26 ก.ย. 2021 เวลา 02:50 • หุ้น & เศรษฐกิจ
สรุป Risk Premium คืออะไร ? ทำไมนักลงทุนควรรู้จัก
“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน”
คนที่เป็นนักลงทุนคงคุ้นเคยกับประโยคเตือนนี้ดี
ความเสี่ยง ถ้าให้อธิบายง่าย ๆ ก็คือ โอกาสที่เราจะไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่เราคาดหวังไว้ รวมไปถึงโอกาสในการสูญเสียเงินต้นจากการลงทุนนั้น ๆ
2
แต่ถ้าในเชิงวิชาการเงิน ความเสี่ยงก็อาจวัดได้จากความผันผวนของผลตอบแทน ยิ่งผันผวนมาก ในวิชาการเงินจะถือว่ามีความเสี่ยงสูง
1
แน่นอนว่า เมื่อเราไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยง เราก็มีโอกาสที่จะไม่ได้รับผลตอบแทนที่คาดไว้ รวมถึงโอกาสในการสูญเสียเงินต้น
1
ดังนั้น เมื่อตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงแล้ว นักลงทุนจึงต้องการผลตอบแทนเพิ่มเติม ที่เรียกว่า “ส่วนชดเชยความเสี่ยง” หรือ “Risk Premium”
1
แล้ว Risk Premium คืออะไร ?
1
ลองนึกภาพเล่น ๆ กันก่อนว่า ถ้าเรานำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น
- เงินฝากธนาคาร เสี่ยงต่ำมาก ต้องการผลตอบแทน 1%
- หุ้นกู้บริษัทเอกชน เสี่ยงปานกลาง ต้องการผลตอบแทน 5%
- หุ้นสามัญ เสี่ยงสูง ต้องการผลตอบแทน 10%
เราจะพบว่า แต่ละสินทรัพย์นั้นมีความคาดหวังของอัตราผลตอบแทนที่แตกต่างกันออกไป
สินทรัพย์ยิ่งเสี่ยงมาก เราก็ยิ่งคาดหวังผลตอบแทนที่สูงมากตามไปด้วย
ซึ่งก็เข้ากับประโยคคลาสสิกในโลกของการลงทุนที่ว่า “High Risk High Return” นั่นเอง
2
ตัวอย่างหนึ่งที่ช่วยให้หลายคนเห็นภาพมากขึ้น
คือ ความแตกต่างระหว่าง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ก็สามารถใช้คำว่า Risk Premium มาอธิบายความแตกต่างนี้ได้เช่นกัน
1
คำถามที่หลายคนมักคาใจกันมานานคือ ทำไมอัตราดอกเบี้ยเงินฝากถึงต่ำมาก เช่น อยู่ในช่วงระหว่าง 0.5% - 1.5% แต่ทำไมอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นั้นจึงสูงมาก เช่น 5.0% - 8.0%
1
เรื่องนี้อธิบายตามหลัก Risk Premium ก็คือ
เมื่อธนาคารรับเงินฝากจากเราไป ธนาคารก็จะมีภาระที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับเราหรือคนที่เอาเงินไปฝากตามตกลงกัน
แต่ประเด็นคือ ธนาคารไม่ได้เอาเงินฝากของเรากองไว้เฉย ๆ แต่ธนาคารเอาเงินไปปล่อยสินเชื่อต่อ ซึ่งจะทำให้ธนาคารมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระดอกเบี้ย หรือไม่ได้เงินต้นคืนจากผู้ขอสินเชื่อ
เช่น ถ้าผู้กู้เป็นบริษัทที่มีความเสี่ยงด้านการเงิน มีหนี้สูง หรือแม้แต่คนธรรมดาที่ไปขอกู้และมีเครดิตไม่ดีในการผ่อนชำระเงิน มีรายได้ไม่แน่นอน หรือไม่มีหลักประกัน
ความเสี่ยงตรงนี้ เป็นส่วนที่ธนาคารต้องแบกรับ ทำให้ธนาคารต้องคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระดับสูงขึ้น มากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
ซึ่งความแตกต่างนั้น ส่วนหนึ่งก็สะท้อนคำว่า Risk Premium หรือ ส่วนชดเชยความเสี่ยง นั่นเอง
อีกกรณีหนึ่งที่อธิบายเรื่องนี้ได้คือ การจัดอันดับเครดิตเรตติงของ หุ้นกู้
โดยบริษัทที่ทำการจัดอันดับเครดิตเรตติง จะประเมินระดับเรตติงจาก ลักษณะการดำเนินธุรกิจของบริษัท ผลประกอบการ หลักทรัพย์ค้ำประกัน รวมถึงปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูว่าบริษัทที่ออกหุ้นกู้นั้น มีความสามารถในการชำระหนี้คืนได้มากแค่ไหน
พอเรื่องเป็นแบบนี้ จึงมีการจัดอันดับความเสี่ยงของหุ้นกู้ ซึ่งแบ่งออกมาเป็น Investment Grade หรือกลุ่มที่มีเครดิตดีน่าลงทุน ที่มีเรตติงตั้งแต่ BBB ขึ้นไปถึง AAA
และ Non-Investment Grade หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงจะผิดนัดชำระหนี้สูง มีเรตติงต่ำกว่า BBB ลงมา
โดยในกลุ่ม Non-Investment Grade บริษัทที่ออกหุ้นกู้ ก็จะต้องเสนอดอกเบี้ยสูง ๆ เพื่อจูงใจนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนบนความเสี่ยงที่สูงนั้น
แตกต่างกับกลุ่ม Investment Grade ที่เครดิตดีอยู่แล้ว ผู้ลงทุนจึงรู้สึกปลอดภัยในการมาลงทุน และไม่ต้องการส่วนชดเชยความเสี่ยงเยอะ ผู้ออกจึงไม่จำเป็นต้องเสนอดอกเบี้ยสูง ๆ นั่นเอง
2
ส่วนคนที่ลงทุนในตลาดหุ้น ก็จะมีผลตอบแทนชดเชยความเสี่ยง ที่เรียกว่า “Equity Risk Premium”
ซึ่ง Equity Risk Premium ถ้าอธิบายตามหลักการ ก็เกิดมาจาก อัตราผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนในตลาดหุ้น หักลบด้วย ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ปราศจากความเสี่ยง
1
ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว สินทรัพย์ที่มักถูกนำมาใช้เป็นตัวแทนสินทรัพย์ที่ปราศจากความเสี่ยง ก็คือ พันธบัตรรัฐบาล
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ เช่น
ถ้าอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนในตลาดหุ้นเท่ากับ 10% อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลเท่ากับ 2% ในกรณีนี้ Equity Risk Premium จะเท่ากับ 8%
1
และด้วยความที่ตัวแปรทั้ง 2 ตัวนั้นเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เพราะฉะนั้น Equity Risk Premium จะมีการเปลี่ยนไปตลอดเวลาเช่นเดียวกัน
โดยปกติแล้วเมื่อตลาดอยู่ในภาวะที่มีความเสี่ยงสูง
เช่น การตกต่ำของภาวะเศรษฐกิจ การเกิดสงคราม ก็จะทำให้ Equity Risk Premium มีการปรับตัวสูงขึ้น เพราะนักลงทุนคาดหวังผลตอบแทนชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงใน Equity Risk Premium ยังสามารถบอกการเคลื่อนย้ายเงินทุนของนักลงทุนระหว่างตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรได้อีกด้วย
1
โดยปกติแล้วถ้ามีเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรเข้าตลาดหุ้น Equity Risk Premium จะลดลง และกลับกัน เมื่อมีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นเข้าสู่ตลาดพันธบัตร Equity Risk Premium จะเพิ่มขึ้น
1
อ่านมาถึงตรงนี้เราน่าจะพอได้ไอเดียเกี่ยวกับ Risk Premium หรือ ผลตอบแทนที่ชดเชยความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ มาพอสมควร
ซึ่งการที่เรารู้และเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ก่อนที่จะลงทุน
ก็น่าจะช่วยให้เรา เข้าใจกลไก ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของโลกการลงทุน ได้ดีมากขึ้น
2
ดังนั้น ต่อไปนี้ ก่อนที่ใครจะชวนลงทุนอะไร ที่มันดูเสี่ยง
เราอาจต้องถามตัวเองว่า เราต้องการ Risk Premium ที่เท่าไร..
10
โฆษณา