในระดับสูง แต่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายการเงินเป็นแบบตึงตัว ซึ่งแม้ว่า Fed จะเริ่มลดวงเงิน QE แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายคงจะไม่เกิดขึ้นในระยะอันใกล้ตามที่ เจอโรม พาวเวลล์ ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี หาก Fed มองว่าจะไม่มีการลดวงเงิน QE ภายในสิ้นปีนี้ Fed คงเลือกที่จะสื่อสารเพื่อเปลี่ยนแปลงคาดการณ์ของตลาดในการประชุมนโยบายการเงินครั้งนี้ โดย Fed คงใช้วิธีพูดโน้มน้าวให้ตลาดเข้าใจว่าท่ามกลางความเสี่ยงที่ยังอยู่ในระดับสูง อาจจำเป็นที่จะต้องชะลอการลดวงเงิน QE ออกไปก่อน แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่ากรณีนี้อาจมีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีโมเมนตัมฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีความเสี่ยงจากการแพร่ระบาด
ทั้งนี้ ต้องติดตามประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมถึงประมาณการการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Dot Plot) ที่จะเผยแพร่ในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ทิศทางนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่ Fed จะปรับประมาณการเงินเฟ้อสูงขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับอาจมีการปรับประมาณการการปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นกว่าการแถลงประมาณการครั้งก่อนในเดือนมิถุนายน 2564 ที่คาดการณ์ว่า Fed จะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปี 2566
อย่างไรก็ดี Fed จะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจและด้านเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า ประกอบกับใช้ความระมัดระวังในการสื่อสาร และหลีกเลี่ยงที่จะส่งสัญญาณการถอนนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเร็วกว่าที่ควร เพื่อไม่ก่อให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงิน
สำหรับผลกระทบต่อไทย มองว่า หาก Fed ประกาศการลดวงเงิน QE จะส่งผลให้แนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และดอลลาร์สหรัฐกลับเป็นขาขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยและต้นทุนการกู้ยืมนั้นปรับสูงขึ้นตามไปด้วย ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวช้ากว่าเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ท่ามกลางความเสี่ยงจากสถานการณ์แพร่ระบาดที่ยังอยู่ในระดับสูง
ขณะที่เงินบาทมีแนวโน้มที่จะกลับมาอ่อนค่าตามทิศทางแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดีหาก Fed ยังไม่ประกาศการลดวงเงิน QE ก็จะก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน และอัตราแลกเปลี่ยนมีแนวโน้มที่จะผันผวนอย่างต่อเนื่อง
เรื่อง: ดำรงเกียรติ มาลา
โฆษณา