16 ต.ค. 2021 เวลา 03:43 • การเมือง
จุดล่อแหลมน่าหวาดเสียวระหว่าง สหรัฐฯ VS จีน
ขณะนี้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาได้เดินเข้าสู่เวทีการแข่งขันที่มีทั้งความเข้มข้นทั้งความดุเดือด โดยจีนมีเป้าหมายต้องการเอาชนะและต้องการที่จะครอบครองความเป็นหนึ่งในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกแทนที่พี่เบิ้มสหรัฐฯ
ส่วนเป้าหมายหลักๆของสหรัฐอเมริกาก็มีค่อนข้างชัดเจนในแง่ที่ว่า ไม่ต้องการที่จะให้จีนแซงนำขึ้นหน้าในทุกๆด้านด้วยเช่นกัน!!! จุดโดดเด่นของจีนจะเห็นได้จากการเปิดโลกเสรีทางด้านการค้า โดยจีนถือเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจมีความเติบโตเร็วที่สุดในโลก ในอดีตจีนเคยเป็นพันธมิตรคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา
อีกทั้งรัฐบาลจีนยังได้ให้ความสำคัญต่อนวัตกรรมชาตินิยมเป็นอย่างสูง โดยมุ่งเน้นให้ผลิตภัณฑ์ที่วางขายในท้องตลาดนานาชาติตีตราสินค้าเหล่านั้นว่า “ผลิตในประเทศจีน” (Made in China)
แต่ต่อมาในปี 2560 กลับปรากฏว่า “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”ได้ออกมาเขย่าความสัมพันธ์ที่ดีที่เคยมีต่อกัน ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีน 25% ซึ่งมีมูลค่าถึง 250 พันล้านเหรียญ
อย่างไรก็ตามความขัดแย้งในสมัยของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีนอกเหนือจากการที่เขาเปิดสงครามการค้ากับจีนแล้วนั้น ก็ยังมีเรื่องราวปรากฏต่อไปอีกว่า “รัฐมนตรีต่างประเทศไมค์ ปอมเปโอ”ได้ออกคำสั่งให้สถานกงสุลจีน ในเมืองฮูสตัน มลรัฐเท็กซัส ปิดทำการในปลายเดือนกรกฎาคม 2020 โดยกล่าวอ้างว่า “จีนลักลอบขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ”
เมื่อเหตุการณ์ออกมาเยี่ยงนั้น “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ก็หาได้หวาดหวั่นเกรงกลัวไม่ เพราะเขาก็ออกมาสั่งให้ตอบโต้กลับสหรัฐฯด้วยการสั่งปิดสถานกงสุลสหรัฐฯในทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศด้วยเช่นกัน ซึ่งมองๆไปแล้วถือเป็นความตกต่ำทางด้านความสัมพันธ์อันดีที่สองประเทศเคยมีให้แก่กันมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา!!!
และกระทรวงการต่างประเทศของจีนยังได้ออกมากล่าวประนามว่า สถานทูตจีนในกรุงวอชิงตันถูกสหรัฐฯเข้าไปคุกคาม อีกทั้งจีนยังกล่าวต่อไปอีกว่า สถานทูตสหรัฐฯในจีนก็ทำลายระบอบการปกครองของจีนด้วยเช่นกัน
ความมืดมนอึมครึมในความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศอภิมหาอำนาจกำลังจะเพิ่มความเสี่ยงต่อความเป็นอยู่ของมวลเหล่ามนุษยชาติเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว
อนึ่งในอดีตเมื่อศตวรรษที่ยี่สิบ ถึงแม้ว่าโลกจะแบ่งออกเป็นสองค่าย อันได้แก่ การปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยก็ตาม แต่ทว่าในสมัยนั้นสหภาพโซเวียตรัสเซีย มีความเป็นพี่เบิ้มในฝั่งค่ายพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ในขณะนี้ทุกอย่างหมุนกลับตาลปัตรเปลี่ยนเป็นจีนกลายเป็นผู้ครอบครองความเป็นใหญ่ไปเสียแล้ว
ส่วนค่ายโลกเสรียังคงเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยสหรัฐอเมริกายังคงครองความเป็นพี่เบิ้มยักษ์ใหญ่เช่นดั้งเดิม!!!
โดยค่ายฝั่งคอมมิวนิสต์ผู้นำก็คือ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ส่วนผู้นำของฝ่ายประชาธิปไตยก็คือ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน
อนึ่งนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาวยุทธศาสตร์ที่เห็นได้อย่างค่อนข้างเด่นชัดของเขาก็คือ ต้องการที่จะปิดกั้นจีนในทุกๆมิติทั้งทางด้านการทหาร ด้านเศรษฐกิจ ด้านเทคโนโลยี และด้านวัฒนธรรม
และล่าสุดเมื่อกลางเดือนกันยายน 2021 ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้จัดตั้งพันธมิตรทางด้านการทหารในการต่อต้านจีนขึ้นมาใหม่ โดยใช้ชื่อว่า “แองโกล” (Joe Biden’s New World Order จากนิตยสาร The Atlantic วันที่ 16 กันยายน 2021)
และอย่าลืมว่าในประเทศญี่ปุ่นก็ยังมีกองทัพเรือของสหรัฐฯที่ทรงอานุภาพใหญ่มหึมาและ ยังมีฐานทัพเรือที่แสนโดดเด่นของสหรัฐฯอีก 3 แห่งที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินใหญ่ของญี่ปุ่นอันได้แก่ โยโกสุกะ อัตสิงิ และ ซาเชโบะ
โดยปกติวิสัยแล้วจีนกับรัสเซียมักจะไม่ค่อยกินเส้นสนิทชิดเชื้อกันเท่าใดนัก แต่เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2021 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2548 ที่ทหารรัสเซียเข้าร่วมซ้อมรบกับจีนทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน โดยแต่ละฝ่ายมีกำลังทหารมากกว่าหนึ่งหมื่นคน ที่มองๆไปแล้วเป็นสัญญาณที่ไม่ปกติเท่าใดนัก!!!
อีกทั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2021 นี้หนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัลได้รายงานว่าสหรัฐฯมีหน่วยปฏิบัติการพิเศษและกองนาวิกโยธินเข้าไปปฏิบัติการลับในไต้หวัน เพื่อฝึกกำลังทหารที่นั่นอย่างน้อยหนึ่งปี โดยเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องของสหรัฐฯได้ออกมากล่าวว่า การที่สหรัฐมีหน่วยปฏิบัติการในไต้หวัน สืบเนื่องมาจากสหรัฐฯมีความกังวลว่าจีนอาจจะเข้าไปรุกรานไต้หวันนั่นเอง
อนึ่งในช่วง 70 ปีที่ผ่านมานี้ ไต้หวันได้กลายเป็นข้อบาดหมางและทำให้เกิดการขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาเสมอมา โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเคยให้คำมั่นในฐานะผู้นำจีนว่า “การฟื้นฟูอันยิ่งใหญ่ของจีนก็คือการนำไต้หวันเข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมของจีน”
และในโอกาสฉลองครบรอบ 100 ปีของพรรคคอมมิวนิตส์จีน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ออกมาประกาศด้วยความมั่นใจว่า ประเทศอื่นๆไม่สามารถจะข่มขู่จีนได้อีกต่อไป อีกทั้งเขายังได้สัญญาว่า จีนจะรวมไต้หวันเข้ามาเป็นประเทศเดียวกัน แต่จะปล่อยให้ฮ่องกงและมาเก๊าปกครองโดยอิสระ และจีนจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อวิเคราะห์ถึงการมีวิสัยทัศน์ระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กันดูแล้วนั้น จะเห็นได้ว่าวิสัยทัศน์ทางด้านการเมืองของเขาทั้งสองมีความแตกต่างกันค่อนข้างห่างไกล
ในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติสมัยที่ 76 ผ่านวีดีโอ จากกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2021ที่ผ่านมาไม่นานนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ออกมากล่าวปราศรัยแสดงความใจกว้างมุ่งเน้นถึงเรื่องชุมชนที่มนุษยชาติจะต้องมีอนาคตร่วมกัน โดยโลกควรจะทำใจยอมรับอารยธรรมในรูปแบบต่างๆ และเขายังได้กล่าวย้ำว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่สิทธิพิเศษที่จะสงวนเอาไว้ให้เพียงบางประเทศเท่านั้น
แต่ในทางตรงข้ามประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้กล่าวย้ำถึงความร่วมมือร่วมใจของเหล่าพันธมิตรเป็นหัวใจหลักใหญ่
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างสองขั้วใหญ่ของโลกใบนี้ ส่งผลกระทบและมีความเสี่ยงต่อมวลมนุษยชาติสูงมากขึ้น เพราะต่างฝ่ายต่างมีอาวุธอันทันสมัยที่เพียบพร้อมไปด้วยแสนยานุภาพอันร้ายแรง ส่วนการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯและจีนนับเป็นเรื่องดีหากว่าทั้งสองฝ่ายต่างใช้การแข่งขันมามุ่งพัฒนาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ แทนที่จะมุ่งทำลายซึ่งกันและกัน ส่วนนโยบายของสหรัฐฯที่ต้องการจะปิดล้อมจีน นับวันก็ยิ่งจะสร้างความตึงเครียดจนอาจจะกลายเป็นชนวนร้อนแรงจนปะทุกลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่จะนำไปสู่ความหายนะก็เป็นไปได้ละครับ
คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
โฆษณา