รู้จักกับทฤษฎี Milkshake ที่ทำให้ฟาสต์ฟู้ดอเมริกันรวยที่สุดในโลก
“People don’t want to buy a quarter-inch drill, they want a quarter-inch hole.”
“ผู้คนไม่ได้ต้องการซื้อสว่าน แต่เขาอยากได้รูต่างหาก”
ธีโอดอร์ เลอวิทท์ นักเศรษฐศาสตร์แห่งฮาร์วาร์ดได้กล่าวเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว
รู้ไหมว่าคำกล่าวของเลอวิทท์ ทำให้เกิดทฤษฎี Milkshake ขึ้นมา
แล้ว Milkshake ที่ว่านี้คืออะไร ?
มีคำบอกเล่าคลาสสิคจากชาวอเมริกัน ซึ่งยิ่งผ่านกาลเวลาเท่าไหร่
เนื้อหาก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
มันคือเรื่องของไอศกรีมปั่นหรือ Milkshake ของฟาสต์ฟู้ดร้านหนึ่งในอเมริกา
คิดอยากจะปรับปรุง Milkshhake ให้ดีขึ้น เพราะช่วงหลังๆ ยอดขายไม่ดีเอาเสียเลย
เลยไปนั่งสังเกตุว่าลูกค้ามีพฤติกรรมอย่างไร
ปรากฎว่ามากกว่าร้อยละ 60 ยอดขาย Milkshake เกิดขึ้นในตอนเช้า
และส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ต้องขับรถไปทำงาน
ด้วยความสงสัยนี้ จึงส่งทีมงานเข้าไปถาม
(สมมติ) ทีมงานถาม “คุณครับซื้อ Milkshake ไปทำไมเหรอครับ”
ลูกค้าหลายๆ คนก็ตอบแบบงงๆ ว่า “ก็ซื้อไปกินสิครับ (ถามกวนป้ะวะ)”
แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว หลายคนใช้ชีวิตบนรถในช่วงเวลาหลายชั่วโมงในตอนเช้า
ซึ่ง Milkshake เป็นเมนูที่ช่วยดับความหิวและความกระหายได้ดีที่สุด
เพราะถ้าจะกินเบอร์เกอร์ หรือโดนัท มือมันก็เลอะแถมยังต้องมาจับพวงมาลัยขับรถอีก
Milkshake นี้แหละเหมาะที่สุด มือหนึ่งจับพวงมาลัย อีกมื่อหนึ่งก็ดูดหลอดไป
ถือว่าตอบโจทย์เรื่อง ‘การทำงาน’ ของสินค้า
ส่วนยอดขายที่เหลือจะเป็นช่วงบ่ายไปตอนเย็น
กลุ่มลูกค้าช่วงนี้จะเป็นครอบครัวซะส่วนใหญ่
เพราะพ่อแม่หลายคนต้องการที่จะดับความดื้อความซนของลูกด้วยอะไรที่หวานๆ
Milkshake ใช้เวลานานกว่าจะดื่มหมด เด็กๆ ชอบ ทำให้อารมณ์ดีไม่งอแง
แถมยังเป็นตัวเลือกที่ไม่แพง พ่อแม่หลายคนมีเวลาพักหายใจพอสมควร
มันจึงเป็นตัวเลือกที่ดี จึงนับว่าตอบโจทย์เรื่อง ‘อารมณ์’ และ ‘สังคม’
ทั้งหมดนี้เป็นที่มาของทฤษฎี Milkshake
หรืออาจเรียกอย่างเป็นทางการได้ว่า ‘ทฤษฎี jobs to be done’
ซึ่งคุณ Clayton Christensen นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน
เป็นคนนำมาเผยแพร่โดยได้แรงบันดาลใจจากคำกล่าวของเลอวิทท์
ภายหลังแบรนด์ฟาสด์ฟู้ดอเมริกันได้ใช้ข้อคิดจากทฤษฎีนี้
เข้ามาช่วยในการขายสินค้าของตนเอง จนเกิดเป็นวัฒนธรรม
อย่างไรก็ตาม ทฤษฎี Milkshake ก็ถูกใช้มาจนถึงปัจจุบัน
เพียงแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือยุคสมัย และความก้าวหน้าของเทคโนโลยี
- 17
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
