18 ต.ค. 2021 เวลา 02:00 • ท่องเที่ยว
Chapter 13 : That's What Friends Are For
ความหมายของคำว่า "เพื่อน"
ตามที่เกริ่นไว้เลยค่ะ คำว่า "เพื่อน" มีความหมายกับคุณยังไง
สำหรับเรา "เพื่อน" คือคนที่อาจจะอยู่กะเราในเวลาที่เราสุข แต่มักจะต้องอยู่กะเราในเวลาที่เราทุกข์เสมอ (นี่ตูมีเพื่อนไว้เป็นที่ระบายอารมณ์หรอเนี่ย 🤣🤣🤣) เพราะเพื่อนของเรา (ย้ำ! ของเรานะ ของคนอื่นไม่รู้ 😬) จะรับฟังความทุกข์ต่างๆ ของเราด้วยความเข้าใจ อดทน และไม่ตัดสินเรา มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าเรามีที่พึ่งในยามทุกข์ใจ ไม่เคว้งคว้างโดดเดี่ยวบนโลกใบนี้
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (เขียนเมื่อ ก.พ. 2021) เราได้ไปทานข้าวบ้านเพื่อนสนิทเหมือนเช่นเคย ในวันนั้นเราได้พูดคุยเรื่องปัญหาต่างๆ ที่แต่ละคนกำลังเจออยู่ ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว เราแชร์ประสบการณ์ แชร์ความรู้สึกกัน ปลอบใจกัน แต่…หลังจากทำตัวซีเรียสได้ซักพัก เราก็กลับเข้าสู่โหมดเฮฮาไร้สาระเหมือนเช่นเคย มันทำให้รู้สึกโคดดีเลย ที่ถึงแม้แต่ละคนจะต้องเจอวิกฤติอะไรมาก็ตาม เมื่อเรามาอยู่รวมกัน เราก็จะเฮฮาบ้าบอได้เสมอ
Chapter นี้ไม่มีประสบการณ์การเดินทางมาเล่าให้ฟังเหมือนเช่นเคย แต่เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์การเรียนรู้จักคำว่า "เพื่อน" ของเราก็ว่าได้
ตอนเด็กๆ สมัยอยู่มหาลัยฯ เราไม่รู้ตัวเลยว่าเราคือคนที่นิสัยแย่มากถึงขั้นน่ารังเกียจ เราเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองมากๆ ถ้าอารมณ์ไม่ดีก็จะไม่พูดกับใครไม่สนใจใคร แต่เพื่อนๆ จะต้องมาสนใจเรา คอยถามไถ่ว่าเราเป็นอะไร คอยเอาใจเรา (ใช่ค่ะ โคดน่าถีบเลย 🦶🏼😅) ซึ่งเพื่อนๆ ก็จะมีความอดทนกะเรามากกกก
เราเคยชินกับการทำตัว "น่ารังเกียจ" ของเราแบบนั้นอยู่นานมาก จนเราเริ่มต้นทำงาน ได้มารู้จักเพื่อนกลุ่มใหม่ซึ่งไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันเหมือนเพื่อนสมัยเรียน ทุกคนต้องเริ่มทำความรู้จักกันใหม่ เก็บความเป็นตัวตนเอาไว้ ซึ่งเราก็เผลอแสดงนิสัยเดิมที่แย่ๆ ของเราออกมา จนเพื่อนใหม่ไม่อยากจะพูดคุยกะเรา นั่นถึงทำให้เรารู้ว่าเราเป็นคนนิสัยแย่ขนาดไหน
หลังจากได้รับบทเรียน เราก็เริ่มเข้าใจและปรับตัวเองให้เป็นคนที่ยอมคนอื่นมากขึ้น ไม่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ยึดถือแต่ความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่ เราเริ่มเรียนรู้วิธีการปรับตัวเข้ากับสิ่งที่เราอาจจะรู้สึกไม่ชอบใจ หรือไม่ถูกใจ และรับฟังความต้องการของคนอื่น จนเรามั่นใจว่าเราจะไม่กลับไปเป็นคนน่ารังเกียจแบบเดิมอีก แล้วเราก็ย้อนกลับไปขอโทษเพื่อนๆ สมัยเรียน ขอโทษในสิ่งที่เราเคยเป็น และขอบคุณที่พวกมันอุตส่าห์อดทนคบเรามาได้ตั้งหลายปี (ทุกวันนี้เราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่นะ 5555)
คนเราสามารถมีเพื่อนได้ตั้งหลายกลุ่มในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสมัยเด็ก เพื่อนสมัยมัธยม เพื่อนมหาลัย เพื่อนที่ทำงาน หรือเพื่อนคู่ชีวิต ซึ่งเพื่อนทุกกลุ่มก็ล้วนแล้วแต่มีบทบาทสำคัญในชีวิตเราทั้งนั้น
เพื่อนสมัยเรียน จะเป็นตัวสะท้อนความเป็นตัวเรา ณ ขณะนั้น เรามักจะชอบอะไรคล้ายๆ กัน แต่งตัวคล้ายๆ กัน สนใจอะไรคล้ายๆ กัน นั่นเพราะในช่วงเวลานั้น เรามีโอกาสได้พบเจอคนรุ่นเดียวกัน เลยทำให้เราสามารถเลือกคบคนในแบบที่ใกล้เคียงกับเราได้ เวลาย้อนกลับไปนึกถึงตอนนั้นทีไร ก็มักจะมีแต่ความสนุกสนาน ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรให้เครียด
แต่เพื่อนสมัยทำงานอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องชอบอะไรเหมือนๆ กับเราเสมอไป เพราะในที่ทำงานก็จะมีคนหลายๆ รุ่น หลายๆ ช่วงอายุมาอยู่ร่วมกัน การจะหาคน "เหมือน" เราก็อาจจะยากขึ้น เราจึงต้องปรับตัวมากขึ้นเพื่อให้เกิดการ "fit in"
เราคิดว่าเราเป็นคนที่โชคดีมากๆ เพราะงานแรกที่เราทำคือที่การบินไทย ซึ่งในสมัยที่เราสมัครงาน บริษัทฯ ยังต้องการเด็กจบใหม่จำนวนมากเพื่อมาทำงานภาคพื้นดิน มันเลยทำให้เรายังได้เจอคนรุ่นราวคราวเดียวกันเป็นจำนวนมาก แล้วทุกคนก็พร้อมที่จะเปิดใจรับเพื่อนใหม่
เราใช้เวลาไม่นานก็ได้เพื่อนใหม่มากมาย พวกเราเริ่มงานพร้อมๆ กัน เรียนรู้สิ่งใหม่พร้อมๆ กัน ได้แชร์ประสบการณ์การทำงานที่เจอในแต่ละวันทั้งที่ดีและไม่ดีร่วมกัน ก็เลยทำให้เราเกิดความสนิทสนมกันมาก และเพราะงานที่ทำมันไม่ได้เป็นเวลา office hour (คือการเข้างาน 8 โมงเช้าเลิก 5 โมงเย็น) แบบปกติ เราต้องทำงานเป็น shift หรือที่เรียกว่า "กะ" ก็เลยทำให้ต้องอยู่ด้วยกัน เจอกันเองมากกว่าเจอเพื่อนสมัยเรียนไปเลย
และด้วยสวัสดิการของบริษัทฯ ที่พนักงานสามารถใช้สิทธิ์ซื้อตั๋วในราคาประหยัดได้ (ปล. ในบางเที่ยวบินที่ไม่เต็ม มีที่นั่งเหลือจากการขายผู้โดยสารแล้ว การจะปล่อยที่นั่งเหล่านั้นให้ว่างก็ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไร สายการบินก็จะนำที่นั่งที่เหลืออยู่มาใช้เป็นสวัสดิการให้พนักงานสามารถซื้อตั๋วในราคาพิเศษได้ เรียกว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากของเหลือใช้ก็ได้)
ทำให้พวกเราได้มีโอกาสไปเที่ยวด้วยกันทั้งในประเทศและต่างประเทศบ่อยมาก ได้มีเวลาดีๆ และเวลาแย่ๆ ร่วมกันเยอะมาก บางทริปทะเลาะกันจนเกือบเลิกคบกัน บางทริปเคยเกือบหนาวตายกันก็มี แต่เราก็ดูแลกันและกันจนรอดชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ 🥴😆
เวลาเกือบ 16 ปีที่เราอยู่ร่วมกัน กิน นอน เที่ยวด้วยกัน มันเต็มไปด้วยความผูกพันอัดแน่นอยู่เต็มไปหมด ซึ่งถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะลาออกจากการบินไทยมา 10 กว่าปีแล้ว เราก็ยังรักกันเหนียวแน่นเสมอ ยิ่งแก่เราก็จะยิ่งมีเรื่องให้คุยกันมากขึ้น 555
และก็มีช่วงเวลานึงที่เราได้มีโอกาสพบเพื่อนใหม่อีกกลุ่มนึง ที่ก็มีความหมายกับเรามากเช่นกัน นั่นก็คือเพื่อนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลักสูตร Executive MBA หรือที่เรียกว่า XMBA
ที่นี่เราได้รู้จักพี่ๆ เพื่อนๆ และน้องๆ ที่ช่วยเหลือกันอย่างเต็มใจและจริงใจ เพราะการเรียน ป.โท มันเป็นอะไรที่เหนื่อยมากกกกก (ถ้ารู้ว่าจะเหนื่อยขนาดนี้คงไม่สมัคร 555)
การต้องทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย มันกินเรี่ยวแรงและกินเวลา 2 ปีของเราไปเยอะมาก ช่วงนั้นเราแทบไม่ได้เจอกับเพื่อนการบินไทยเลย เพราะวันๆ มีทั้งงานประจำที่ต้องรับผิดชอบ ทั้งงานกลุ่มที่เรียน ไหนจะกิจกรรมของคณะอีก แต่ก็นับเป็นความโชคดีอีกเช่นกัน ที่เพื่อน ป.โท หลายๆ คนก็เป็นคนที่นิสัยคล้ายๆ กัน
หลายๆ คนเป็นถึงผู้บริหารระดับสูงขององค์กรชั้นนำ แต่ก็ไม่ถือตัวเลยแม้แต่น้อยเวลาอยู่กับเพื่อนๆ ทำให้พวกเราเข้ากันได้ไม่ยาก และรู้สึกสนิทกันมาก แต่เมื่อเรียนจบแต่ละคนก็ต้องกลับไปให้ความสำคัญกับหน้าที่การงาน ทำให้โอกาสเจอกันน้อยลงตามลำดับ แต่พวกเราก็ยังติดต่อกันเสมอ
เป็น 2 ปีที่มีค่ามาก และเราก็ได้มีทริปร่วมกะเพื่อนๆ ป.โท เยอะมากกก (ข้อดีของการมาเรียน ป.โทคือได้โอกาสโดดงานไปเที่ยว อิอิ) ไม่ว่าจะเป็น เชียงราย ลาว ระยอง นครปฐม หรือ อเมริกา
เพื่อนทั้งสามกลุ่มของเรา คือสิ่งที่มีค่าในชีวิตเรามาก ไม่แพ้ครอบครัว (เรื่องบางเรื่อง ปัญหาบางปัญหา ไม่สามารถบอกกับคนใกล้ตัวหรือครอบครัวได้ เพื่อนเลยกลายเป็นที่ปรึกษายามยากของเราเสมอมา)
มันทำให้เราตระหนักได้ว่า ไม่ว่าเราจะเป็นยังไง ก็ยังมีคนกลุ่มนี้ที่พร้อมจะอยู่กับเราเสมอ เรารู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้มาเจอเพื่อนๆ เลย...ไม่รู้มันจะรู้สึกเหมือนกันรึป่าวนะ 🤣🤣🤣
เพื่อน สำหรับเราจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราพยายามเจอกันให้บ่อย พูดกันให้มาก เพื่อรักษาสายใยนั้นไว้ แน่นอนมันอาจจะต้องมีเรื่องขุ่นเคืองใจเกิดขึ้นบ้างในบางครั้ง แต่เราก็เลือกที่จะปรับความเข้าใจกัน และให้อภัยกัน เพราะเพื่อน ถ้าไม่ดีเราคงไม่คบมาจนถึงทุกวันนี้หรอก…จริงมั้ยคะ 😊
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ 😄
โฆษณา