28 พ.ย. 2021 เวลา 03:30 • ประวัติศาสตร์
สรุป มหากาพย์รอยร้าว และ โศกนาฏกรรม ของตระกูล Gucci
รู้หรือไม่ Forbes ประเมินมูลค่าแบรนด์ของ Gucci ไว้กว่า 750,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นแบรนด์หรูที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 2 ของโลก และเป็นรองเพียง Louis Vuitton เท่านั้น
ปัจจุบัน Gucci อยู่ภายใต้การดูแลของ Kering อาณาจักรแบรนด์หรู ที่เป็นเจ้าของแบรนด์อย่าง Yves Saint Laurent, Balenciaga, Alexander McQueen และ Bottega Veneta
1
แต่กว่าที่ Gucci จะมาถึงมือของ Kering ได้ผ่านอะไรมาบ้าง ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
Gucci ก่อตั้งโดยคุณ Guccio Gucci ที่ประเทศอิตาลี ในปี 1921 หรือเมื่อ 100 ปีก่อน
เดิมทีเขาก็เติบโตมากับพ่อที่เป็นช่างเครื่องหนัง แต่ในตอนแรกเขาไม่ได้สนใจธุรกิจของครอบครัว จึงบอกลาบ้านเกิด เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี
2
จากนั้นจึงเดินทางสู่เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส ไปจนถึงเมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ
2
ซึ่งในขณะที่อยู่ลอนดอน คุณ Guccio ได้ทำงานเป็นพนักงานยกกระเป๋า ณ โรงแรมซาวอย และการที่ได้ถือกระเป๋าให้กับคนรวย ๆ เหล่านี้ ก็ทำให้เขาเริ่มหลงใหลในกระเป๋าขึ้นมา
4
สุดท้าย คุณ Guccio จึงเดินทางกลับบ้านเกิด เพื่อไปสานต่อธุรกิจของครอบครัว ก่อนจะเปิดร้านเครื่องหนังของตัวเอง ในวัย 40 ปี
1
แบรนด์ Gucci ติดตลาดอย่างรวดเร็ว รวมถึงยังมีลูกค้าต่างชาติ เดินทางมาซื้อสินค้าที่ร้านอย่างไม่ขาดสาย
1
ต่อมา Gucci ก็ตกทอดสู่ทายาท รุ่นที่ 2 ในปี 1953 เนื่องจากการจากไปของคุณ Guccio
3
จริง ๆ แล้วคุณ Guccio มีลูกทั้งหมด 6 คน เป็นผู้หญิง 2 คน และผู้ชาย 4 คน
แต่ลูกชาย 2 คนของเขา ได้เสียชีวิตไปก่อน ส่วนลูกสาวไม่ได้รับส่วนแบ่งอะไร
6
ทำให้สุดท้าย หุ้นของ Gucci จึงถูกแบ่งให้กับลูกชายที่เหลืออยู่ ซึ่งก็คือ คุณ Aldo และคุณ Rodolfo คนละ 50%
2
คุณ Aldo ลูกชายคนโต เป็นผู้กุมอำนาจควบคุม โดยเขายังได้พา Gucci ไปสู่ระดับนานาชาติ ด้วยการไปเปิดร้านสาขาแรกที่สหรัฐอเมริกา ก่อนจะขยายไปสู่ประเทศอื่น ๆ
5
ต่อมา คุณ Aldo ก็ได้แบ่งหุ้นของ Gucci ที่ตนถืออยู่ ให้กับลูกชาย 3 คน คนละ 3.3% โดยที่เขายังคงถืออยู่อีก 40%
3
แต่แล้วรอยร้าวของตระกูล Gucci ก็เริ่มต้นขึ้น..
2
เนื่องจากคุณ Paolo ลูกชายของคุณ Aldo มีความเห็นไม่ตรงกับคุณพ่อ โดยเขาต้องการจะแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ดูทันสมัยเพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่อายุน้อย ภายใต้เครือ Gucci
2
ความคิดนี้ โดนทั้งคุณพ่อและคุณอาขัดขวางเอาไว้ แต่เขาก็ไม่สนใจ และแอบไปเปิดตัวสินค้าแบบลับ ๆ โดยที่ไม่บอกให้ใครรู้
4
แน่นอนว่าความลับไม่มีในโลก ในเวลาต่อมาคุณ Paolo จึงถูกจับได้
เขาโดนไล่ออกจากบริษัท และถูกฟ้องร้อง ไม่ให้ใช้ชื่อ Gucci ในการทำธุรกิจ
1
แม้ว่าในขณะนั้น คุณ Paolo จะไม่ได้ทำงานใน Gucci แล้ว แต่ก็อย่าลืมว่าในมือของเขายังมีหุ้นอีก 3.3% ทำให้เขาสามารถเข้าร่วมประชุมของคณะกรรมการบริษัทได้
1
และเขาก็ใช้โอกาสนี้ก่อกวน ด้วยการตั้งคำถามน่าอายต่าง ๆ ต่อการบริหารงานของพ่อ จนสุดท้ายก็นำมาสู่การต่อสู้ที่รุนแรงกลางที่ประชุม
3
ซึ่งการแก้แค้นของคุณ Paolo ยังไม่จบเพียงเท่านี้
เขาได้ฟ้องพ่อของตัวเอง ข้อหาหลบเลี่ยงภาษี จนคุณ Aldo ถูกตัดสินให้จำคุกเป็นปี
3
เรื่องราวภายในตระกูล Gucci ยังคงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
1
ที่ผ่านมา แม้ว่าคุณ Aldo จะมีหุ้นในมือ 40% แต่ก็สามารถกุมอำนาจการบริหาร เอาไว้ได้อย่างมั่นคง จนกระทั่งในปี 1983 เมื่อคุณ Rodolfo เสียชีวิต หุ้น 50% จึงตกไปอยู่กับลูกชายของเขา อย่างคุณ Maurizio
1
ซึ่งคุณ Maurizio เอง ก็มีความคิดอยากเปลี่ยนแปลงบริษัทเหมือนกัน แต่ติดอยู่ที่คุณ Aldo ไม่ยอมรับฟังความเห็นใด ๆ
1
โดยสถานการณ์ของ Gucci ในตอนนั้น แม้ว่าจะทำกำไรได้ดี แต่ภาพลักษณ์กลับไม่ใช่แบรนด์หรู เหมือนในอดีต เพราะใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ด้วยราคาที่ต่ำลง และสินค้าที่มีวางขายอยู่ตามร้านค้าทั่วไป ประกอบกับการนำวัสดุอย่างผ้าใบ มาใช้ทำกระเป๋า
4
คุณ Maurizio ที่ต้องการฟื้นคืนกลิ่นอายความหรูหรา จึงหันไปทำข้อตกลงกับลูกพี่ลูกน้อง ด้วยการให้คุณ Paolo โหวตให้เขามีอำนาจควบคุม Gucci
1
ส่วนคุณ Paolo ก็ต้องการให้คุณ Maurizio ซื้อหุ้นของเขา เนื่องจากต้องการเงินสด มาตั้งบริษัทของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Gucci จะเข้ามาอยู่ในมือของคุณ Maurizio แล้ว แต่ก่อนที่เขาจะซื้อหุ้นของคุณ Paolo สัญญาของทั้งสอง ก็ถูกฉีกขาด
โดยคุณ Paolo ยังหันไปร่วมมือกับคุณพ่อและพี่น้อง ในการต่อสู้เพื่อแย่งสิทธิ์บริหารกลับคืนมา โจมตีคุณ Maurizio เช่น ฟ้องร้องเรื่องการเลี่ยงภาษีมรดก จนทำให้เขาต้องหนีไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อหนีการจับกุม ก่อนจะสู้คดีจนไม่ต้องจำคุก
1
ทางด้านคุณ Maurizio จึงคิดว่า การจะจบปัญหานี้จำเป็นจะต้องซื้อหุ้นจากญาติทั้งหมดของตน แต่ตอนนั้นเขามีเงินไม่พอ จึงไปติดต่อนักลงทุนภายนอกอย่าง Investcorp ให้เข้ามาช่วยซื้อหุ้นที่เหลือ
1
พอมาถึงตรงนี้ คุณ Maurizio ก็ได้อำนาจการบริหาร Gucci มาอย่างสมบูรณ์
เรียกได้ว่าตอนนั้นคุณ Maurizio เป็นเหมือนดาวรุ่งแห่งวงการแฟชั่นเลยทีเดียว เพราะในมือมีธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ของครอบครัว
ในขณะเดียวกัน เขายังได้แต่งงานกับคุณ Patrizia Reggiani คุณหนูจากครอบครัวที่ร่ำรวย ซึ่งพบรักกันในงานปาร์ตีแห่งหนึ่ง และตัดสินใจลงหลักปักฐานร่วมกันในปี 1972
1
ทั้งสองกลายเป็นคู่รักที่หวานชื่น และใช้ชีวิตกันอย่างหรูหรา จนใครหลาย ๆ คนต้องอิจฉา
2
แต่จากจุดสูงสุด กราฟชีวิตของพวกเขาก็เริ่มดิ่งลงเหว
2
ตั้งแต่ข่าวการนอกใจของคุณ Maurizio จนหย่าขาดกับภรรยาในปี 1994 รวมถึง Gucci ภายใต้การดูแลของ คุณ Maurizio ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า จนเขาถูกบังคับขายหุ้น 50% ที่ถืออยู่ ให้กับ Investcorp ในปี 1993
4
แปลว่าตอนนี้ Gucci ก็ไม่ได้เป็นธุรกิจของตระกูล Gucci อีกต่อไป
และเรื่องนี้เอง ที่เป็นชนวนสำคัญ ทำให้เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ในปี 1995
2
โดยขณะที่คุณ Maurizio กำลังเดินเข้าออฟฟิศในยามเช้าตามปกติ เขาก็ต้องจบชีวิตลง ด้วยกระสุนปืนที่ถูกกระหน่ำเข้ามาหลายต่อหลายนัด
1
ซึ่งกว่าที่ตำรวจจะไขคดีได้ เวลาก็ผ่านไปถึง 2 ปี และคนร้ายก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณ Reggiani ที่เป็นผู้ว่าจ้างมือปืน
1
เนื่องจากปัญหาที่สะสมของทั้งคู่ และที่สำคัญคือ เธอไม่พอใจที่คุณ Maurizio ทำให้ตระกูลต้องเสียธุรกิจไป
ข้อหานี้ทำให้เธอถูกตัดสินให้จ่ายค่าเสียหาย และต้องจำคุก ก่อนจะได้รับการปล่อยตัว ในปี 2016
ซึ่งเมื่อมีคนถามว่าทำไมเธอถึงจ้างมือปืน คุณ Reggiani ก็ตอบว่า “สายตาเธอไม่ดี ไม่อยากยิงพลาด”
8
กลับมาที่ตัวธุรกิจของ Gucci อีกครั้ง
ในปี 1995 บริษัทก็ถูกนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จากนั้น Investcorp ก็ค่อย ๆ ทยอยขายหุ้น โดยคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 62,000 ล้านบาท
5
เรียกได้ว่า Investcorp ก็ได้กำไรจากดีลนี้ไปหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
2
ที่น่าสนใจคือ แล้วใครเป็นผู้มารับไม้ต่อจาก Investcorp ?
ในปี 1999 อาณาจักรแบรนด์หรู LVMH ก็ค่อย ๆ สะสมหุ้นของ Gucci จนมีสัดส่วนถึง 34%
2
แต่ทางด้าน Gucci กลับดูเหมือนว่า ไม่ต้องการจะไปอยู่ใต้ร่มของ LVMH จึงได้หันไปหาคุณ François Pinault ให้ช่วยนำบริษัทออกนอกตลาดอย่างเร่งด่วน
ซึ่งคุณ Pinault ก็คือ เจ้าของ Pinault Printemps Redoute ที่ต่อมาก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Kering นั่นเอง..
1
ปัจจุบัน Gucci ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของ Kering เป็นที่เรียบร้อย
โดยในปี 2020 เพียง Gucci แบรนด์เดียว ก็กวาดรายได้ถึง 2.8 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 56.8% ของรายได้ทั้งหมดของ Kering เลยทีเดียว
2
รวมถึงถูกจัดอันดับให้เป็นแบรนด์หรู ที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 2 ของโลก
1
เพียงแต่ความสำเร็จทั้งหมดนี้ ตระกูล Gucci กลับไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย อีกต่อไปแล้ว..
1
โฆษณา