5 ธ.ค. 2021 เวลา 02:24 • นิยาย เรื่องสั้น
เรื่อง : จะรัก…แล้วไง? 🤫
ตอนที่ 4 อยากรู้ แต่ไม่กล้าถาม
“ซีนายทอล์ก”
ฉันไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับฉัน ที่ต้องตื่นก่อนเวลา (ปกติก็ตื่นหกโมงเช้า) แต่นี่ ตีห้าฉันก็ตื่นจ้า บ้าไปแล้ว
อาบน้ำที่ใช้เวลานานเกือบๆหนึ่งชั่วโมง แปรงฟัน ล้างหน้า ประทินโฉมต่างๆ เสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ถูกฉันเอาออกมาทาบตัว ดูสีมงคล ค่าสีต่างๆ เพื่อให้ดูดีที่สุด เพื่อ…
นั่นสิเพื่ออะไร? ที่ทำไปทั้งหมดเพื่ออะไร? ทำไมต้องทำตัวดูดีอะไรแบบนั้นด้วย ซึ่งปกติก็ไม่ได้แต่งตัวแย่ หรือไม่รู้กาลเทศะอะไรเสียหน่อย
แต่…นั่นใครกันยืนอยู่ในกระจก
ผู้หญิงคนหนึ่งใส่เอี้ยมกระโปรงถึงเข่า สีครีมส้ม และเสื้อแขนสั้นเป็นคอกลม สกรีนด้วยการ์ตูนสิงโตน้อย ผมจัดให้มีหน้าม้า มัดถักหางเปีย แต่งหน้าอ่อนๆ ลิปสติกสีอ่อนๆ
มันน่ารักน่ามองมั้ยนะ?
ผู้หญิงคนนั้นก็ออกจากห้องไปซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งหน้าปากซอยด้วยจักรยานญี่ปุ่นที่จอดอยู่ริมรั้ว
“วันนี้จะไปไหนคะ แต่งตัวสวยเชียว” ป้าสมแม่ค้าหมูปิ้งที่ฉันเป็นลูกค้าประจำทักฉัน ดีใจสุดๆที่มีคนทักว่าสวย
“ไม่ได้ไปไหน อยู่บ้านอ่านหนังสือค่ะ”
“เหรอจ๊ะ สวยนะเนี่ย”
“อ้าว น้องซีวันนี้แต่งตัวสวยกว่าทุกวันนะ จะไปเที่ยวไหนให้พี่ไปส่งมั้ย” พี่ดำ วินมอเตอร์ไซต์ที่ฉันรู้จักและเรียกใช้บริการบ่อยทัก
“เปล่าค่ะ อยู่บ้านค่ะพี่ดำ อ้าววันนี้ไม่วิ่งเหรอคะ”
“วันนี้หยุดน่ะ ไอ้ดินมันร้องไห้ทั้งคืน พี่กับศรีจะพาไปหาหมอ นี่รีบๆเรียนจบไวๆนะ พี่จะให้น้องซีช่วยรักษาจะได้ไม่ต้องเดินทางไกลๆ”
“ค่ะพี่ดำ”
“แล้วร้านอาหารตามสั่งเค้าย้ายแล้วเหรอ”
“ใช่ค่ะ แต่วันนี้จะมีคนเช่าคนใหม่จะมีดูร้านค่ะ ได้ยินว่าจะเป็นร้านกาแฟกับเบเกอรี่ค่ะ”
ระหว่างรอหมูปิ้งสุก ฉันก็เล่าเรื่องที่มีคนเช่าใหม่จะมาอยู่ ซึ่งเชื่อว่าถ้าแนะนำให้รู้จักก่อน ก็จะได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางและจับจ่ายซื้อของมากขึ้น
แต่ที่แน่ๆ คือ ทุกคนที่เห็นฉันตอนนี้ก็บอกว่าฉันสวย
เขินแหละ แต่ก็ต้องปั้นหน้าปกติ ทั้งที่จริงจะลอยแล้ว
ฉันยืนซื้ออยู่พักใหญ่ก็ปั่นจักรยานกลับ
ห้องของฉันก็เป็นเหมือนทุกๆวัน แต่วันนี้ทำไมแสงจากหน้าต่างทำให้ห้องดูสวยและอบอุ่นขึ้น
ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เวิ้นเว้อขนาดนี้
10.00 น. ตามเวลาที่นัดไว้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“มาแล้วค่ะ” ฉันแทบจะถลาไปเปิดประตูทันที ฉันนั่งรอเวลาอย่างใจจดจ่อ
เมื่อเปิดประตูเท่านั้นแหละ สิ่งที่รอคอยกลับไม่เป็นอย่างที่หวังไว้
“ฉันมาดูร้าน” บีมมากับคุณบดินทร์ ยืนอยู่หน้าห้องของฉัน
“มากันแค่นี้เหรอ” ยังพอมีหวังเว้ย
“อ๋อ ไอ้เบนกับแบมมันรออยู่หน้าร้าน”
“แล้ว…พ…พี่…แล้วคนอื่นๆล่ะ?” กูอยากได้คำตอบมากกว่านี้ ฉันตะโกนในใจ
“พี่เมย์กับไอ้บิวไปดูไบ มีงานด่วนเข้ามา ขึ้นเครื่องเมื่อวาน” what???ไปดูไบเนี่ยนะ แล้วทำไมฉันไม่รู้ล่ะ
แต่เดี๋ยวนะ… มันเรื่องของเขาหรือเปล่า ทำไมคนนอกอย่างฉันถึงต้องรู้ด้วย แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ก็บอกว่าฉันก็เหมือนลูกคนหนึ่งของท่านนี่
“เราไปดูร้านกันเถอะ จะมาถ่ายรูปและร่างแบบคร่าวๆ ก่อนส่งให้อินทีเรียเค้าออกแบบ”
“เอ่อ…เดี๋ยวตามไป เอากุญแจกับร่างสัญญาก่อน”
บ้าจริงเชียว ความผิดหวังนี่อะไร แล้วเราแต่งตัวสวยกว่าปกติไปทำไมในเมื่อคนที่อยากให้ดูก็ไม่ได้มา….
ครั้นจะเปลี่ยนก็เสียดายเวลาที่ใช้ไปกับการเลือกชุดพวกนี้
ฉันเปิดร้านที่ว่างเปล่าให้คนของบีมเข้าไปดู ซึ่งฉันคอยเดินตามและตอบคำถาม และชี้จุดที่มีการแตกหัก และกำลังจะเสื่อมสภาพให้อย่างละเอียด เพื่อแสดงความจริงใจ ซึ่งปกติใครเค้าก็ไม่ทำกัน แต่เพื่อตอบแทนความเอื้อเฟื้อครั้งนี้ฉันจึงต้องบอกหมด
ฝาแฝดแทบจะไม่ทำอะไรเลย เพราะยังไม่รู้จะเริ่มตรงไหน จะมีแค่บีมกับคุณบดินทร์เท่านั้นที่คอยถาม และถ่ายรูป
เฮ้อออ…น่าเบื่อจัง
“ทำเลไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะครับ อยู่ท้ายซอย ปากทางเข้าเป็นป้ายรถเมล์ก็พอจะทำให้เป็นจุดสังเกตได้ มีท่าเรืออยู่ถัดไปอีกสองซอย ที่จอดรถใช้ร่วมกัน” คุณบดินทร์วิเคราะห์ “เป็นร้านอาหารตามสั่งไม่ได้แน่ๆ เพราะอยู่ห่างจากชุมชน ศูนย์ราชการ ออฟฟิศทำงาน”
“ทำเป็นร้านกาแฟ เค้ก กับมีอาหารตามสั่งเป็นตัวเสริมจะดีกว่า”
“ครับคุณบีม สมัยนี้ถ้าปั่นโซเชียล ใช้หน้าตาของเจ้าของร้านก็น่าจะช่วยได้ แต่ไม่นานเท่าไหร่”
“ถ้าของเราดีจริง ก็จะช่วยได้มาก ช่วงแรกเราน่าจะรับมาวางขายก่อน แล้วค่อยหาเมนูซิคเนเจอร์แบบใครมาต้องชิมไม่งั้นมาไม่ถึง แล้วพวกบล็อกเกอร์หรืออินฟูเรนเซอร์ที่เป็นสาวกของหวานมาช่วยดึงลูกค้า”
ฉันนั่งดูคุณบดินทร์กับบีมระดมความคิดกัน โดยมีฝาแฝดนั่งเล่นเกมข้างๆ
“เฮ้ย ไอ้แฝด พวกแกไม่อยากเรียนพิเศษใช่มั้ย”
“ใช่!!” ทั้งสองคนประสานเสียงพร้อมเพรียงกัน
“ดี แล้วถ้าจะส่งไปเรียนทำขนมกับชงกาแฟเอาป่ะ”
“ดีนะพี่ แต่ไปช่วงเสาร์อาทิตย์แล้วเรียนแค่สองชั่วโมง ผมไม่เอานะมันจะลืม” สิ่งที่เบนมันพูดก็น่าคิด
“ถ้าจะจ้างมาสอนที่บ้านเอามั้ย ทุกๆเย็น แล้ววันเสาร์กับอาทิตย์ค่อยเต็มวัน”
“ดีๆ จะได้มีเค้กไปให้สาวๆกิน” เบนเห็นด้วย และแน่นอนว่าแบมมันก็เออออ ยังไงก็ได้
“คุณบดินทร์ช่วยจัดการด้วยนะครับ ถ้ามีสถาบันไหนสามารถส่งคนมาส่วนที่บ้านได้ แล้วช่วยเพิ่มเข้าไปด้วย ผมจะได้สรุปส่งให้พี่เมย์”
“ครับคุณหนูรอง”
“พวกมึง 2 ตัวจะไปเลือกอาจารย์สอนด้วยตัวเองมั้ย จะได้มันเสียใจทีหลังตอนจ้างเค้ามาแล้ว”
“ครับพี่บีม”
เกมในมือของทั้งสองไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจอีกต่อไป สิ่งที่กำลังจะได้ทำนั้น น่าตื่นเต้นและน่าสนใจมากกว่า
เฮ้อออ…น่าเบื่อจัง
นี่ฉันถอนหายใจอีกแล้วเหรอเนี่ย ยังไงดีล่ะประมาณบ่ายโมงพวกไอ้บีมก็กลับบ้านไปแล้ว ฉันก็มีตารางที่จะอ่านหนังสืออยู่
แต่ทำไมถึงไม่มีกะจิตกะใจที่จะอ่านไปเลย
“ไอ้พี่เมย์บ้า บ้า บ้า บ้า ไปต่างประเทศก็ไม่บอกสักคำ ให้เราแต่งตัวเก้อเลย ในเฟสก็ไม่อัพ ไอจีก็ไม่อัพรูปอีก คอยดูนะ ถ้ากลับมาจะไม่พูดด้วยเลย”
ตุ๊กตาหมีที่ติ๊งต่างว่าเป็นหน้าพี่เมย์ ถูกฉันจับเขย่าหัวแรงๆ ระบายความหงุดหงิด ขัดใจ ถ้าเอาเผาได้ก็ทำไปแล้ว
ฮัดชิ้ว!!!
“เป็นอะไรพี่” บิวถามพี่สาว
“ไม่รู้สิ มีคนนินทามั้ง”
วันจันทร์ การรอคอยของฉันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง วันนี้พี่เมย์กลับจากต่างประเทศ
เค้าจะมาเรียนได้มั้ยนะ เค้าจะเหนื่อยมั้ย หาอะไรให้พี่เค้าทานให้หายเหนื่อยดีมั้ยนะ
“ไอ้ซี เป็นอะไร ทำไมเหม่อ”
ขนาดนั่งเรียนฉันยังเหม่อเลย
“ก็นิดหน่อย เมื่อคืนนอนดึก” ความจริงฉันแทบจะไม่ได้นอน
“เหรอ อย่าหักโหมมากนะมึง”
“รู้แล้ว ขอบใจที่เป็นห่วง เอ่อจริงสิ เรื่องเช่าห้องอ่ะ ตอนนี้พี่เค้าย้ายของออกหมดแล้วนะ จะเข้าไปดูมั้ย”
“ต้องรอถามมีเมย์ ตอนนี้น่าจะถึงสุวรรณภูมิแล้วนะ”
เวลานี้เกือบสิบนาฬิกา ถ้าจำไม่ผิดพี่เมย์จะไม่มีเรียนตอนบ่าย จะมีอีกทีก็ค่ำเลย
“เหรอ จะมาเรียนเหรอ ไม่เหนื่อยเหรอ” เป็นคำถามที่แสดงว่าฉันเป็นห่วงชัดเจน
“คงเหนื่อยแหละ แต่ว่าห้ามไม่ได้ พี่เมย์ว่าไหวเราก็ต้องไหวด้วย”
“ทำไมไม่ห้ามล่ะ"
“โห ใครจะกล้า จะโดนยันหน้ากลับมาน่ะสิ รู้มั้ยพี่เมย์ใหญ่สุดในบ้านใครจะกล้า ขนาดคุณพ่อยังต้องยอมเลย พูดแล้วขนลุก”
“เวอร์ไปล่ะ คนอะไรจะน่ากลัวขนาดนั้น”
“เวลาใจดีก็จะตามใจทุกอย่างเลย แต่เวลาโกรธนะมึง พวกกูไม่มีใครรอดชีวิตสักคน ตอนเด็กนะพี่เมย์ตกกะโหลกพวกกูมาแล้ว พวกเพื่อนของไอ้บิวยังโดนเลย แม่ของพวกมันตามมาจะเอาเรื่อง แต่ไม่รู้พี่เมย์ไปพูดอะไร หลังจากนั้น พวกเค้ายอมให้พี่เมย์สั่งสอนลูกเค้าได้เต็มที่”
“มาเฟียชัดๆ”
“มาเฟียผสมยากุซ่าเลยล่ะ อะไรขัดใจพี่เมย์พวกกูจะไม่ทำเด็ดขาด น่ากลัวมากกกก”
ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกว่าพี่เมย์จะน่ากลัวสักนิดนะ
“แล้วใครไปรับพี่เมย์ที่สนามบิน”
“คนที่บ้านแหละ เพราะเครื่องดีเลย์เกือบสามชั่วโมง ที่แรกกูจะไปรับนะ แต่เครื่องดีเลย์เลยให้คนที่บ้านไป”
“เหรอ”
“หรือมึงจะไป ก็ได้นะ”
“เฮ้ย!! ทำไมต้องเป็นกูด้วยล่ะ กูก็มีเรียนเหมือนมึงนะ จะไปได้ยังไง แล้วอีกอย่างเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย”
ใช่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน…..
แต่ทำไมฉันต้องมายืนอยู่ตรงนี่ที่ประตูผู้โดยสายขาเข้าด้วยเนี่ยยยยยย
ขนมในถุงที่ติดมือมาด้วย น้ำเปล่าช่วยให้คล่องคอ และมีขนมจากร้านดังหน้ามหาวิทยาลัยบรรจุมาเต็ม แน่นอนคนที่เลือกให้คือฉัน
แล้วทำไมต้องมีฉันที่ต้องมารับด้วย
ไหนบอกว่าคนที่บ้านจะมารับไงล่ะ….
คนบ้านนี้มันยังไงกันคะ เปลี่ยนใจไปมา ตามไม่ทันแล้ว
ตึกตึก! ใจเต้นแรกขึ้น แรงขึ้นเมื่อพี่เมย์กับบิวเดินออกมา ฉันเห็นบิวแยกไปอีกทางหนึ่ง พร้อมรถเข็นกระเป๋าของพี่เมย์ด้วย
รอยยิ้มนั้นที่พี่เค้าส่งมาที่ฉัน การเดินที่มั่นคงทุกฝีก้าว มันมีผลต่อหัวใจของฉันเหลือเกิน หน้าของฉันก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่อระยะห่างมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“มารับพี่เหรอคะ?”
“ค…ค่ะ…บีมให้มารับ นี่ค่ะขนมมันฝากมา” ฉันรีบส่งถึงขนมให้ แล้วหันหลังเดินกลับ
แล้วอยู่ๆความรู้สึกของวันเสาร์ที่ผ่านมามันตีขึ้นมา
“หึ!” ยังจะมีหน้ามายิ้มระรื่นอีก ไอ้พี่เมย์บ้าๆ
“รอพี่ด้วย จะรีบไปไหนคะ”
“จบซีนายทอล์ก”
“เมย์ทอล์ก”
ฉันไม่อยากเชื่อเลยที่อยู่ตรงนั้นคือซีนาย
แต่ก็งงเลยจ้า ที่อยู่ๆซีนายเชิดใส่ฉัน ฉันลงทุนจ้างไอ้บิวน้องรักให้กลับบ้านไปกับรถของที่บ้านด้วยเงินจำนวนที่สูงมาก แถมโยนกระเป๋าให้มันแวะเอาไปไว้ที่หอก่อนกลับด้วย
ไอ้บีมบอกว่าจะให้ซีนายไปรับ ฉันก็ดีใจแทบแย่ ที่การเดินทางไปดูงานครั้งนี้มันเหนื่อยมากจริงๆ ถึงแม้จะมีเบ้อย่างไอ้บิวไปด้วยก็ตาม
เชื่อมั้ยคะว่าฉันหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
แต่ไม่รู้เพราะอะไรเจ้าตัวถึงเชิด เมินใส่ฉัน เหมือนถูกบังคับให้มาอย่างนั้นแหละ
“เป็นอะไรคะ ทำไมงอนล่ะ” พอขึ้นรถแท็กซี่ได้ฉันก็ถามทันที เจ้าหล่อนนั่งชิดกระจก มองวิวข้างนอกราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน
“เปล่าค่ะ”
“เปล่า แล้วทำไมไม่คุยกับพี่ล่ะคะ”
“ไม่รู้จะคุยอะไร พี่มาเหนื่อยๆ กินขนมเข้าไปสิคะ น้ำก็มีจะได้ไม่ว่าง” ฉันว่ามันจะต้องมีเรื่องแน่ๆ
ฉันก็ไม่รู้จะเริ่มต้นคุยอย่างไร หัวข้อทั่วไปมันมีเยอะแยะ แต่ไม่รู้จะยกอะไรขึ้นมาพูด
“แล้วเรื่องร้านเป็นยังไงบ้าง”
“ได้ยินว่า บีมส่งเมลให้พี่ตั้งแต่วันเสาร์แล้วนี่คะ”
เรื่องที่หนึ่งผ่านไป จบการสนทนาไปซะอย่างงั้น ถึงฉันจะเป็นผู้หญิงเหมือนกันแต่การที่มางอน มึงๆตึงๆแบบนี้ ก็ไปไม่เป็นนะ ถ้ามีวุ้นแปลภาษาอ่านท่าทางออกมีขายที่ไหนจะรีบไปเหมามาใช้เลย
แต่เรื่องร้านเป็นเรื่องเดียวที่เชื่อมระหว่างฉันกับซีนายได้
“ได้แล้วล่ะ แต่ยังไม่ได้อ่านเลย”
“ก็อ่านสิคะ”
“จะเอาอะไรมาอ่านล่ะคะ ของทุกอย่างติดกระเป๋าไปกับไอ้บิวหมดเลย เนี่ยตอนนี้มีตังติดตัวแค่ห้าร้อยเองนะคะ บางส่วนยังเป็นเงินของเดอร์แฮม ยังไม่ได้แลกคืนเลย” ความจริงฉันเปิดอ่านนานแล้ว และอีกอย่างก็เปิดจากมือถือ แต่ฉันทำเป็นเปิดดูเมลไม่ได้ซะอย่างงั้น
“อะไรนะคะ” ได้ผล ซีนายหันมาหาฉันทันที แถมตาโตถลึงใส่
“พี่ต้องพึ่งซีนายแล้วล่ะค่ะ ของกินประทังชีวิตก็มีแค่ขนมที่ซีนายติดมาให้”
“พี่เมย์ ทำไมเป็นแบบนี้คะเนี่ย แล้วโทรติดต่อบิวหรือยังคะ” ซีนายกระแทกหายใจใส่ฉัน
“มันแบตหมด”
“แล้วจะทำยังไง” ซีนายหน้างอ กระทืบเท้าขัดใจ ฉันกำลังสนุกที่ได้ปั่นว่าที่คุณหมอจอมงอแงคนนี้
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน ซีนายคงต้องเลี้ยงพี่แล้วล่ะค่ะ ตอนนี้พี่ก็หิวมากด้วย พี่กินข้าวบนเครื่องไม่อิ่มเลย”
“ก็กินเค้กไปก่อนแล้วกันค่ะ”
“พี่บอกว่าหิวข้าวนะคะ ไม่ใช่หิวเค้ก”
“โอย….พี่เมย์มันก็เหมือนๆกัน”
“ไม่เหมือนนะคะ” เพลินดีเหมือนกัน ปกติฉันมีแต่น้องชายไว้ค่อยแกล้งคอยแหย่ให้โมโห พอเป็นผู้หญิงก็ทำให้รู้สึกดีไปอีกแบบ
“อย่ามาทำหน้าแบบนั้นนะคะ ซีไม่สงสาร”
“ซีจะปล่อยให้พี่หิวตายเหรอคะ โถพี่บินไปทำงานตั้งไกล อาหารการกินก็ไม่อร่อยเหมือนบ้านเรา พอกลับมาก็หวังว่าจะได้กิน แต่ดันลืมกระเป๋าไว้ที่น้องอีก ชีวิตพี่นี่เศร้าจริงๆ”
“พี่เมย์!!!!”
ฉันปล่อยจอยไปกับซีนายแล้วค่ะ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังแสดงท่าทางเหมือนเด็กถูกขัดใจออกมา ซึ่งมันแปลกใหม่สำหรับฉันมาก
ฉันรู้มาตลอดว่าซีนายเป็นเพื่อนสนิทกับบีมตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง ซึ่งไปที่บ้านบ่อยมาก คุณแม่ปลื้มสุดๆ เพราะไม่เคยขัดใจแม่เลย ส่งชุดสวยๆน่ารักๆที่ฉันปฏิเสธตลอดเวลาให้ใส่ เจ้าตัวก็ใส่ แม่ส่งรูปมาอวด และอวยยศซีนายเสียยกใหญ่
ตอนเห็นในรูปฉันก็ไม่ได้รู้สึกชอบอะไร ก็แค่เพื่อนน้องชาย แต่พอได้เจอได้คุยด้วยมันก็ทำให้สบายใจ แหย่อะไรไปดูเจ้าตัวจะมีปฏิกิริยาตอบสนองแปลกๆออกมา
“คุณลุงคะ เดี๋ยวลงข้างหน้านะคะ มีร้านอาหารอยู่”
ร้านอาหารริมทางที่หาได้เร็วที่สุด เพื่อที่จะให้ฉันได้กินข้าวเร็วที่สุด
ฉันเดินตามอย่างเดียวเลยค่ะ ซีนายจัดแจงต่างๆให้ ดูเหมือนว่าจะเป็นร้านอาหารบุ๊ฟเฟ่ 69 บาทต่อหัว ร่างฉันปลิวไปกับแรงดึงของซีนาย ที่จับฉันนั่งที่โต๊ะในสุด ที่เพิ่งจะมีคนลุกออกไป พนักงานยังไม่ทันได้ทำความสะอาดเลย แต่เชื่อมั้ยค่ะ เป็นโต๊ะที่วิวดีที่สุดของร้าน
ร้านข้าวแกงบุ๊ฟเฟ่แม่น้อย
ฉันนั่งดูบรรยากาศของร้าน ลมจากพัดลมและจากนอกร้านที่เป็นทุ่งนาที่กำลังแตกรวง ทำให้ฉันเย็นสบายและเพลินมาก จดจำรายละเอียดความสวยงามเพื่อจะเอาไปวาดลงบนผ้าใบเซตใหม่ที่เพิ่งสั่งซื้อไป
ข้าวเปล่า พร้อมกับข้าวเกือบ 5 อย่างวางอยู่ตรงหน้า แกงเขียวหวาน ลาบ ผัดผักรวม ซุปสาหร่าย และผัดหน่อไม้ เต็มโต๊ะ สุดท้ายเป็นผักสดที่ถูกใส่จานมาวาง
ราวกับประชด!
“พี่เมย์กินได้มั้ยคะ”
“ได้สิ พี่กินได้หมด”
“ดีค่ะ ซีคิดว่าพี่จะกินเผ็ดไม่ได้เสียอีก”
“ทำไมล่ะ”
“ก็พี่เป็นคุณหนูผู้ร่ำรวย กินต้องของดีๆแพงๆ รสชาติดีๆ ไม่กินเผ็ดอะไรแบบนั้น”
ฟังเหตุผลของซีนายสิคะไม่เข้าท่าเลย
“ไปเอาชุดความคิดนี้มาจากไหนคะ คุณหนูที่ได้มาคือทุกคนแต่งตั้งให้ทั้งนั้น พี่ก็เป็นของพี่แบบนี้ แล้วทีไอ้บีมทำไมซีนายถึงไม่เรียกว่าคุณหนูล่ะ ทั้งที่ไอ้บีมเป็นคุณหนูรอง ไอ้บิวคุณหนูกลาง ไอ้แฝดก็เป็นคุณหนูเล็ก”
พวกคนรับใช้เคยเรียกว่าคุณหนูเล็กกับคุณหนูน้อย แต่พวกมันไม่ยอม จะเป็นคุณหนูเล็กเหมือนกัน ก็เลยเป็นคุณหนูเล็กทั้ง 2 คน ตลกดีนะน้องเรา
“ก็…”
“นี่…ซีนายคะ พี่เลือกเกิดไม่ได้ ว่าจะตกฟากมาอยู่ในท้องแม่คนไหน ถ้าพี่เลือกได้ก็คงไม่มาเกิดหรอก”
“ทำไมล่ะคะ”
“เกิดเป็นพี่คนโตลำบากนะ”
“ซีก็ไม่เห็นพี่ลำบากอะไรนี่คะ เท่าที่เคยเห็น “พี่” มานะคะ พี่เมย์เป็นพี่ที่สุดยอดมากเลย ที่น้องๆกลัวกันสุดๆ”
ฉันต้องภูมิใจใช่มั้ย
“เนี่ย…ว่าจะถามเคล็ดลับด้วย จะเอาไปเขียนบล๊อก”
“บล๊อก?”
“ใช่ค่ะ การเขียนคืองานอดิเรกของซีค่ะ วันไหนเคลียดๆ ซีมักจะเขียนอะไรเรื่อยเบื่อในบล๊อค แล้วใช้เฟสบุคช่วยแชร์” เวลาพูดถึงงานอดิเรก ฉันเห็นซีนายมีแววตาวิววับ ภูมิใจ และรักงานเขียนของตัวเอง
“ไว้พี่เข้าไปอ่านนะคะ”
“แล้วพี่เมย์จะบอกได้มั้ยคะว่าพี่เมย์คุมน้องๆยังไง น้องๆถึงได้กลัวกันขนาดนั้น”
“กลัว?” ฉันว่าไม่น่าจะใช่คำนี้นะ พวกมันเล่นหัวพี่สาวคนนี้จะตาย ถ้าไม่เกิดก่อนมัน ตีนทุกตีนแทบจะมารุมที่ฉันคนเดียว
“ค่ะ”
“เป็นเพราะพ่อกับแม่พี่ทำงานหนักมังคะ ไม่มีเวลาอยู่บ้านเลย ชีวิตของท่านทั้งสองอยู่บนรถบนเครื่องบินเป็นส่วนใหญ่ พี่คือคนที่พ่อแม่ไว้ใจให้ดูแลน้องๆ คนแรกก็ไอ้บีม ห่างกันสองปี ตอนนั้นพี่สองขวบก็จับนมยัดปากมันแล้ว หลังจากนั้นปีต่อมาก็ไอ้บิว สองปีต่อมาก็เจ้าแฝด บีมกับบิวก็เป็นคนเอานมใส่ปากน้องเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ บีมกับบิวมันเห็นพี่ทำมันก็เลยทำตาม แต่ทุกๆการตัดสินใจของพวกมันพี่ก็คอยถาม คอยช่วยมันคิด คิดดูสิคะน้องสี่คนก็ 4 ความคิด 4 ปัญหา ที่พี่คนเดียวต้องคอยดูแลให้อยู่ในร่องในรอย”
“พวกผู้ชายมีเรื่องชกต่อยกันมั้ยคะ”
“มีสิ ไอ้บิวนั้นตัวนำเลย แต่คนชักใยคือไอ้บีมนะ”
“ทำไมพี่รู้ล่ะคะ”
“ไอ้บีมขี้อายจะตาย แต่ฉลาดใช้คน มันก็เริ่มชักใยจากคนใกล้ตัวมันนั่นแหละ แถมไอ้บิวมันหัวร้อนง่าย ใช้กำลังก่อนสมอง”
“ซีไม่เห็นว่าพี่จะคุมพวกน้องๆได้เลย นอกจากพี่เกิดก่อนเท่านั้นเอง”
ใช่แล้วตั้งแต่พูดมา ฉันก็พูดวกไปวนมา ขำใช่มั้ยคะ ฉันแค่อยากจะมีเรื่องคุยกับซีนายเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นหัวข้อเดียวที่ฉันนึกออก และฉันมีเรื่องจะถามปิดท้ายด้วยคือ…วันนี้งอนพี่ทำไม?
“ก็ ความเป็นพี่อย่างน้อยๆน้องมันก็เกรงใจอยู่แล้ว บุญคุณที่เปลี่ยนผ้าอ้อม เช็ดขะ…ก้นมันมา ก็น่าจะสำนึกกันบ้าง แต่ทุกครั้งที่มีปัญหาพี่ช่วยแก้ไขให้ น้องอยากได้อะไรพี่ก็ให้ แต่ก็มีเงื่อนไข ถ้าไม่ทำตามเงื่อนไขก็ถูกริบ พี่เคยทุบของรักของน้องๆทุกคนต่อหน้าต่อตามาแล้ว พวกมันก็เลยเข็ด”
ซึ่งความจริง ฉันรู้ว่าพวกมันไม่ได้มีของรักของห่วงอะไรเท่าไหร่หรอก และอีกอย่างฉันอยู่ในโลกส่วนตัวของน้องทุกคน แต่จะไม่เข้าไปยุ่ง จะรอให้พวกมันเข้ามาหาฉันเอง
ในฐานะพี่ทำดีที่สุดคือเป็นที่ปรึกษา และช่วยแก้ไขปัญหาให้กับน้องๆเท่านั้น
นับว่าโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวที่มีเงินมากกว่าคนอื่น จึงสามารถดูแลน้องๆได้ครบทั้ง 5 คนได้อย่างดี
“ช่วยแก้ปัญหาเหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ”
“อย่างเช่นช่วยซีเรื่องห้องกับร้าน ใช่มั้ยคะ”
ฉันยิ้ม จะบอกว่าไม่ใช่ทีเดียวไม่อยากพูดให้เสียความรู้สึก แค่ทำให้วกมาเรื่องของซีนายได้ ฉันถือว่าประสบผลสำเร็จ
“ซีต้องขอบคุณพี่เมย์มากนะคะที่ช่วย”
“พี่อยากช่วย แล้วอีกอย่างพี่ก็อยากอยู่ข้างนอกคนเดียวบ้าง อยากมีช่วงเวลาเป็นนักศึกษาอยู่หอพักอะไรแบบนี้บ้าง”
“แต่ก็มีคนของพี่มาทำร้านอยู่ใกล้ๆไม่ใช่เหรอคะ”
ฉันยิ้มให้กับข้อสังเกตของซีนาย
“คุณบดินทร์เค้ารู้หน้าที่ของเขาค่ะ”
ฉันรอให้ข้าวหมดก่อน อิ่มแล้วอารมณ์จะได้ดีขึ้นและหัวเรื่องการสนทนายังเป็นเรื่องของซีนาย ไม่ไปเรื่องอื่น เป็นการดีที่ฉันจะเปิดประเด็นถาม เรื่องที่สนามบินได้
“เป็นไงบ้างคะ ข้าวมื้อนี้อร่อยมั้ย”
“ซีน่าจะเป็นคนถามพี่มากกว่านะคะว่าอร่อยมั้ย หายหิวหรือยัง”
“อ้าวเหรอคะ พี่ว่าซีนายน่าจะหิวมากกว่าพี่นะคะ ลุกตักตั้งหลายรอบ”
ซีนายร้อง อุ๊ย!! แล้วส่งยิ้มแห้งๆ เพราะเทียบกับจานของฉันแล้วมันพล่องไปแค่ครึ่งเดียว
เจ้าตัวแก้เขินด้วยการลุกไปตักน้ำให้ฉันที่ตู้กด แม้จะหลบหน้าแก้เขินเท่าไหร่ อย่างไรซะก็ต้องกลับมานั่งที่เดิม
“อารมณ์ดีขึ้นแล้วล่ะเนาะ”
“อารมณ์ดี? ยังไงคะ?”
“ก็ตั้งแต่พี่มาถึง ซีนายก็เอาแต่งอนพี่ ถามคำตอบคำ นี่พี่ต้องดึงเอาเรื่องครอบครัวพี่มาพูดนะคะ ซีนายถึงจะได้คุยกับพี่”
“ซีไม่ได้งอนค่ะ แค่….”
“แค่…?”
“เอ่อ….เออ….” เชื่อมั้ยคะว่าซีนาย เออ… มานานเกือบนาที ยังไม่ตอบคำถามฉันเลย
“โอเค ถามใหม่ มีอะไรจะถามพี่มั้ยคะ?”
“พี่เมย์ไปไหนมาคะ คือซีไม่เห็นพี่ไปดูร้านกับบีมมันเลย …. ไม่ใช่ๆ คือ…แบบว่า…โอ้ย ไม่น่าถามเลย พี่เมย์จะไปไหนก็เป็นเรื่องของพี่เมย์แท้ๆ ซีไม่น่ายุ่งเรื่อง….”
“พี่ไปดูงานที่ดูไบมาค่ะ” ฉันเห็นซีนายกำลังสับสน พูดลิ้นพันกัน ก็พอจะเข้าใจว่าเจ้าตัวอยากรู้เรื่องของฉันนั่นเอง
รู้สึกดีแปลกๆ ที่มีคนถามว่าฉันไปไหนมา เพราะปกติที่บ้านก็รู้กันอยู่แล้วโดยมีคุณบดินทร์เป็นคนแจ้งความเคลื่อนไหวของบ้านเป็นอีเมลในทุกๆเข้า
“ขอโทษค่ะ ที่ยุ่งเรื่องส่วนตัวพี่เมย์ คือซีแค่… เอ่อ…”
“ทำไมถึงอยากรู้เรื่องของพี่คะ?”
“ก็…ตั้งแต่ซีเป็นเพื่อนกับบีมใช่มั้ยคะ แล้วก็ไปกินข้าวที่บ้านพี่เมย์ก็หลายครั้ง ซีไม่เคยเห็นพี่เมย์อยู่บ้านเลย แล้วพอเห็นแล้วก็อยากทำความรู้จักค่ะ ซีเรียนหนักทุกวัน วันเสาร์อาทิตย์เลยเป็นวันที่ว่างค่ะ แล้วพี่เมย์ก็ไม่มา…”
“รอพี่เหรอคะ…”
ซีนายเอาแต่ก้มหน้า
“ค….ค่ะ เพราะดูในเฟส ไอจี พี่เมย์ก็ไม่ค่อยอัปเดต จะถามบีมมันตรงๆ ก็ไม่อยาก….เอ่อ….”
“พี่ไม่ค่อยอัปเดตสเตตัส หรือโพสอะไรหรอกค่ะ พี่มีไว้ดูว่าเพื่อนพี่ทำอะไรบ้างตอนที่พี่อยู่โรงพยาบาลเท่านั้นเอง”
“เหรอคะ เหมือนไอ้บีมเลย”
คนที่อัพบ่อยๆใน 5 พี่น้องจะมีแค่ฝาแฝด ส่วนไอ้บิวจะอัพแต่รูปวิว หรือสถานที่ๆมันไปเที่ยว ส่วนไอ้บีมกับฉันจะไม่ค่อยอัปเดต เพราะคิดเหมือนกันว่าถ้าอัปเดตเรื่องต่างๆ บางครั้งอาจจะพลาดโพสเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องดีโดยไม่รู้ตัว จะมีผลต่ออนาคตได้ จึงตัดใจไม่อัปเดตอะไรลงไปมากนัก
“ซีนายอัปเดตบ่อยเหรอคะ”
“ค่ะ ทุกวันเลยค่ะ เป็นเรื่องชีวิตประจำวัน กินอะไร ไปเจออะไร ระบายความรู้สึก ถ่ายรูปบ้าง”
ก็เหมือนคนทั่วไป ที่ใช้โซเชียลแสดงตัวตนของตัวเอง
“มีอะไรก็ถามพี่ได้นะคะ พี่ไปไหนมาไหนก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรขนาดนั้น ถามไอ้บีมไปตรงๆเลย”
“มันไม่เป็นการรบกวน ยุ่งเรื่องพี่เมย์จนเกินไปเหรอคะ บางทีซีอยากรู้เรื่องของพี่ตอน … เอ่อ…ดึกๆ คนเค้าอาจจนอนหลับกันแล้ว”
ซีนายก้มหน้าเล่นมือตัวเองไม่กล้าสบตา เลยไม่เห็นว่าฉันยิ้มเอ็นดูเจ้าหล่อนขนาดไหน กับความขี้เกรงใจปนกันความอยากรู้
มิน่าล่ะคุณแม่ถึงเอ็นดูนัก
ซีนายไม่ได้เป็นคนสวยโดดเด่นแต่ไกล เหมือนดีดี้ หรือทีน่าที่เป็นหลีดคณะ แต่สวยขึ้นเมื่อเริ่มทำความรู้จัก ได้พูดคุยด้วย
ฉันเปิดไลน์และส่งคิวอาร์โค้ดให้ซีนาย
“อะไรคะ?”
“แอดเป็นเพื่อนพี่นะคะ แล้วทักมาถามพี่ได้ พี่จะตอบเอง”
“จะดีเหรอคะ…?” แต่คำว่าจะดีเหรอคะ ก็รีบเอาโทรศัพท์มีสแกนแล้วแอดเป็นเพื่อนทักที
ตึ้ง​!
ซีนาย มีบ้านติดภูเขาค่ะ : ส่งสติ๊กเกอร์ (เมษาหน้าร้อน เมยาวีน่า… :อ่านแล้ว)
“อุ้ย ชื่อเฟสกับไลน์เหมือนกันเหรอคะ”
“ค่ะ พี่มีสองไลน์นะ อันหนึ่งที่ซีนายเห็นใช้คุยกับเพื่อน ทำรายงาน คุยกับพ่อแม่ น้องค่ะ อีกอันจะใช้ทำงานค่ะ คนที่ทำงานต้องการคุยงานหรืออนาคตก็จะเป็นลูกค้าที่ต้องการคุยนอกเวลางาน”
“ของซีมีอันเดียวค่ะ มีหลายอันจะงง”
“เอาอีกอันพี่ด้วยมั้ยคะ เวลาพี่ไม่ตอบจะได้ทักมาอีกอัน”
“เกรงใจค่ะ อันเดียวก็พอ”
เครื่องหนึ่งสามารถโคลนนิ่งไลน์ได้ 1 ครั้ง
ตึ้ง!
Ms Maya-wee ส่งคำขอเป็นเพื่อน
ซีนาย มีบ้านติดภูเขาค่ะ : ยอมรับคำขอ
ซีนาย มีบ้านติดภูเขาค่ะ : ส่งสติ๊กเกอร์
“สบายใจแล้วนะคะ” ฉันถามกลับไปเพื่อยืนยันว่า เจ้าหล่อนจะไม่ทำแง้งอนใส่ฉันอีก แต่จะว่าไปก็สนุกดีเหมือนกันนะ
เพราะตอนนี้ฉันมีแค่แม่เท่านั้นที่งอนใส่ฉันได้ตามวาระและโอกาส ถ้าเพิ่มอีกสักคนคงสนุกดี
“ค่ะพี่เมย์”
“เรากลับกันเถอะค่ะ จ่ายเงินตอนเข้ามาแล้วใช่มั้ยคะ”
“ค่ะพี่เมย์”
“งั้นครั้งหน้าให้พี่เลี้ยงตอบแทนนะคะ”
ฉันกลับซีนายก็กลับมาคุยกันปกติเหมือนเดิม ฉันนั่งรถไปส่งซีนายที่ห้องพักที่อีกไม่นานจะมีร้านกาแฟและฉันจะเป็นเพื่อนข้างห้องของเธอ
“ซีนาย”
“คะ”
“ขอบคุณที่ไปรับนะคะ แล้วก็ฝันดีค่ะ”
ฉันรู้ว่าตอนนี้ยังหัวค่ำอยู่แต่ก็ไม่ได้เสียหายอะไรที่จะบอกไปแบบนั้น
“ไปมหาวิทยาลัยXXXค่ะ”
ฉันบอกคนขับรถแท็กซี่ เพราะต้องไปเรียนภาคค่ำต่อ
“จบเมย์ทอล์ก”

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา