29 ธ.ค. 2021 เวลา 11:00 • หนังสือ
#สรุปหนังสือ 𝐆𝐑𝐈𝐓 : สิ่งที่ต้องมี เมื่อคุณไม่มีแต้มต่อในชีวิต !
1. ถ้ามีโพลถามว่าหนังสือเล่มไหนที่ดีที่สุด หรือชอบมากที่สุด ผมสังเกตว่าจะมีสัก1-2 คนที่ตอบว่า Grit อยู่เสมอๆ และนั่นแหละครับคือ จุดเริ่มต้นของการโดนป้ายยาของผม แน่นอนหนังสือเล่มนี้ด้วยตัวมันเองก็น่าสนใจอยู่แล้วแต่เมื่อหลายแหล่งยืนยันความเทพซะขนาดนั้น จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะพลาด
2
2. หลังอ่านจบ ผมก็ได้คำตอบเดียวกับหลายๆคนที่อ่านแล้ว นั่นก็คือ “Perfect” หนังสือเล่มนี้จะอธิบาย Quote สุดโบราณที่ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” ซึ่งเราได้ยินกันมาอย่างช้านานจนรู้สึกเฉยชากับคำคมนี้ซะแล้ว แต่คุณจะไม่ได้รู้สึกเช่นนี้กับหนังสือเล่มนี้ เพราะข้อมูลที่เค้าหยิบยกมาอ้าง มาเล่านั้นช่างปลุกเร้าแรงบันดาลใจ คุณไม่ได้จะแค่รู้ว่าความพยายามนั้นสำคัญ แต่คุณจะรู้ว่าความพยายามนั้นถูกสร้างมาด้วยอะไร และมันผลักดันคุณได้อย่างไร
3. ถ้าจะสรุปหนังสือเล่มนี้เหลือแค่ประโยคเดียวล่ะก็ Grit หมายถึง “ความถึก ทรหด” แต่ถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพมากขึ้นก็คือ “การที่คุณล้ม 7 ครั้ง และคุณลุกขึ้นมาครั้งที่ 8” นั่นเอง
1
4. หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นมาเพื่อหาคำตอบว่า ระหว่าง “พรสวรรค์” และ “ความพยายาม” สิ่งใดทำให้เราประสบความสำเร็จมากกว่ากัน ทำไมทุกคนถึงยกย่องคนมีพรสวรรค์มากกว่าความพยายาม ในสรุปนี้ผมอาจใช้คำว่าความพยายามกับความทรหดสลับกันแต่ขอให้เค้าใจว่าผมพยายามสื่อสิ่งเดียวกันก็คือ การลุกครั้งที่ 8 นั่นเอง (ไม่ยอมแพ้ !)
5. จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้คือ มีประเด็นขัดแย้งที่น่าประหลาดของโรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ร่ำลือกันว่าหฤโหดที่สุดในการฝึก ก่อนเริ่มฝึกเค้ามีการประเมินคะแนนแต่ละคนเอาไว้ และคาดการณ์ว่าคนไหนเป็นตัวเต็ง คนไหนน่าจะฝึกผ่าน แต่ความจริงคะแนนรวมเบื้องต้นกลับไม่เป็นตัวชี้วัดที่ดีพอที่สามารถทำนายได้ว่าใครจะผ่านหรือไม่ผ่าน จึงเกิดคำถามว่า อะไรกันเล่าที่ทำให้เหล่านักเรียนที่ไม่ติดโผผ่านการฝึกที่แสนจะโหดนี้ไปได้ แต่นักเรียนที่เป็นตัวเต็งกลับต้องลาออกกลางคันไปเป็นจำนวนมาก
6. โดยทั่วไปลักษณะของผู้ที่ประสบความสำเร็จจะประกอบไปด้วย การทำงานหนัก การฟื้นตัวจากความล้มเหลวได้ดี และเข้าใจลึกซึ้งว่าตัวเองต้องการอะไร
1
7. พรสวรรค์ อธิบายง่ายๆก็คือ การที่คุณทำอะไรได้เก่งกว่าคนอื่นโดยใช้ความพยายามน้อยกว่านั่นเอง แต่ไม่มีการยืนยันใดๆว่าคนที่มีพรสวรรค์สูงจะมีความทรหดมากกว่า
8. หนึ่งงานวิจัยที่น่าสนใจมาก เค้าพบว่าผู้ที่ชนะการแข่งขันสะกดคำแห่งชาติอย่างสคริปป์ส เนชั่นแนล สเปลลิง บี มีปัจจัยผลักดันอย่างหนึ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือ ความทรหด เค้าพบว่าเด็กที่ฝึกซ้อมจำนวนชั่วโมงมากกว่า มีโอกาสเข้ารอบลึกๆมากกว่า โดยเด็กที่มีพรสวรรค์ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้แสดงให้เห็นความจะรักการฝึกมากกว่า นั่นทำให้ได้ข้อสรุปว่า “ศักยภาพคนเราก็เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนการนำศักยภาพไปใช้งานก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” 📍📍
1
9. ถ้าให้พูดถึงเรื่องพรสวรรค์ เราทุกคนมีด้านที่ถนัดและไม่ถนัด ดังนั้น การใช้คำว่ามีพรสวรรค์หรือไม่มีพรสวรรค์นั้นอาจไม่เหมาะเท่าที่ควร แต่ควรใช้คำว่ามีพรสวรรค์ด้านใดน่าจะเหมาะสมกว่า 📌📌
10. ฟรานซิส กาลตัน ญาติของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ได้เผยแพร่งานวิจัยชิ้นแรกที่ศึกษาคนที่ประสบความสำเร็จ เค้าได้สรุปว่าคนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีองค์ประกอบสามอย่าง ก็คือ พรสวรรค์ ความกระหาย และการทำงานหนัก แต่ดาร์วินกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาแย้งว่าสติปัญญาของคนเราไม่ได้ต่างกันมากนัก (ถ้าไม่นับคนที่ผิดปกติ) เขาคิดว่าคนที่กระหายและทำงานหนักเท่านั้นที่จะสร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
1
11. ดาร์วิน กล่าวว่า เขาเองเป็นคนที่ไม่เก่งมากๆเรื่องการคิดอะไรที่เป็นนามธรรมที่ต้องใช้หลักเหตุผล แต่เขาก็พบว่าเขาเองก็เหนือกว่าผู้อื่นในเรื่องการสังเกตในสิ่งที่คนอื่นมองข้าม แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการรักในวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอย่างมั่นคงและเร่าร้อน
12. คนมากมายบนโลกนี้มีศักยภาพอยู่ล้นเหลือ แต่มีเพียงคนที่โดดเด่นเป็นพิเศษเท่านั้นที่นำสิ่งที่มีอยู่ไปใช้อย่างเต็มกำลัง – วิลเลียม เจมส์
1
13. การวัดพรสวรรค์มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อบกพร่องที่อันตรายก็คือ พรสวรรค์เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอด การวัดเพียงไม่กี่ครั้ง อาจทำให้เกิดการตัดสินผู้อื่น ส่งผลกระทบทางจิตวิทยามากกว่า นี่ยังไม่รวมถึงการที่เราเชื่อผลการวัดโดยไม่รู้ว่าวิธีการวัดนั้นแม่นยำเพียงใด 📍📍
14. แดน แชมบลิส กล่าวว่า “ผลงานที่โดดเด่นไม่ได้เกิดจากอะไรเลย นอกจากทักษะหรือกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆเป็น สิบๆอย่าง โดยแต่ละอย่างเป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้หรือพบเจอโดยบังเอิญ แล้วเกิดการทำซ้ำๆจนกลายเป็นกิจวัตร บวกกับปัจจัยเอื้ออำนวยอีกมากมายที่ทำให้เขาคนนั้นแสดงความเป็นเลิศออกมา เช่น นักกีฬาว่ายน้ำส่วนใหญ่มักมีพ่อแม่ที่สนใจในกีฬาว่ายน้ำ มีรายได้เพียงพอสำหรับค่าฝึกสอน รวมไปถึงอุปกรณ์สถานที่ และสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวย
15. หนึ่งในเหตุผลที่คนส่วนใหญ่ชอบคนที่มีพรสวรรค์มากกว่าโดยไม่คิดว่าเค้าเหล่านั้นก็คือคนธรรมดาที่มีปัจจัยหลายอย่างเอื้ออำนวย ก็เพราะว่า เมื่อเราบอกว่าใครสักคนเป็นอัจริยะ นั่นเป็นการสื่อความหมายว่า “ฉันไม่มีความจำเป็นต้องแข่งขันกับเขา” (เป็นการผลักภาระให้ห่างจากตัวเองในทางอ้อม) 📌📌📌
16. ข้อเสียของคนที่มีพรสวรรค์นั่นก็คือ เขาสามารถสัมผัสคุณค่าของความพยายามได้น้อยกว่าคนทั่วไป
2
17. คุณเคยอาจพบเจอคนที่ทุ่มเททำบางสิ่งอย่างหนักและล้มเลิกอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่าคุณก็อาจพบเจอ คนที่ทำบางสิ่งบางอย่างได้ต่อเนื่องราวกับว่าตกหลุมรักสิ่งนั้นอย่างไม่เบื่อหน่าย คำถามคือคุณเคยสังเกตไหมว่าคนสองกลุ่มนี้มีอะไรที่ต่างกัน ??
18. คำตอบของคำถามข้างต้น ก็คือ “ความหลงใหล” นั่นเอง ความหลงใหลไม่ได้เป็นแค่เพียงแหล่งพลังงาน แต่ยังคงเป็นเข็มทิศของชีวิต เพราะคุณจะเปลี่ยนวิถีชีวิตทุกอย่างเพื่อให้คุณได้ทำในสิ่งที่คุณชอบและอยากทำมันจริงๆ
2
19. เราทุกคนมีเป้าหมายหลายระดับ เป้าหมายระดับบนจะมีความสำคัญมากสุดเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด แต่มันจะนึกภาพยากที่สุด ส่วนเป้าหมายที่ต่ำลงมาจะมีความสำคัญลดลงแต่มองเห็นได้ง่าย
20. คุณอาจจะไม่รู้ตัวว่าคุณมาทำงานตรงเวลาเพื่ออะไร คุณอาจไม่เข้าใจว่าทำไมคุณต้องพยายามเก็บเงิน แต่ถ้าเมื่อพิจารณาดูคุณจะพบว่ามันมีเป้าหมายที่แฝงอยู่ เป็นเป้าหมายระดับสูงที่อาจเลือนลางสำหรับคุณ เมื่อคุณตอบคำถามได้ คุณจะพบเข็มทิศของชีวิตคุณ 📌📌📌
2
21. จำนวนของเป้าหมายในชีวิต ไม่ได้สำคัญเท่าการทำให้ลำดับชั้นของเป้าหมายของเราเป็นหนึ่งเดียวกัน
22. แคทเธอรีน คอกซ์ ได้รวบรวมข้อมูลคุณลักษณะของผู้ที่ประสบความสำคัญเอาไว้ แต่ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจอย่างมากว่า “จริงอยู่ที่คนที่ประสบความสำเร็จมักมีไอคิวสูงหรือฉลาดกว่าคนทั่วไป แต่กลุ่มที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้นมีไอคิวไม่ต่างกับกลุ่มผู้ประสบความสำเร็จโดดเด่นรองลงมา” เค้าจึงสรุปว่า จริงๆแล้วเราไม่ต้องมีไอคิวฉลาดสุดหรอก เพียงแค่ฉลาดระดับหนึ่งและมีความพยายามมากๆ นั่นทำให้เรามีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า 📌📌📌
2
23. จากงานวิจัยหนึ่งพบว่าความทรหดได้รับจากพันธุกรรม 37% และเกิดจากความหลงใหล 20% ความทรหดนั้นไม่ได้เกิดจากภายในเพียงอย่างเดียว แต่ถูกหล่อหลอมด้วยประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมภายนอกอีกด้วย
1
24. ปรากฏการณ์ฟลินน์ (Flynn Effect) คือปรากฏการณ์ที่พบว่า มนุษย์นั้นฉลาดขึ้นเรื่อยๆ จากการวิจัยพบว่า 50 ปีที่ผ่านมา มนุษย์มีค่าเฉลี่ยไอคิวเพิ่มขึ้น 15 คะแนน การค้นพบนี้เป็นการยืนยันว่าสมรรถภาพของมนุษย์รวมไปถึงความทรหดนั้นได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมการใช้ชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
3
25. หนึ่งประเด็นที่น่าสนใจก็คือ เค้าพบว่าเมื่อเรามีอายุที่มากขึ้น เราจะมีความทรหดมากขึ้นตามมา เนื่องจากประสบการณ์ที่มากขึ้น ทำให้เราปรับตัวต่อความยากลำบากได้ดีกว่า แต่ทั้งนี้ ก็อาจเป็นไปได้ว่า คนสูงวัยที่มีความทรหดมากนั้นเกิดจากค่านิยม และบรรทัดฐานที่แตกต่างกันในแต่ละยุคสมัย
26. คีย์หลักของเล่มนี้คือ เมื่อนำข้อมูลคนที่มีความทรหดจากหลายๆเคสมาอินทิเกรตเค้าพบว่า ปัจจัยที่ทำให้คนคนหนึ่งถึก ทรหด ไม่ยอมแพ้ นั้นประกอบไปด้วย 4 อย่าง นั่นก็คือ #ความหลงใหล #การฝึกฝน #จุดมุ่งหมาย #และความหวัง
1
27. #1_ความหลงใหล วิลล์ ชอร์ตส์ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ กล่าวกับนักศึกษาจบใหม่ว่า “จงคิดให้ออกว่าคุณชอบทำอะไรมากที่สุดในชีวิต แล้วพยายามทำสิ่งนั้นแบบเต็มเวลา ชีวิตมันสั้นนัก ดังนั้นจง #ทำสิ่งที่ตัวเองรัก” ❤️
1
28. เจฟฟ์ เบซอส กล่าวว่า “ไม่ว่าคุณจะอยากทำสิ่งใดก็ตาม คุณจะพบว่าหากไม่มีใจรักในสิ่งที่ทำอยู่ คุณจะไม่สามารถยืนหยัดทำสิ่งนั้นต่อไปได้” 📍📍
3
29. คุณสามารถทดสอบได้ว่าคุณรักสิ่งที่คุณทำหรือไม่ ถ้าคุณรักสิ่งที่ทำ คุณจะรู้สึกตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้ทำงาน คุณจะครุ่นคิด หมกมุ่นอยู่กับมัน คุณจะแทบรอไม่ไหวที่จะกลับเข้าไปห้องทำงาน นั่นก็เพราะว่าความหลงใหลของคุณอยู่เหนือความจำเป็นและเรื่องเงินทอง และนี่แหละคือสุดยอดขุมพลังของ GRIT 🔥🔥
2
30. ข้อดี 2 ประการเมื่อคุณได้ทำงานที่คุณรัก ประการแรกคือ คุณจะพึงพอใจกับงานที่ทำมากขึ้นและมีความสุขกับชีวิตมากกว่า ประการที่สอง คุณจะทำผลงานได้อย่างโดดเด่น เมื่อคุณได้ทำสิ่งที่ตนเองสนใจอย่างแท้จริง อย่างที่วิลเลียม เจมส์ เคยกล่าวไว้ว่า “สิ่งที่เป็นตัวตัดสินว่าเราจะทำได้ดีแค่ไหน ก็คือความปรารถนา ความหลงใหล ความจริงจังของความสนใจของเรา”
1
31. จากแบบสำรวจ 141 ประเทศ พบว่ามีผู้คนเพียง 13% เท่านั้นที่รู้สึกว่าตัวเองมีส่วนร่วมกับงานที่ทำอยู่
1
32. จริงอยู่ที่แม้ว่ามีคนมากมายที่ไม่ได้ทำสิ่งที่หลงใหลอย่างแท้จริงแต่ก็ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำในสิ่งที่เราสนใจอย่างแท้จริงนั้น เพิ่มโอกาสให้เราเข้าถึงความสำเร็จมากขึ้น
1
33. การพบเจอสิ่งที่หลงใหลก็ไม่ต่างกับการเลือกคู่ แม้ว่าคู่ของเราอาจไม่ได้เพอร์เฟ็ก แต่เราก็พร้อมที่จะผ่านความยากลำบากไปด้วยกัน นั่นก็เพราะว่าความหลงใหลทำให้เรามองข้ามทุกสิ่งไปได้
1
34. เจฟฟ์ เบซอส ยังกล่าวข้อความเพิ่มเติมอีกว่า “ความผิดพลาดใหญ่หลวงที่คนเรามักทำกันคือ #การพยายามบังคับให้ตนเองสนใจในบางสิ่ง”
1
35. แนวทางที่ช่วยให้ลูกน้อยของคุณรู้ว่าเค้าหลงใหลอะไรคือ การทำให้การเล่นเป็นเรื่องใหญ่กว่าการทำงานหนัก เมื่อเค้ารู้ว่าสิ่งใดที่เค้าสนุกกับมันอย่างแท้จริง เดี๋ยวเค้าจะทำงานหนักเพื่อมันเอง 📍📍
2
36. พ่อแม่และครูที่เจ้ากี้เจ้าการกับเด็กมากเกินไปจะทำร้ายแรงผลักดันที่อยู่ภายในของเด็ก
2
37. เวลาเราเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ เราต้องการเพียงชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ เราต้องการเสียงปรบมือ ถ้าเป็นคำวิจารณ์ก็ไม่ควรมากเกินไป การเร่งความเร็วให้เค้าค้นพบตัวตน ฆ่าความสนใจได้อย่างน่ากลัว
38. ความแปลกใหม่สำหรับผู้เริ่มต้นจะเป็นรูปแบบหนึ่ง ส่วนความแปลกใหม่ของผู้เชี่ยวชาญก็เป็นรูปแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะเก่งแล้วหรือเริ่มต้น เราจะมีความหลงใหลในมุมมองที่ต่างกัน
39. คำแนะนำที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ก็คือการลองทำมัน เพราะมันให้คำตอบได้มากกว่าการไม่ทำอะไรเลย 📌📌
2
40. #2_การฝึกฝน เราอาจสรุปง่ายๆเลยว่า คนที่ทรหดกว่าคือคนที่ใช้เวลากับการฝึกฝนมากกว่า ชั่วโมงบินมากกว่า โดยทั่วไปอาจเป็นไปแบบนั้น แต่ก็อาจมีข้อยกเว้นก็คือ คุณภาพของเวลาในการฝึกฝนของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน
41. คุณอาจเคยเห็นคนที่ทำงานมาหลายสิบปี แต่ก็สุดแค่ความสามารถระดับปานกลาง อะไรกันเล่าที่ทำให้เป็นเช่นนั้น ยกตัวอย่างว่า ทำไมคนที่วิ่งมา 18 ปีก็ไม่ได้วิ่งเร็วขึ้นมากเท่าไร ทำไมเค้าไม่วิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆตามเวลาที่เค้าทุ่มเทไป ??
1
42. คำตอบที่น่าตื่นเต้นก็คือ #เพราะว่าคุณไม่ได้จดจ่อกับการฝึกและตั้งเป้าหมายอย่างจริงจัง
43. ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน นอกจากเค้าจะรักสิ่งที่เค้าทำได้ดี เค้ายังรักที่จะแก้จุดบอกพร่องของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เค้าได้พัฒนาตัวเองได้เรื่อยไม่หยุดอยู่ที่เดิม ซึ่งบางครั้งอาจยากลำบากเนื่องจากเป็นจุดที่เราไม่ถนัดจริงๆ แต่ก็อย่างที่เบนจามิน แฟรงกลิน เคยกล่าวไว้ว่า “ไม่มีความสำเร็จใดที่ได้มาโดยไม่เจ็บปวด”
2
44. การฝึกอย่างจดจ่อเป็นเพียงปัจจัยเดียวที่จะชี้ว่าคุณจะพัฒนาขึ้นหรือไม่ ซึ่งการฝึกอย่างจดจ่อจะต่างกับการเข้า flow state เนื่องจากวิธีแรกจะต้องวางแผนมาและประเมินผล ใช้สติเต็มร้อย แต่ flow state จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
45. แต่ยังไงซะคนที่ประสบความสำเร็จก็มักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาเหล่านั้นเข้า flow state ได้บ่อยกว่า (flow state คือ ภาวะจดจ่อยิ่งยวด เพลิดเพลินกับการทำบางสิ่งบางอย่างจนลืมเวลา)
1
46. จุดต่างอีกข้อของการฝึกอย่างยิ่งยวดกับการเข้า flow state ก็คือ การฝึกเป็นเรื่องของพฤติกรรมแต่การเข้า flow state เป็นเรื่องของความรู้สึก
47. บางครั้งเราต้องเหนื่อยกับการฝึก และไม่ได้เข้า flow state เราอาจไม่สนุกกับการฝึกซ้อมเท่าไร แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราไม่ยอมหยุด ก็คือ ความหลงรักในผลลัพธ์ของการฝึก ความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ
2
48. จงจำไว้ว่าจุดเดียวที่เราควรโฟกัสเพื่อเปลี่ยนระดับความสามารถให้สูงขึ้นเรื่อยๆก็คือ “การจดจ่อไปที่การแก้ไขจุดอ่อน” 📌📌📌📌
2
49. #3_จุดมุ่งหมาย เราไม่เพียงมีจุดมุ่งหมายเพื่อตัวเองเพียงอย่างเดียว เพราะด้วยวิวัฒนาการของเราบีบให้เราทำเพื่อผู้อื่นด้วย เนื่องจากการทำเพื่อผู้อื่นทำให้เราอยู่รอดในระยะยาว จะเห็นได้ว่าไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ต่างมีจุดมุ่งหมายไม่เพื่อตนเอง ก็เพื่อผู้อื่น
50. เค้าพบว่า ยิ่งเรามีจุดมุ่งหมายยิ่งใหญ่เท่าไร เราก็จะมีความทรหดมากขึ้นเท่านั้น
1
51. ศีลธรรมเป็นหนึ่งในตัวผลักดันความทรหด ด้วยเช่นกัน เค้าพบว่าการทำอะไรเพื่อผู้อื่นไม่ว่าจะสัตว์หรือคน จะทำให้เรามีควาทรหดมากขึ้น
1
52. จุดหมายจะสูงส่งแค่ไหน คุณค่าของสิ่งที่ทำจะมากมายแค่ไหน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่างานชนิดนั้นเป็นอะไร แต่ขึ้นกับมุมมองที่แท้จริงที่คุณมองต่องานนั้นๆ และมุมมองหรือความเชื่อที่ฝังลึกเหล่านี้ก็เปลี่ยนแปลงได้เสมอ
53. ช่างก่ออิฐสามคนมองต่องานของตัวเองต่างกัน คนแรกมองว่าตัวเองกำลังก่ออิฐ คนที่สองมองว่ากำลังสร้างโบสถ์ คนที่สามมองว่ากำลังสร้างบ้านให้พระเจ้า 📌📌📌
1
54. คนส่วนใหญ่มองว่าการมีจุดมุ่งหมายเพื่อตัวเองกับการมีจุดมุ่งหมายเพื่อคนอื่นนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่แท้จริงแล้วสองสิ่งนี้ไม่ได้มีอิทธิพลต่อกัน คุณอาจมีทั้งสองสิ่งหรือไม่มีเลยก็ได้ คุณอาจเป็นผู้นำที่อยากช่วยเหลือคนอื่นจริงๆ หรือตัวผมเองอยากสรุปหนังสือเพื่อให้ความสุขของตัวเองและเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นได้พร้อมๆกัน
55. การทำงานเพื่อตนเองเพียงอย่างเดียว ทำให้เราขาดแรงผลักดันที่รุนแรงอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการที่เรามีความสุขเมื่อเห็นคนอื่นมีความสุข สรุปคือเราไม่จำเป็นต้องแยกมันให้ขาดจากกัน
2
56. #4_ความหวัง ความหวังในที่นี้คือการคาดหวังและมีความเชื่อว่า ความพยายามจะนำพาชีวิตเราให้ดียิ่งขึ้น เราเชื่อว่าตัวของเราเองจะพาเราไปในทิศทางที่ดี ไม่ใช่รอโชคชะตา ว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ดีขึ้นเองแหละ
57. ในหนังสือพูดถึงการทดลองสุนัขกับกระแสไฟฟ้า ผมว่าเป็นการทดลองที่เปลี่ยน mindset ได้ดีมาก ผมอาจไม่สามารถเล่าการทดลองให้ฟังได้เพราะจะยาวมาก แต่จะขอสรุปประเด็นสำคัญที่ได้จากการทดลอง ก็คือ #เราจะมีความหวังมากขึ้นเมื่อเรารู้สึกว่าเราควบคุมมันได้ #แต่เราจะหมดหวังเมื่อเราไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไรแล้วจะควบคุมมันได้อย่างไร ดังนั้นการเชื่อว่าเราจัดการบางสิ่งบางอย่างได้ นั้นทำให้เรามีความหวังอยู่เสมอ 📌📌📌📌📌📌📌
1
58. จากการทดลองคนที่มองโลกในแง่ดีกับคนที่มองโลกในแง่ร้ายนั้นพบเจอเรื่องร้ายๆ ไม่แตกต่างกัน แต่คนที่มองโลกในแง่ดี เค้าจะไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องที่ยั่งยืน ต่างกับคนมองโลกในแง่ร้ายที่มักมองว่าเป็นเรื่องที่ยาวนานและตายตัว
1
59. เมื่อเราประสบความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า จิตใต้สำนึกของเราจะป้อนว่าเราควบคุมอะไรไม่ได้ ทำให้เราหมดความหวัง ส่งผลต่อพลังในการเปลี่ยนแปลงตัวเองที่ลดฮวบ คนที่เจอภาวะเหล่านี้มาก่อนต้องใช้สติมากขึ้นเพื่อสกัดความคิดอัตโนมัติที่ชอบตัดสินว่าเรานั้นไม่เอาไหน ผ่านการบำบัด Cognitive Behavioral Theapy (เรื่องนี้คล้ายการฝึกสติของศาสนาพุทธเลย) 📍
1
60. ครูที่มองโลกในแง่ดี และคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงนักเรียนได้จะมีความทรหดต่อการสอนมากกว่าและปั้นเด็กออกมาได้มีคุณภาพมากกว่า
2
61. คนที่ล้มเหลวหลายต่อหลายครั้งแต่ไม่ได้มองว่าเป็นความล้มเหลว เค้าเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จได้มากกว่าคนที่ไม่เคยเจอความล้มเหลวเลย ดังนั้น การตีความต่อสถานการณ์นั้นสำคัญกว่าความสำเร็จที่ผ่านมา 📍📍📍📍
2
62. คนที่มี Growth mindset นั้นจะมีชีวิตที่เติบโตได้ดีกว่า ประสบความสำเร็จมากกว่า คนที่มี Fixed mindset (ใครเคยอ่านหนังสือเรื่อง mindset จะรู้ดี) (Growth mindset คือคนที่คิดว่าทุกอย่างมันพัฒนากันได้ แต่คนที่มี Fixed mindset จะมองว่าความสามารถนั้นถูกกำหนดไว้แล้ว พัฒนาไม่ได้อีกต่อไป)
2
63. เราจงชื่นชมความพยายามในการเรียนรู้มากกว่าความสามารถที่มีมาแต่กำเนิด
1
64. สี่ปัจจัยข้างต้นเป็นการสร้างความทรหดจากภายในสู่ภายนอก แต่การสร้างความทรหดจากภายนอกสู่ภายในเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆเช่นกัน
65. การสร้างความทรหดจากภายนอกก็คือ การพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสังคมเหล่านั้น นักกีฬาว่ายน้ำไม่มีใครชอบตื่นตีสี่มาว่ายน้ำหรอก แต่ถ้าเมื่อคุณอยู่ในสังคมที่เค้าตื่นตีสี่มาฝึกซ้อม ก็คงยากที่เราจะไม่ทำตาม นั่นก็เพราะว่าแรงผลักดันพื้นฐานของมนุษย์ก็คือกลัวความแตกต่าง กลัวถูกมองไม่ดี กลัวถูกทิ้งและไม่ให้ความสำคัญ ทำไมเราไม่ใช้อุบายเหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้เราอีกแรงหนึ่งล่ะ
2
66. สุดท้ายอยากบอกว่า ชอบเล่มนี้มาก เพราะเป็นหนังสือจิตวิทยาที่ไม่ขายฝัน ไม่มีเส้นชัยใดที่ได้มาโดยไม่พยายามจริงๆ ผมว่าข้อดีของคนที่ไม่มีพรสวรรค์ก็คือ เราจะซาบซึ้งกับคุณค่าของความพยายามมากกว่า และทำให้เราเชื่ออย่างมากว่าเราเองจะพาตัวเองไปในจุดที่ดีกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน !!
1
สุดท้ายยยยจริงๆ ขอประชาสัมพันธ์ โครงการ #แบ่งกันอ่าน รอบวันที่ 01/01/22 ครั้งนี้เราจัดหนัก แจก 5 เล่มรวด 🔥🔥🔥 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้เพื่อนนักอ่านทุกคนน้าา ❤️❤️ พะโล้ขอสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าด้วยนะคร้าบบบ 🎉🎉🎉🎉
//พะโล้
#เรื่องย่อของหนังสือเล่มเยี่ย
โฆษณา