8 ต.ค. 2021 เวลา 12:38 • ประวัติศาสตร์
"ฝนหลวง" ถือกำเนิดขึ้น ฝนหลวงไม่ได้ถูกคิดค้นเพราะอยากได้ชื่อเสียง ไม่ได้ถูกคิดค้นเพราะอยากได้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
ฝนหลวงถือกำเนิดขึ้นเพราะกษัตริย์หนุ่มพระองค์หนึ่งอยากให้คนอีสานได้มีกินอิ่มท้อง
กษัตริย์ภูมิพลไม่เคยพูดสักครั้งเดียวว่าเป็นคนคิดค้นวิธีการทำฝนเทียมคนแรกของโลก ข้าราชการที่ทำงานในโครงการพระราชดำริโครงการนี้ก็ไม่เคยพูด แม้กระทั่งในสารคดีเทิดพระเกียรติก็ไม่เคยอ้างว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นคนแรกที่คิดค้นทำฝนเทียม
เล่าเรื่องฝนเทียมสักเล็กน้อย เผื่อว่าจะมีน้องสักคนเข้ามาอ่าน
ฝนเทียมนั้นมีคนคิดค้น มีคนค้นคว้ากันมานานแล้ว นานตั้งแต่ก่อนทรงครองราช สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง มีรายงานทางวิทยาศาสตร์ให้ศึกษาค้นคว้า ศึกษาต่อยอดกันมาตลอดตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 และเพิ่งจะมาเป็นชิ้นเป็นอันในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ฝนเทียมหรือฝนหลวงของไทยนั้นเริ่มในช่วงกลางศตวรรษที่ 19
ตกลงไทยเราลอกฝรั่ง?
ลอกครับ แต่ไม่ได้ลอกมาเคลมว่าเป็นของที่ตัวเองคิดขึ้น ทรงศึกษาค้นคว้าผลงานของฝรั่งมาทดลองใช้ ซึ่งผลงานที่ว่านั้นแม้กระทั่งฝรั่งทำเองในประเทศของเขาก็ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง การทำฝนเทียมของฝรั่งในยุคนั้นที่ทันสมัยที่สุดก็คือบินขึ้นไปโปรยซิลเวอร์ไอโอไดด์บนยอดเมฆ จบ จากนั้นฝนจะตกหรือไม่ก็แล้วแต่บุญแต่กรรม สูตรนี้คิดค้นขึ้นในปี 1946
ในหลวงทรงมีพระราชดำริทำฝนเทียมในปี ค.ศ.1969 ก็เอาสูตรนี้มาใช้เหมือนกัน ก็เหมือนกับฝรั่งคือได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง จากนั้นเราก็พัฒนาต่อยอดจนในที่สุดเราก็รู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้างฝนถึงจะตกโดยไม่ต้องรอบุญกรรม นี่เป็นความรู้ที่เราคิดเอง ไม่ได้ลอกฝรั่ง ในวันที่เราคิดเรื่องนี้ได้ ฝนเทียมในเมืองฝรั่งยังย่ำอยู่ที่เดิมไม่ได้พัฒนาไปทางไหนเลย เราเป็นชาติแรกในโลกที่คิดสูตรนี้ สูตรของเราไม่ใช่บินขึ้นไปโปรยซิลเวอร์ไอโอไดด์แล้วจบ สูตรของเรามีถึง 6 ขั้นตอน และประกันผลว่าฝนจะตกลงบนพื้นที่เป้าหมายถึง 95% ตรงนี้ฝรั่งถึงได้ยกย่องเราและมอบสิทธิบัตรให้ การได้สิทธิบัตรนั้นไม่ใช่ว่าคิดอะไรมั่วๆ แล้วจะได้ เค้ามีการตรวจสอบว่าคิดขึ้นเองหรือไม่ และได้ผลจริงตามที่ระบุหรือไม่ คือเป็นวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ ทำกี่ครั้งก็ได้ผลเหมือนเดิม
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็แค่คิดสูตรทำฝนเทียม
จริงครับ แค่คิดสูตรทำฝนเทียมได้ มันจะยิ่งใหญ่อะไรนักหนาวะ ถึงได้ต้องเทิดทูนบูชากันเหลือเกิน ถ้าเรามองแค่ตัวฝนเทียมมันก็แค่นั้นจริงๆ ไหนๆ อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อ่านต่อกันอีกสักนิดนะครับ
ถ้าจู่ๆ วันดีคืนดีกษัตริย์ภูมิพลกินข้าวเสร็จแล้วไม่มีอะไรทำ มาทำฝนเทียมเล่นฆ่าเวลา มันก็ไม่ได้น่าเทิดทูนอะไร คนมีเงินคนไหนก็ทำได้ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น
ในความเป็นจริงคือในปี 2512 นั้น ประเทศไทยเต็มไปด้วยผู้ก่อการร้ายคอมมิวนีสต์ คอมมิวนีสต์เบ่งบานในไทยเพราะได้ปุ๋ยชั้นดีจาก "คณะราษฎร์" ที่น้องๆ หลายคนเคารพบูชา หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง "คณะราษฎร์" ก็แปรสภาพเป็น "เผด็จการ" ผลัดกันขึ้นครองอำนาจ การฉ้อราษฎร์บังหลวงเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า ชาวบ้านที่ทนถูกกดขี่ไม่ได้พากันเข้าป่าไปเป็นทหารป่า ในช่วงนั้นมีกษัตริย์หนุ่มที่กลับจากต่างประเทศกลับมาทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ทรงเริ่มแปรพระราชฐานออกเยี่ยมประชาชนในทุกภาค เสด็จไปในที่ที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้เลยว่ามีหมู่บ้านนี้ตำบลนี้อยู่ในประเทศไทยกับเขาด้วย
ในปี 2512 ในช่วงที่ทรงแปรพระราชฐานไปอีสาน พื้นที่ที่คนส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา ชาวนาทำนาไม่ได้ ไม่มีฝน (ในปัจจุบันนาในภาคอีสานก็ยังอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก) ได้รับความเดือดร้อนไม่มีกิน พากันไปเข้ากับคอมมิวนีสต์เยอะมาก รัฐบาลในสมัยนั้นก็เน้นแต่การปราบปราม สงสัยว่าใครเป็นคอมมิวนีสต์ก็จับ ไม่มีใครคิดแก้ปัญหาว่าทำไมคนถึงไปเป็นคอมมิวนีสต์
ในขณะที่รัฐบาลในสมัยนั้นเมามันอยู่กับการต่อสู่กับคอมมิวนีสต์ กษัตริย์หนุ่มกลับตั้งหน้าตั้งตาสู้กับ "ความยากจน" จะทำอย่างไรให้คนอีสานมีพอกิน นั่นคือต้องมีฝน "ฝนหลวง" จึงถือกำเนิดขึ้น ฝนหลวงไม่ได้ถูกคิดค้นเพราะอยากได้ชื่อเสียง ไม่ได้ถูกคิดค้นเพราะอยากได้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
ฝนหลวงถือกำเนิดขึ้นเพราะกษัตริย์หนุ่มพระองค์หนึ่งอยากให้คนอีสานได้มีกินอิ่มท้อง
Credit คุณนิรุจ เมฆรุ่ง
โฆษณา