17 พ.ย. 2021 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #ดีเอ็นเอที่หายไป ]
ริโอ เฟอร์ดินานด์ เพิ่งเล่าเอาไว้ถึงเหตุการณ์หนึ่งในเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ไว้อย่างน่าคิดเลยทีเดียว
ตอนนั้นเขาเพิ่งย้ายจากลีดส์ ยูไนเต็ดสู่แมนฯยูไนเต็ดด้วยค่าตัวเกือบ 33 ล้านปอนด์ ถูกบันทึกว่าเป็นกองหลังแพงสุดในโลก
แน่นอนว่า ริโอ ต้องปรับตัวหลายอย่าง เรียนรู้ในหลายเรื่อง เพราะแมนฯยูไนเต็ดแตกต่างจากลีดส์และเวสต์แฮมมาก นี่คือสโมสรยักษ์ใหญ่ระดับท็อปของยุโรป เต็มไปด้วยความคาดหวังมหาศาลจากแฟนบอลทั่วโลกอยากเห็นโทรฟี่หลั่งไหลมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ซ้อมครั้งแรกที่แคร์ริงตัน เขาสัมผัสได้ทันทีถึงบรรยากาศอันตึงเครียด ยิ่งช่วงแบ่งข้างด้วยแล้วดูจริงจังเหมือนลงสนามจริง ทำให้เกิดอาการเกร็งพอสมควร ไม่กล้าเล่นกล้าโชว์กลัวพลาด
ดังนั้นจึงใช้วิธีเอาตัวรอด เล่นแบบง่ายๆ ได้บอลก็แปะคืนหลัง เป็นเบสิกของการอยู่เป็น ซึ่งมันน่าจะโอเคอยู่หรอก แต่ไม่ใช่กับแมนฯยูไนเต็ด
รอย คีน กัปตันทีมเห็นเข้าไม่พอใจสุดๆ ตวาดลั่นเลยว่า -- "เฮ้ย แกเล่นให้สมราคานักเตะ 30 ล้านปอนด์หน่อยสิเว้ย ไม่ใช่เอาแต่ส่งคืนหลังอย่างนั้น บอลมันต้องไปข้างหน้า"
1
นั่นคือเหตุการณ์แรกๆ ช่วยหล่อหลอม ริโอ ให้มีดีเอ็นเอของความเป็นแมนฯยูไนเต็ดมากยิ่งขึ้น คุณจะเหยาะแหยะ ทำเป็นเล่นไม่ได้เด็ดขาด ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมจึงรักษาความสำเร็จได้เสมอมา
จากนั้น 9 พฤศจิกายน 2002 มีคิวต้องไปเยือนแมนฯซิตี้ เป็นดาร์บี้แรกของ ริโอ ในสีเสื้อปีศาจแดง แน่นอนว่ามันตื่นเต้นอย่างมาก
แต่เกมดังกล่าวไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังเอาไว้เลย ซิตี้ทำได้อย่างยอดเยี่ยมมากกว่า ฌอน โกเตอร์ ซัลโว 2 ประตู ช่วยให้ทีมคว้าชัย 3-1 แถม ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ซึ่งเฝ้าเสาให้เรือใบสีฟ้า ก็ฟอร์มหนึบอีกต่างหาก ไม่มีผิดพลาดเลยด้วย
1
นักเตะหลายคนรู้ดีว่า บรรยากาศในห้องแต่งตัวฝั่งทีมเยือนที่เมน โร้ด (สนามเก่าแมนฯซิตี้) จะเป็นอย่างไร คงตึงเครียดขีดสุด เข้าใจอยู่แล้วว่าเจ้านายอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งปกติเกลียดความพ่ายแพ้มากกว่าสิ่งใด
แต่ความปราชัยให้ศัตรูคู่แค้นหรือทีมร่วมเมือง จะเหมือนดับเบิ้ลใส่ลงไปอีกเลยทีเดียว
หลังจากทุกคนเดินคอตกไปอยู่ในห้องเรียบร้อย เฟอร์กี้ ตามมาทีหลัง ปิดประตูดังปังดังสนั่น ยังไม่ยอมพูดอะไร
กระทั่งชี้ไปที่ รุด ฟาน นิสเตลรอย ซึ่งช่วงนั้นคือดาวยิงคนสำคัญ ผ่านการพิสูจน์เรียบร้อย แต่มือถือเสื้อของซิตี้ น่าจะแลกมากับผู้เล่นสักคน
"หากครั้งต่อไป ฉันเห็นแกถือเสื้อซิตี้อย่างนี้อีก แกจะไม่ได้เล่นให้เราอีกเด็ดขาด!"
ไม่มีนักเตะคนไหนคาใจ ในขณะที่ ริโอ รู้สึกตกใจ ไม่คิดมาก่อนว่าความเกลียดชังระหว่างคู่แข่งร่วมมืองมันจะรุนแรงขนาดนี้
สมัยอยู่เวสต์แฮมแม้จะมีประสบการณ์ลอนดอน ดาร์บี้มาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ถึงขั้นเขม็งเกลียวตึงเครียด ส่วนใหญ่แล้วพวกกองเชียร์ดูซีเรียสมากกว่า ไม่ใช่กลุ่มผู้เล่นหรอก
พอย้ายมาลีดส์ก็ไม่ได้มีคู่ปรับเป็นตัวเป็นตน ไม่มีดาร์บี้แมตช์ที่ช่วยสร้างอารมณ์ปลุกเร้าถึงความเข้มขลัง นอกจากดวลกับแมนฯยูไนเต็ดนั่นแหล่ะ มันก็ยังไม่ถึงขั้นดุเดือดนัก
นั่นเป็นอีกครั้งที่ ริโอ ได้เรียนรู้ว่า หากต้องการอยู่ที่นี่อย่างสง่างาม ถูกยอมรับจากเพื่อนร่วมทีม ได้รับความไว้วางใจจากบอส จำต้องมุ่งมั่นทุ่มเททุกวินาที ไม่ว่าจะตอนซ้อมหรือลงเกมจริง
แคร์เรคเตอร์ของเขาเปลี่ยนไปไม่น้อย หากเทียบตอนสวมยูนิฟอร์มเวสต์แฮมและลีดส์ กระทั่งก้าวสู่การเป็นหนึ่งในแกนนำแมนฯยูไนเต็ด
ถ้าคุณทำตัวแบบชิลล์ๆ คิดว่าอะไรก็ได้ เราเป็นซูเปอร์สตาร์ค่าตัวมหาศาล นั่นคือความคิดที่ผิดถนัด
รับรองว่าจะไม่มีที่ยืนอย่างเด็ดขาด
1
12 ธันวาคม 2020 ศึกแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดจบลงอย่างจืดๆ เสมอแบบไม่มีการทำประตูเกิดขึ้น แถมมีเพียงแค่สองใบเหลืองเท่านั้น ซึ่งพอจะสะท้อนได้อย่างดี
แล้วพอเสียงนกหวีดสุดท้ายดังขึ้น แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กัปตันทีมแมนฯยูไนเต็ดโผเข้าสวมกอด จอห์น สโตนส์ กองหลังซิตี้ ด้วยสีหน้าชื่นมื่นอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่านี่คือบรรยากาศของทีมคู่แค้น
รอย คีน ซึ่งเป็นกูรูพันดิต ร่วมแสดงความคิดเห็นทางสกาย สปอร์ตส์ กะซวก แม็กไกวร์ อย่างหนัก นอกจากเกมที่ไร้คุณภาพน่าผิดหวัง ยังมาแสดงมิตรภาพอย่างไม่ถูกกาลเทศะอีก
1
"นี่มันเกมดาร์บี้แมตช์ ผมไม่เคยเห็นการกอดกันแล้วยืนคุยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มนานแบบนี้เลยให้ตายเถอะ!"
"จำไว้ว่าคุณเล่นให้แมนฯยูไนเต็ด ด้วยเป้าเพื่อชัยชนะตามนิยามของสโมสรแห่งนี้ ไม่ใช่เพื่อผูกมิตรเป็นเพื่อนกับทุกคนบนโลก"
แค่สองพารากราฟนี้ชัดเจนแล้วว่า คีน ต้องการจะสื่ออะไร นี่คือเกมที่ซีเรียสจริงจัง ชัยชนะสำคัญเหนืออื่นใด ไม่ใช่เกมกระชับมิตรที่จะเตะเอาเพื่อน
เข้าใจได้ว่า แม็กไกวร์ กับ สโตนส์ สนิทแนบแน่นกันในทีมชาติอังกฤษ ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาพักใหญ่ อีกทั้งประสบความสำเร็จงดงามในฟุตบอลโลก 2018 เข้าถึงรอบรองชนะเลิศ
มิตรภาพย่อมก่อตัวเป็นธรรมดา เพราะไม่ใช่แค่ลงเล่นข้างกัน การอยู่แคมป์ยังกินอยู่หลับนอนด้วยกันอีกด้วย
แต่นั่นคือในนามทีมชาติ ทุกคนย่อมรู้บทบาทดี เมื่อถึงเวลาแยกย้ายมาเจอกันในฐานะฝั่งตรงข้ามก็ต้องเต็มที่
1
คีน ย่อมผิดหวังมากๆ ยิ่งเมื่อมองดู แม็กไกวร์ ซึ่งสวมปลอกแขนกัปตันทีม แล้วย้อนไปดูในวันที่ตัวเองเคยสวมมาก่อน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคงรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา
คงไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า คนที่มีบุคลิกอย่าง แม็กไกวร์ ได้รับความไว้วางใจเป็นกัปตันทีมแมนฯยูไนเต็ดอย่างไรกัน
1
จากนั้นล่าสุดหมาดๆ ศึกผ่าเมืองที่เพิ่งจบลงไปเมื่อ 6 พฤศจิกายน แมนฯยูไนเต็ดพ่าย 0-2 คาบ้าน สกอร์อาจไม่ห่างเท่าไรนัก แต่รูปเกมต้องบอกว่าเหมือนเด็กโดนผู้ใหญ่รังแก
คีน ซึ่งยังคงเป็นผู้สันทัดกรณีของสกาย แสดงความเห็นดุเด็ดเผ็ดร้อนกว่าเดิม มันเป็นสิ่งเลวร้ายที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ ช่างอัปยศหดหู่เหลือเกิน
คลาสที่ห่างกัน ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพผู้เล่นหรือความสามารถของผู้จัดการทีมยังพอทน แต่ที่ทนไม่ได้คือแพสชั่นความมุ่งมั่นของแข้งปีศาจแดงนั่นแหล่ะ เดินเล่นเหยาะแหยะ ไม่มีอะไรเลยที่บอกว่าต้องการเป็นผู้ชนะหรือทวงประตูคืน
สาวกแมนฯยูไนเต็ดเองก็ผิดหวังไม่ต่างไปจาก คีน เลยสักนิด มันอับอายมากๆเมื่อต้องเจอกองเชียร์ของซิตี้ แทบอยากมุดแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด
ผู้เล่นแต่ละคนรับค่าจ้างมหาศาล มันต้องโชว์ให้เห็นถึงความคุ้มค่าสิ อย่างน้อยที่สุดเรื่องของจิตใจต้องมาก่อน
แม็กไกวร์ คือกัปตันทีม แต่น่าเสียใจมากๆ กับพฤติกรรมที่แสดงออกมา เหมือนไม่ได้แคร์ความรู้สึกแฟนบอลเลย
ดีเอ็นเอในความเป็นแมนฯยูไนเต็ดที่เคยถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่น จนเป็นเหมือนอัตลักษณ์และเบื้องหลังความสำเร็จ หายไปอย่างสิ้นเชิง
หากไร้การเปลี่ยนแปลงแก้ไข ปล่อยไปตามยถากรรมเรื่อยๆ คงไม่ต้องบอกเลยว่าจะเป็นอย่างไร
ถ้าคุณสวมเสื้อสโมสรที่เคยยิ่งใหญ่ประสบความสำเร็จมากมาย แต่กลับไม่เคยนึกเลย ก็เตรียมใจรับความล้มเหลวเท่านั้นเอง
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา