9 ต.ค. 2021 เวลา 14:43 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
หนังชนโรง:
No Time to Die พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ
(์No Spoil)
“ลาก่อน...มิสเตอร์บอนด์”
คำพูดติดปากของวายร้ายในแต่ละภาคของหนังเจมส์ บอนด์ ที่กล่าวอำลาสายลับรหัส 007 และนี่คือหนังบอนด์ตอนที่ 25 ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ครั้งสุดท้าย (เสียที) ของ ‘บอนด์...แดเนียล เคร็ก’
ภายหลังจากการเกษียณตัวเอง บอนด์ กับ
ดร.เมเดลีน สโนว์ ออกเดินทางใช้ชีวิตโดยทิ้งอดีตไว้เบื้องหลัง แต่ความลับจากอดีตก็ตามกลับมาไล่ล่าทั้งสองอีกครั้ง จนบอนด์เริ่มพบว่าหญิงสาวที่เขาเปิดใจอีกครั้ง อาจไม่ใช่อย่างที่เขาเข้าใจมาโดยตลอด ทำให้บอนด์ต้องกลับเข้าสู่โลกแห่งสายลับ และค้นหาความจริงที่พัวพันกับศัตรูพี่อาฆาต
เอิร์น สตาโฟ โบลเฟลด์ หน่วยข่าวกรอง MI6 และชายสวมหน้ากากลึกลับ
No Time to Die คือหนังบอนด์ที่เก็บรายละเอียดทุกอย่างที่เคยมีในบอนด์ของนักแสดงทั้งหมด สำหรับแฟนพันธุ์แท้ที่เคยตามดูมาตั้งแต่ Dr. No จนถึง Spectre มันมีทุกอย่างที่คุ้นชิน เคยผ่านตา หรือได้ยินจากหนังเหล่านั้น ซึ่งเหมือนการคาราวะหนังบอนด์ที่ส่งผ่านต่อกันมาตั้งแต่ ฌอน คอนเนอรี่, จอร์จ ลาเซนบี้, โรเจอร์ มัวร์, ทิโมธี ดาลตัน, เพียร์ซ บรอสแนน และ แดเนียล เคร็ก เพียงแต่คุณจะเห็นทัน จะจำได้ และมีความสุขกับสิ่งเหล่านั้นมาก ๆ ถ้าคุณคือแฟนหนังบอนด์
หลังจากที่เคยปฏิเสธที่จะกลับมาเป็นบอนด์อีกครั้ง จนถึงกับประกาศจะกรีดข้อมือตัวเองถ้าต้องกลับมาเป็นบอนด์ แต่ในที่สุด แดเนียล เคร็ก ก็กลับมาเป็นบอนด์ตอนที่ 5 อันเป็นตอนสุดท้ายของเขาจนได้ เราจะไม่พูดถึงดรามาที่เคยเกิดขึ้น แต่การกลับมาจบทุกอย่างของเคร็กในภาคนี้ คือสิ่งที่เป็นบทสรุปของบอนด์ แดเนียล เคร็ก อย่างแท้จริง
ด้วยการทำสถิติครอบครองบทเจมส์ บอนด์ยาวนานที่สุด 2006 จนถึงปีที่หนังออกฉาย 2021 รวมเวลา 15 ปี หนังบอนด์ของเคร็กคือบอนด์ที่มีพัฒนาในชีวิตสายลับ เริ่มตั้งแต่เทิร์นโปรใน Casino Royale (2006) เป็นสายลับที่เน้นใช้อารมณ์ ขาดความเป็นมืออาชีพและล้างแค้นส่วนตัวใน Quantum of Solace (2008) กลายเป็นสายลับเก๋าเกมที่พาคนดูไปสำรวจความอ่อนล้าในอาชีพใน Skyfall (2012) จนปูมหลังและศัตรูจากอดีตคือตัวการเบื้องหลังทั้งหมดใน Spectre (2015) มาถึงตอนนี้เคร็กจะพาคนดูไปพบด้านที่อ่อนไหว จิตใจที่บอบช้ำ และมุมมองของคนที่อยู่ในโลกสายลับจนมันเกาะกินชีวิตใน No Time to Die เรียกได้ว่ามันคืองานที่ทัชใจที่สุดของบอนด์เคร็กกับคนดู จนเมื่อหนังจบคุณต้องยอมรับว่าสายลับเพื่อนเก่าของเราคนนี้ เขาทำสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว และเราดีใจที่ได้รู้จักเขา
นักแสดงจาก Spectre ที่กลับมาอีกคนคือ ลีอา เซย์ดูว์ ในบท ดร.เมเดลีน สโนว์ บุตรสาวของสายลับมิสเตอร์ไวท์ ผู้มีความลับบางอย่างซุกซ่อน พอ ๆ กับการเป็นหญิงสาวอีกคนที่ทำร้ายหัวใจสายลับได้อย่างตรงเป้า
ทีมนักแสดงฝั่ง MI6 เรล์ฟ ไฟนส์ กลับเป็น เอ็ม ที่ก็มีความลับบางอย่างซุกซ่อนไว้, นาโอมิ แฮร์ริส ในบท มิสมันนี่ เพ็นนี ที่ออกจะบทบาทน้อยไปหน่อย, เบ็น วิชอว์ ในบท คิว ที่คราวนี้ต้องลงภาคสนามร่วมกับบอนด์ และ รอรี่ คินเนียร์ เป็น บิล แทนเนอร์ หัวหน้าทีมในหน่วย
หน้าใหม่ที่ว่ากันว่า เธอคือสายลับ 007 คนใหม่ โนมี่ รับบทโดย ลาซานา ลีนซ์ ส่วนจะแทนที่บอนด์ได้จริงหรือไม่ ไปหาคำตอบในหนังกันเอาเอง
อนา เดอ อาร์มาส เป็น พาโลม่า สายลับภาคสนามที่ต้องทำงานร่วมกับบอนด์ในคิวบา ส่วนเธอจะได้ฟีเจอร์ริ่งกับบอนด์หรือไม่ ไปดูเอาเอง
เจฟฟี่ ไรท์ กลับมาเป็น ซีไอเอฟีลิกซ์ ไลเตอร์
อีกครั้ง เช่นเดียวกับ คริสทอฟ วอล์ซ ในการเป็น
คู่ปรับตลอดกาล เอิร์น สตราโฟ โบลเฟลด์
ปิดท้ายด้วยวายร้ายประจำภาคนี้ เจ้าของรางวัลออสการ์ รามิ มาเล็ก ในบท ซาฟิน ชายลึกลับเจ้าของหน้ากากสีขาว จากที่เดิมทีถูกมองว่ากระดูกคนละเบอร์กับบอนด์ มาเล็กทำให้คนดูเห็นได้ว่าเขามีคุณสมบัติมากพอกับการเป็นวายร้ายในหนังบอนด์ ที่มีทั้งความวิปริต เลือดเย็น หลงตน และคิดครองโลก ซึ่งข้อสุดท้ายคือพิมพ์นิยมของหนังบอนด์แทบทุกภาค
มาตรฐานแอ็คชั่นยังเป็นไปตาหนังบอนด์มีให้ลุ้นตลอดทั้งเรื่อง และยังเต็มไปด้วยหลายต่อหลายฉากที่ออกแบบมาเพื่อคาราวะหนังบอนด์
ภาคก่อน ๆ
เพลงนำ No Time to Die ที่มีความเศร้า อ้างว้าง และเหมือนมีบางอย่างซุกซ่อนอยู่ เสียงร้องของ บิลลี่ ไอลิช ที่มาพร้อมไตเติ้ลหนัง สะท้อนให้เห็นความเปราะบางในส่วนลึกของบอนด์
ดนตรีประกอบเปลี่ยนมือจาก โธมัส นิวแมน มาเป็นมือวางอันดับหนึ่งอย่าง ฮานส์ ซิมเมอร์ ที่ถือว่าเป็นการก้าวเข้ามาทำดนตรีประกอบหนังบอนด์เป็นครั้งแรก ลายเซ็นความเป็นซิมเมอร์ยังมีให้ได้ยินเหมือนงานก่อน ๆ ของเจ้าตัว แต่ก็ทำให้ธีมบอนด์มีความต่าง เช่นเดียวกับการนำธีม 007 ใน Thunderball และ We Have All the Time in the World จาก On Her Majesty’s Secret Service ที่ จอห์น แบร์รี่ เคยประพันธ์ไว้มาใช้ได้อย่างสอดรับ และสรุปจบในตอนท้ายอย่างดี
ไม่มีอะไรให้ต้องตำหนิกับการทำหน้าที่กำกับของ แคร์รี่ โจจิ ฟูกูนากะ ที่เข้ารับไม้กำกับแทน แดนนี่ บอยด์ ที่เริ่มต้นไว้ (ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะบอยด์ ไม่น่าใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมกับหนังบอนด์ ที่สำคัญผมเกลียดงานของบอยด์!) สำหรับคนที่ผ่านงานกำกับแต่ทีวีซีรีย์ส แต่เครดิตเขียนบท It (2017) การเข้ามาทำหน้าที่สเกลใหญ่แบบหนังบอนด์ท่ามกลางความกังขาของคนดูที่ไม่รู้จัก และสงสัย แต่เมื่อได้ดูก็เรียกได้ว่า ฟูกูนากะ เอาอยู่สำหรับการทำหนังปิดท้ายบอนด์เคร็ก ไม่แพ้ แซม เมนเดส ที่สร้างมาตรฐานไว้ใน Skyfall และ Spectre
เวลาทำให้เราได้ผ่านเรื่องราวมากมาย ผู้คนมากหน้าหลายตา
แต่เวลาก็พรากผู้คน และเรื่องราวมากมายไปจากเราเช่นกัน
เราควรตระหนักที่จะทำให้ทุกช่วงเวลามีคุณค่า
มากกว่าจะปล่อยให้ฆ่าเวลาไปผ่านไปวัน ๆ
มาถึงตอนนี้ถึงเวลาที่คนดูจะกลับไปพบเจอสายลับเพื่อนเก่าคนนี้ ดื่มมาร์ตินี่ เขย่าแต่ไม่คน ร่วมกับบอนด์ และกล่าวคำอำลา
“End of Time…Goodbye…Mr.Bond”
แต่บอนด์จะยิ้ม และตอบกลับมาว่า
“We have All the Time in the World”
เพราะทั้งหมดนี้คือ
“No Time to Die”
คำเตือน!
หลีกเลี่ยงการอ่านข้อมูลก่อนดูหนังในเว็ปไซต์ Wikipedia เพราะมีสปอยล์!!!
หนังมีความยาวมากที่สุดในหนังบอนด์ทั้งหมด 2 ช.ม.43 นาที โปรดเตรียมตัวให้เรียบร้อยก่อนเข้าไปดูหนัง
No Time to Die (2021)
Directed: Carry Joji Fukinaga/Starring: Daniel Craig, Rami Malek, Léa Seydoux, Lashana Lynch, Ben Wihshaw, Naomie Harris, Jeffery Wright, Christoph Waltz, Ralph Fiennes/Screenplay: Neal Purvis, Robert Wade, Carry Joji Fukunaga, Phoebe Waller-Bridge,/Story: Neal Purvis, Robert Wade, Carry Joji Fukunaga/Based on James Bond by Ian Fleming/Cinematography: Linus Sandgren/Edited: Elliot Graham, Tom Cross/Music: Hans Zimmer/Distributed: United Artist, Universal Pictures/Running Time: 163 Mins.
อยากเป็นเจมส์ บอนด์ ลงภาคสนามแบบเท่ ๆ
ต้องใช้งบเท่าไหร่?
แบรนด์ N.PEAL
เสื้อทหารแขนยาวสีกรมท่า £345 / ทีเชิร์ตตัวในสีขาว £149 / กางเกงทหารสีเทา £245 / เข็มขัดโยงกางเกง £45
แบรนด์ Danner
รองเท้าบูท £170
แบรนด์ Omega
นาฬิกา Seamaster Diver 300M 007 Edition £7,880
รวมทั้งหมด £8,915 (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 411,687 บาท เท่านั้นเอง!)
ขอบคุณที่มาข้อมูล: IMDb, Wikipedia, Rotten Tomatoes, Universal Picture
ขอบคุณที่มาภาพประกอบ: Universal Picture UK
โฆษณา