27 ต.ค. 2021 เวลา 14:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ห้ามเก็บข้อมูลแล้วไง? Twitter และ Google ลั่นนโยบายของ Apple แทบไม่กระทบต่อบริษัท
2
หลังจากหุ้น Snapchat ร่วงแรงกว่า 30% เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม โดยให้เหตุผลว่าเกิดจากนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Apple ที่ทำให้เก็บข้อมูลผู้ใช้ได้น้อยลง พาหุ้นโซเชียลมีเดียต่างๆ ร่วงลงไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น Twitter, Google และ Facebook
ล่าสุด Twitter ออกมาประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ซึ่งมีผู้ใช้งานและรายได้เพิ่มขึ้นตามประมาณการของนักวิเคราะห์ และยังออกมากล่าวถึงประเด็นนโยบายการเก็บข้อมูลผู้ใช้ของ Apple อีกด้วยว่า นโยบายนี้ส่งผลต่อรายได้ของ Twitter เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งตรงข้ามกลับคู่แข่งอย่าง Snapchat และ Facebook ที่ก่อนหน้านี้ออกมาบอกว่านโยบายนี้ของ Apple ส่งผลต่อประสิทธิภาพการโฆษณาของตนเอง และทำให้ยากต่อการวัดผลต่างๆ ของโฆษณา
“ยังเร็วเกินไปที่ Twitter จะสามารถประเมินผลกระทบระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงของระบบ iOS ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของ Apple แต่ผลกระทบต่อรายได้ในไตรมาสที่ 3 นั้นกระทบน้อยกว่าที่คาดไว้” บริษัทกล่าวในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม
โดย Twitter มีรายได้เพิ่มขึ้น 37% เป็น 1.28 พันล้านดอลลาร์ หรือ 4.2 หมื่นล้านบาท นอกจากด้านการเงินแล้ว ด้านการมีส่วนร่วมกับโฆษณา หรือจำนวนการโต้ตอบของผู้ใช้ต่อข้อความที่ใช้งบโฆษณาก็เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อนหน้า และ Twitter กล่าวเพิ่มเติมว่า Twitter ไม่เหมือนกับ Facebook ที่ส่วนใหญ่แล้วจะทำเงินจากการโฆษณาที่มาจากแบรนด์ต่างๆ ซึ่งต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายและวัดผลเป็นวงกว้างมากกว่า
ทางด้านของ Google ก็กล่าวในการรายงานผลประกอบการเกี่ยวกับนโยบายของ Apple นี้สั้นๆ เช่นกัน โดย รูธ โพรัท ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Alphabet Inc. กล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเก็บข้อมูลผู้ใช้ของ Apple Inc. ส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อรายได้ของ YouTube เท่านั้น” และ Google สามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้
1
Twitter กล่าวว่ามีผู้ใช้ 211 ล้านคนต่อวันในไตรมาสที่ 3 นี้ มากกว่าไตรมาสก่อนหน้าถึง 5 ล้านคน และเพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า โดยมีการเติบโตมาจากการพัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และการสนทนาจากทั่วโลกเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ในปัจจุบันมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผลการวิจัยพบว่า Twitter ซึ่งขยายตัวในปีที่แล้วเนื่องจากการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาที่มีการโต้เถียงกันอย่างดุเดือด และการระบาดของโควิดทั่วโลกก็มีส่วนทำให้การใช้งาน Twitter เพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่ง Twitter สามารถรักษาการเติบโตมาได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Snapchat และ Facebook กำลังดิ้นรนเพื่อปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของ Apple
เน็ด เซกัล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินกล่าวว่า บริษัทกำลังเฝ้าดูปัญหาห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกอย่างใกล้ชิด แต่ก็อาจเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อยต่อ Twitter เนื่องจากมากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้จากโฆษณาบน Twitter มาจากบริการและสินค้าที่เป็นดิจิทัลอย่างแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มต่างๆ
ต่างจากทาง Snapchat ที่กล่าวว่า การขาดแคลนห่วงโซ่อุปทานจะส่งผลกระทบต่อรายรับในไตรมาส 4 เนื่องจากบริษัทต่างๆ จะไม่ลงโฆษณา เพราะสินค้าของพวกเขาไม่สามารถผลิตได้ทัน และไม่สามารถส่งมอบให้กับลูกค้าได้
Twitter คาดการณ์ว่ารายรับในไตรมาสปัจจุบันจะอยู่ที่ 1.5-1.6 พันล้านดอลลาร์ และทางด้านนักวิเคราะห์ประมาณการเฉลี่ยไว้ที่ 1.58 พันล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg
โดยไตรมาส 4 ที่จะถึงนี้ บริษัทคาดว่าฐานผู้ใช้จะเติบโตในช่วงวันหยุดยาวสูงกว่าในไตรมาสที่ 3 ที่พึ่งรายงานไป และรายได้จากการดำเนินงานจะอยู่ที่ประมาณ 130-180 ล้านดอลลาร์
ราคาหุ้น Twitter เพิ่มขึ้นประมาณ 2.5% ในการซื้อขายช่วงขยายเวลา (Extended Trading) และปิดที่ 61.43 ดอลลาร์ในตลาดนิวยอร์ก ซึ่งหุ้นเพิ่มขึ้นถึง 13% ในปีนี้ แต่บริษัทรายงานผลขาดทุนสุทธิในไตรมาส 3 นี้เป็นจำนวน 536.8 ล้านดอลลาร์ หรือ 67 เซนต์ต่อหุ้น (22.28 บาทต่อหุ้น) เทียบกับในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มีรายได้สุทธิ 28.7 ล้านดอลลาร์ หรือ 4 เซนต์ต่อหุ้น (1.33 บาทต่อหุ้น)
การขาดทุนดังกล่าวมาจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องคดีความเพียงครั้งเดียว ที่ใช้เงินไปถึง 766 ล้านดอลลาร์ (2.5 หมื่นล้านบาท) จากการยุติคดี รวมถึงคดีฟ้องร้องของกลุ่มผู้ถือหุ้นที่กล่าวหา Twitter ว่ารายงานภาพอนาคตดีเกินจริงในปี 2014
Twitter ยังกล่าวอีกว่าจะไม่ชดใช้หนี้ประมาณ 200-250 ล้านดอลลาร์ในปี 2022 ของบริษัท MoPub ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโฆษณาของบริษัท โดยเมื่อต้นเดือนนี้กล่าวว่าจะขาย MoPub ให้กับ AppLovin Corp. ในราคา 1.05 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 3.4 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าข้อตกลงจะปิดตัวลงในไตรมาสแรกของปีหน้า
นอกจากนั้นยังไม่มีการรายงานความคืบหน้าของ Twitter Blue ซึ่งเป็นระบบสมัครสมาชิกใหม่ของ Twitter ที่สร้างขึ้นเพื่อเพิ่มความหลากหลายในรายได้ เนื่องจากปัจจุบันประมาณ 90% ของรายได้ของบริษัทมาจากการโฆษณาเท่านั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
หุ้น Snapchat ร่วงแรงกว่า 30% พาหุ้น Facebook, Twitter และ Google ร่วงตามไปด้วย เหตุเก็บข้อมูลของลูกค้าได้น้อยลงจากนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Apple
เรื่อง: แท่ง แซ่ลิ้ม
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
โฆษณา