27 ต.ค. 2021 เวลา 11:55 • ข่าวรอบโลก
เงื่อนไขการฉีดวัคซีนโควิดก่อนเดินทางเข้าสหรัฐ
สหรัฐจะเริ่มกฎเกณฑ์ใหม่สำหรับผู้เดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาทางอากาศในวันที่ 8 พ.ย.นี้แล้ว โดยการเปิดประเทศครั้งนี้ มุ่งเน้นผู้เดินทางเข้าสหรัฐต้องฉีดวัคซีนต้านโควิดที่ WHO หรือ FDA รับรองครบโดสก่อนการเดินทาง พร้อมหลักฐานการตรวจ PCR มีรายละเอียดเงื่อนไขสรุปดังนี้
นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามในคำสั่งฉบับใหม่เมื่อวานนี้ (26 ต.ค.) ระบุข้อบังคับสำคัญสำหรับชาวต่างชาติและชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งประสงค์เดินทางเข้าสู่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย.นี้เป็นต้นไป ทุกคนต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แบบใดก็ตามที่ผ่านการรับรองเป็นกรณีฉุกเฉินจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) ให้ครบโดสก่อนการเดินทาง โดยการฉีดวัคซีนครบตามเงื่อนไขของวัคซีนแต่ละแบบ ต้องเกิดขึ้นไม่ต่ำกว่า 14 วันก่อนการเดินทาง
สำหรับวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติเป็นกรณีฉุกเฉินจาก WHO แล้วนั้น ได้แก่ ไฟเซอร์-บิออนเทค , แอสตร้าเซนเนก้า ( รวมถึง “โควาซิน” ซึ่งเป็นชื่อทางการค้าของวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในอินเดีย ) จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน , โมเดอร์นา , ซิโนฟาร์ม และซิโนแวค ส่วนวัคซีนที่ FDA รับรอง ได้แก่ ไฟเซอร์-บิออนเทค, แอสตร้าเซนเนก้า จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และโมเดอร์นา
แถลงการณ์ของทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ (26 ต.ค.) ยังระบุว่าเป็นความรับผิดชอบของสายการบิน ซึ่งต้องตรวจสอบเอกสารยืนยันการฉีดวัคซีนของผู้โดยสาร ที่ต้องออกให้โดยรัฐบาลของประเทศต้นทางเท่านั้น ผู้ที่ยังฉีดวัคซีนไม่ครบ ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติหรือผู้ถือสัญชาติสหรัฐ ต้องยอมรับมาตรการตรวจคัดกรองและติดตามผลที่เข้มข้น เมื่อเดินทางมาถึงสหรัฐ
1
ทั้งนี้ นอกจากหลักฐานยืนยันการฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว บุคคลนั้นต้องแสดงผลตรวจหาเชื้อโควิดแบบ PCR ที่เป็นลบ (ไม่ติดเชื้อ)ไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ยังฉีดวัคซีนไม่ครบ และ "ผู้ที่รับวัคซีนครบแล้วแต่เป็นแบบไขว้" ต้องแสดงหลักฐานการตรวจหาเชื้อแบบ PCR ที่ไม่เกิน 24 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง
ด้านผู้มีอายุน้อยกว่า 18 ปี ยังไม่จำเป็นต้องแสดงหลักฐานยืนยันการฉีดวัคซีน แต่ต้องมีผลการตรวจหาเชื้อโควิดแบบ PCR และเงื่อนไขทั้งหมดนี้ยกเว้นสำหรับผู้มีอายุไม่ถึง 2 ปี
สำหรับพลเมืองจากประเทศที่ยังมีอัตราการฉีดวัคซีนครบโดสหรือครบสองเข็มไม่ถึง 10% ซึ่งมีประมาณ 50 ประเทศ (อาทิ ไนจีเรีย อียิปต์ แอลจีเรีย อาร์เมเนีย เมียนมา อิรัก นิคารากัว เซเนกัล ยูกันดา ลิเบีย เอธิโอเปีย แซมเบีย คองโก เคนยา เยเมน เฮติ ชาด และมาดากัสการ์ เป็นต้น) ยังสามารถเดินทางเข้าสู่สหรัฐได้ แต่เมื่อได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศแล้ว ต้องฉีดวัคซีนให้ครบภายใน 60 วัน ส่วนผู้ที่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นอาสาสมัครในโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 และผู้ที่มีปัญหาร้ายแรงด้านสุขภาพ สามารถเดินทางเข้าสู่สหรัฐได้ โดยต้องมีหลักฐานยืนยันอย่างละเอียด
พร้อม ๆ กับการประกาศคำสั่งใหม่เกี่ยวกับเงื่อนไขการฉีดวัคซีนโควิดก่อนเดินทางเข้าสหรัฐครั้งนี้ ทำเนียบขาวยังได้ยกเลิกคำสั่งควบคุมการเดินทางฉบับเดิมที่มีความเข้มงวดและประกาศใช้มาตั้งแต่ต้นปี 2563 ซึ่งห้ามผู้เดินทางจากหลายประเทศเข้าสหรัฐ อาทิ ผู้ที่เดินทางมาจากอังกฤษ, 26 ประเทศยุโรปในเครือเชงเกน, ไอร์แลนด์, จีน, อินเดีย, แอฟริกาใต้, อิหร่าน และบราซิล
แถลงการณ์ของทำเนียบขาวระบุว่า สหรัฐอเมริกาได้ยกเลิกข้อจำกัดเดิม ๆที่มุ่งเจาะจงเป้าหมายเป็นรายประเทศ แล้วหันมาใช้มาตรการควบคุมการเดินทางทางอากาศที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการฉีดวัคซีนเพื่อให้การเดินทางทางอากาศมายังสหรัฐนั้นมีความปลอดภัยจากเชื้อไวรัสดังกล่าว
ในวันเดียวกัน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐ ยังได้ออกประกาศ กฎข้อบังคับเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง (contact tracing rules) ซึ่งกำหนดให้ทางสายการบิน จำเป็นต้องเก็บข้อมูลเกี่ยวกับผู้โดยสารระหว่างประเทศ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล์ และที่อยู่ในสหรัฐ โดยจำเป็นต้องเก็บไว้ 30 วันเพื่อที่จะสามารถตรวจสอบได้หากผู้เดินทางนั้นเสี่ยงสัมผัสไวรัสโควิด-19 หรือโรคระบาดอื่นๆ
ทั้งนี้ สำนักงานความปลอดภัยทางคมนาคมของสหรัฐ หรือ Transportation Security Administration ( TSA ) กำลังจัดทำร่างเงื่อนไขข้อบังคับเพื่อเป็นกฎหมายออกมารองรับการบังคับใช้กฎเกณฑ์เกี่ยวกับวัคซีนของสายการบิน ซึ่งจะทำให้ การโกหกหรือบิดบังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดของผู้โดยสารสายการบินเป็นความผิดทางอาญา ทั้งนี้ กฎเกณฑ์ดังกล่าวใช้กับผู้โดยสารทุกศาสนา โดยไม่มีข้อยกเว้น
ผู้โดยสารชาวต่างชาติจำเป็นต้องยื่นเอกสารหลักฐานการฉีดวัคซีนที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐ และสายการบินจะต้องยืนยันได้ว่า ผู้โดยสารนั้นฉีดวัคซีนครบโดสแล้วอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการเดินทาง
โฆษณา