8 ธ.ค. 2021 เวลา 11:49 • หนังสือ
.....เคยได้ยินคนเฒ่าคนเเก่ยุคก่อนพูดซ้ำ ๆ เหมือน ๆ กันมั้ยครับ ว่าทำไมโลกสมัยนี้มันไม่น่าอยู่อย่างนู่นอย่างนี้ ข่าวก็มีเเต่อาชญากรรม มีเเต่คนโกง คนจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตขึ้นทุกวัน มีเเต่โรคระบาดอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด มีทั้งมะเร็ง ทั้งโรคชื่อแปลก ๆ ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด สมัยก่อนไม่มีอะไรแบบนี้หรอก
ครั้งหนึ่งผมก็เคยคิดเหมือนกันนะ ว่าทุกวันนี้โลกมันเป็นอะไรกันไปหมด มันจะเเย่ลงไปได้อีกเเค่ไหนวะเนี่ย !!
...เเต่ลองมาคิดดูอีกทีนึงแบบมีสติ ...ว่าถ้าคนเเก่บ่นกันแบบนี้ทุกรุ่น
...ทวดเราก็บ่นให้ยายฟัง ยายเราก็บ่นให้เเม่ฟัง เเม่เราก็บ่นให้เราฟัง... ว่ามันเเย่ลง ดิ่งลง เลวร้ายลงทุกวัน
ถ้าช่วงเวลานับร้อยปี นับตั้งเเต่วันที่ทวดบ่นให้ยายฟังตอนนู้นนนน ...มาจนถึงวันที่เเม่เราบ่นให้เราฟังในตอนนี้
...ถ้ามันเเย่ลงจริง ๆ จากรุ่นสู่รุ่น ตลอดช่วง 100 ปีที่ผ่านมานี้ ป่านนี้โลกไม่อยู่ในกองอาจมไปแล้วหรอ ?​
___________________________________
...ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน โลกก็ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นแบบนั้น
เอาง่าย ๆ ...มองย้อนไปไกล ๆ หน่อย เเบบไม่ได้เอาความรู้สึกห้วงสั้นของเรามาเกี่ยว ย้อนไปซัก 200 ปี ...เราคิดว่าโลกสมัย 200 ปีที่เเล้วดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือเปล่า ?
ขอเฉลยเลยครับว่าไม่ ถ้าไม่นับเรื่องโลกร้อนเเละสิ่งเเวดล้อม ที่สมัยก่อนอาจจะดีกว่าสมัยนี้จริง
...แต่ในแง่อื่นพบว่า อัตราการก่ออาชญากรรมลดลง อายุขัยประชากรเพิ่มขึ้น (ปี 1800 คนมีอายุไขเฉลี่ยเเค่ 30 ปีเศษเท่านั้น) ผู้หญิงมีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น น้ำมันก็ไม่มีสารตะกั่วแล้ว อาวุธนิวเคลียร์น้อยลง เครื่องบินตกน้อยลง อัตราการทำแท้งน้อยลง อัตราการอดชีวิตของทารกมากขึ้น คนยากจนน้อยลง ผลผลิตทางการเกษตรมากขึ้น โรคมะเร็งในเด็กมีอัตราการรอดชีวิตมากขึ้น ไฟฟ้าเเละน้ำเข้าถึงคนมากขึ้น โรคระบาดควบคุมได้เกือบทั้งหมด การโดนกดขี่น้อยลง ระบบทาสก็ไม่มีแล้ว ความอดอยากก็น้อยลง คุณภาพชีวิตแทบทุกด้านล้วนดีขึ้นทั้งหมด
และเป็นการดีขึ้นแบบพุ่งทะยาน ...เเต่เหมือนต่อมการรับรู้เรื่องดีดีของมนุษย์จะชาชินไปด้วยกลไกอะไรสักอย่างที่พัฒนามากับวิวัฒนาการของมนุษย์เราเอง
เรื่องนี้เหมือนเส้นผมบังภูเขา ราวกับมนุษย์เรามีต่อมดราม่าแบบ Built-in อยู่ในตัวแบบที่เรามองไม่เห็น
เราอ่อนไหวกับเรื่องเลวร้าย เเละชินชากับสิ่งดีดีที่เกิดขึ้น
มันมีเหตุผลอยู่ ที่ทำไมข่าวที่พยายามนำเสนอเรื่องดี ๆ ถึงขายไม่ค่อยได้ ...เราไม่ได้ตื่นเต้นกับข่าวเครื่องบินที่ไม่ได้ตก พืชผลการเกษตรที่ไม่ได้ล้มเหลว สิ่งต่าง ๆ ที่ค่อย ๆ ดีขึ้น มักไม่ถูกนำไปเป็นข่าวเพราะมันไม่ได้เล่นกับความรู้สึกของคน มันขายไม่ได้ถ้าเทียบกับข่าวภัยพิบัติ การก่อการร้าย ความล้มเหลวของสิ่งนู้นสิ่งนี้ นั้นขายได้อย่างไม่ต้องสงสัย
เทียบแบบง่าย ๆ ...ถ้ามีข่าวเครื่องบินที่ถึงที่หมายถึงปลอดภัยติดต่อกัน 1,000,000 ไฟลท์ ...เราคงรู้สึกว่า เออ ก็ดีนะ แต่สักพักก็อาจจะลืมไป
...ในทางกลับกัน ถ้าเที่ยวที่ 1,000,001 มันเกิดตกขึ้นมา เราจะรู้สึกกับมันในสเกลที่เข้มข้นกว่ามาก ชนิดที่ลืม 1,000,000 ไฟลท์ก่อนหน้านี้ไปได้เลย
เพราะโดยธรรมชาติเเล้วเราตอบสนองต่อข่าวดีน้อยกว่า กลายเป็นข่าวที่ไม่มีใครสนใจ ซึ่งจะโทษมนุษย์ในส่วนนี้ก็ไม่ได้เช่นกัน
ผมว่าเรื่องนี้น่าเสียดายนะ โลกที่ดีขึ้นขนาดนี้ควรจะนำมาซึ่งความหวัง เเละกลับถูก inherent bias เหล่านี้ทำให้เราเลือกใช้ชีวิตราวกับมนุษยชาติกำลังเดินกรูเข้าไปในถ้ำมืดที่ไม่มีทางออกเสียแบบนั้น
...ในขณะที่ผู้คนบ่นกันมาทุกรุ่นว่าโลกมันเเย่ลง เเต่ดูสถิติย้อนหลังไปสัก 100-200 ปีนี้ กลับพบว่าโลกตอนนี้เป็นเหมือนกับสวรรค์เมื่อเทียบกับผู้คนในยุคกลางเลยด้วยซ้ำ
…เเละทั้งหมดที่พิมพ์มา ก็นำไปสู่คำถามสำคัญคือ ”What’s Wrong with Our Perceptions ?”
เคยมีการวิจัยนะครับ ว่า Perception หรือการรับรู้ของเรามันสะท้อนความจริงขนาดไหน ?
มีงานวิจัยที่อเมริกา ที่ทำโดยการไล่ถามคนอื่น ว่าตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาในอเมริกา มีการเกิดอาชญากรรมมากขึ้นหรือน้อยลง ? โดยเริ่มถามคนเหล่านี้ตั้งเเต่ปี 1990
ถามคนในปี 1990 ว่าปีนี้เกิดอาชญากรรมมากกว่าปี 1989 มั้ย
ถามคนในปี 1991 ว่าปีนี้เกิดอาชญากรรมมากกว่าปี 1990 มั้ย
.
.
.
ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนถึงปี 2015 ซึ่งพบว่า เกือบทุกคนตอบว่าปีนี้มากกว่าปีที่แล้ว
ตอนนี้เรารู้ถึงแนวโน้ม Perception แล้ว... ทีนี้เรามาเดากันว่า Reported Crime in US มีแนวโน้มยังไง ?​
คำตอบคือลดลงทุกปีครับ
สิ่งนี้พิสูจน์ว่าเราเชื่อ Perception ตัวเองไม่ได้เลย ยิ่งถูก Selective bias ของสื่อต่าง ๆ ที่คอยคัดกรองเเต่เรื่องแย่ ๆ ให้เราแบบเน้น ๆ ยิ่งแล้วใหญ่
ความรู้สึกดราม่าที่เรารู้สึกนั้นเเทบจะไม่สะท้อนความจริง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำไมเราถึงควรเชื่อข้อมูลทางสถิติมากกว่าความรู้สึกขึ้น ๆ ลง ๆ ของเราเอง
___________________________________
ทั้งหมดนี้อ้างอิงมาจากหนังสือ “Factfulness ; Ten Reasons We’re Wrong About the World - and Why Things Are Better Than You Think”
อ่านเล่มนี้จบเเล้ว เข้าใจเหตุผลว่าทำไม Bill Gates ถึงซื้อหนังสือเล่มนี้เเจกเด็กจบใหม่ในอเมริกา
เข้าใจว่าทำไม Barack Obama ถึงพูดถึงหนังสือเล่มนี้ว่าเป็น “A Hopeful book about potential for human progress when we work off facts rather than our inherent biases”
___________________________________
นี่ไม่ใช่หนังสือประเภท “มองโลกในแง่ดี” (คนเขียนยืนยันว่าตัวเองเป็น Realists ไม่ใช่ Optimists) เเต่เป็นหนังสือที่พยายามมองโลกตามความเป็นจริง
...เป็นหนังสือที่พยายามทำความเข้าใจว่าทำไมคนเราถึงไม่ยอมมองโลกตามที่มันเป็นจริง ๆ
...เป็นหนังสือที่ให้ความหวังกับเรา ...ไม่ใช่ความหวังที่ปั้นเเต่งขึ้นมาอย่างลม ๆ แล้ง ๆ เเต่เป็นความหวังที่อิงอยู่กับโลกเเห่งความจริง
...ก็ในเมื่อโลกมันดีกว่าที่เราคิด เเล้วเราจะไปสิ้นหวังกับมันเกินกว่าที่มันเป็นไปทำไมล่ะครับ จริงมั้ย​ ?
แต่ทั้งหมดทั้งปวงก็ยังยืนยันว่ามันดีขึ้นกว่านี้ได้อีก ถ้าเราช่วยกันทำให้สิ่งแย่ ๆ หมดไป
...เพราะอย่าลืมว่าที่ผ่านมาโลกมันก็ไม่ได้ดีขึ้นของมันเอง แต่มันเป็นผลจากความพยายามอย่างหนักที่จะต่อสู้ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของประชากรโลกก่อนหน้านี้
...เราก็ควรต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงให้โลกเราดีขึ้นเพื่อคนใน Generation ถัดไปเช่นกัน
#payitforward
//ลอย
โฆษณา