11 ม.ค. 2022 เวลา 05:00 • ไลฟ์สไตล์
ความชื้น กับเมล็ดกาแฟ
เคยสังเกตไหมว่าช่วงที่อากาศชื้น โดยเฉพาะในฤดูฝน กลิ่นและรสชาติของกาแฟเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง?
ความชื้น (Moisture content)
เมื่อความชื้นอยู่ในอากาศ จะมีสถานะเป็นก๊าซ โดยจะเป็นค่าบ่งชี้ปริมาณน้ำที่มีอยู่ในอาหาร ซึ่งมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากความชื้นส่งผลต่อการเสื่อมเสียของอาหาร คุณสมบัติทางกายภาพ รวมถึงคุณภาพทางประสาทสัมผัส เป็นต้น
ซึ่งลักษณะของเมล็ดกาแฟคั่วนั้นจะมีลักษณะแห้งและเปราะ ภายในเมล็ดกาแฟจะมีรูพรุนจำนวนมาก เป็นช่องให้อากาศสามารถเคลื่อนที่ไปมาได้ ดังนั้น เมื่อความชื้นในอากาศสูงกว่าในเมล็ดกาแฟ จึงทำให้ความชื้นเคลื่อนที่เข้าไปในเมล็ดกาแฟ ส่งผลให้เมล็ดกาแฟชื้นขึ้น (แต่ไม่เปียก) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ
เมล็ดกาแฟที่สัมผัสกับความชื้นจะใช้เวลาในการสกัดเร็วกว่าการสกัดแบบปกติ สังเกตว่าบางครั้งช็อตกาแฟในช่วงเช้า อาจจะใช้เวลาในการสกัดเร็วกว่าช่วงบ่าย เนื่องจากช่วงบ่ายความชื้นในอากาศลดลง
เราได้ทำการทดลองบดเมล็ดกาแฟทิ้งไว้ 30 นาที เพื่อให้กาแฟสัมผัสกับความชื้นมากขึ้น จากนั้นนำมาสกัด เทียบกับทำการบดเมล็ดกาแฟแล้วสกัดทันที พบว่าเมล็ดกาแฟที่บดทิ้งไว้ จะมีกลิ่นของกาแฟน้อยลง ไม่หอมเท่าปกติ มีความเปรี้ยวแหลม เมื่อกาแฟเย็นลงความเปรี้ยวจะมากขึ้น จึงทำให้รู้สึกว่ามีความหวานลดลง และมี Aftertaste สั้น หมายถึงรสชาติจะหายไปทันทีหลังจากกลืน บางครั้งอาจทิ้งความขมในคอไว้ปิดท้าย โดยรวมแล้วทำให้รสชาติขาดความสมดุลทั้งกลิ่นหอม ความเปรี้ยวและหวาน รวมถึงรสชาติตอนท้ายที่จบไวด้วย
ข้อแนะนำเมื่ออากาศมีความชื้น
1. สังเกตว่าร้านกาแฟหรือบ้านของเรา ติดตั้งเครื่องปรับอากาศหรือไม่ เพราะเครื่องปรับอากาศ จะช่วยปรับสภาวะแวดล้อมในร้าน หรือบ้านของเราไม่ให้ชื้นเกินไป ทำให้อากาศแห้งกว่าอากาศภายนอก นอกจากนี้อาจซื้อเครื่องวัดความชื้นที่มีขายตามท้องตลาด เพื่อมาวัดค่าความชื้นในอากาศจะช่วยบอกได้ว่า วันนี้อากาศชื้นมากหรือน้อยเพียงใด
หากร้านกาแฟหรือบ้านไหนที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ อาจจะป้องกันโดยเติมเมล็ดกาแฟในโถบดให้พอดีกับการใช้งาน ไม่ควรเติมเมล็ดกาแฟมากเกินไป เพราะจะทำให้เมล็ดกาแฟที่อยู่ในโถบรรจุเมล็ดกาแฟ ดูดความชื้นในอากาศเข้ามา ทำให้รสชาติของกาแฟเปลี่ยนได้
2. ควรเก็บเมล็ดกาแฟในกล่องหรือภาชนะสุญญากาศทึบแสง เพื่อป้องกันไม่ให้ความชื้นในอากาศและแสงเข้ามาสัมผัสกับเมล็ดกาแฟ ลดอัตราการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น จะช่วยลดการเปลี่ยนแปลงของรสชาติกาแฟได้ หากใครไม่มีกล่องทึบแสง ก็อาจจะนำซองกาแฟเก็บในภาชนะสุญญากาศอีกชั้นหนึ่งก็ได้ นอกจากนี้อาจใส่ถุงดูดความชื้นลงไปด้วยก็จะช่วยลดความชื้นในภาชนะบรรจุเมล็ดกาแฟได้
3. แนะนำให้ทำความสะอาดเฟืองบดบ่อยขึ้น เนื่องจากบริเวณเฟืองบดมักจะมีเศษผงของกาแฟติดอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว และในช่วงที่อากาศชื้นจะทำให้ผงกาแฟเหล่านั้นจับตัวเป็นก้อนง่ายขึ้น และอาจจะส่งผลให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นหืน กลิ่นอับ เป็นต้น รวมถึงเมล็ดกาแฟที่สัมผัสความชื้น เมื่อบดผ่านเครื่องบดมักจะมีขนาดที่ไม่สม่ำเสมอ อีกทั้งผงของกาแฟที่ละเอียดและหยาบปะปนกันนั้น ทำให้การสกัดกาแฟไม่สมบูรณ์ ส่งผลต่อรสชาติของกาแฟที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเราแนะนำให้ปรับเฟืองบดให้ละเอียดขึ้นเล็กน้อย
4. ข้อสุดท้าย เป็นเรื่องของหน้าที่ความเป็นบาริสต้า เนื่องจากบาริสต้าจะต้องทำการชิมรสชาติกาแฟทุกวัน ขึ้นอยู่กับมาตรฐานของแต่ละร้าน เพื่อทดสอบว่ารสชาติของกาแฟเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ หากไม่เหมือนเดิมจะต้องมีการปรับแก้อย่างไร เพื่อให้ได้รสชาติที่ดี และใกล้เคียงกับรสชาติของร้านที่ต้องการนำเสนอมากที่สุด
ในกรณีที่เมล็ดกาแฟที่สัมผัสความชื้น บาริสต้าอาจจะทำการบดละเอียดขึ้น เพื่อให้ขนาดของผงกาแฟใกล้เคียงกันมากขึ้น เกิดการสกัดที่มากขึ้น เนื่องจากจะเพิ่มระยะเวลาในการสกัด ทำให้เกิดการสกัดสมบูรณ์ขึ้นมาก และลองชิมรสชาติอีกครั้งว่าเป็นไปตามที่ต้องการหรือไม่ เป็นต้น
และทั้งหมดนี้ก็เป็นวิธีรับมือกับความชื้น เพื่อให้รสชาติกาแฟแก้วโปรดของทุกๆ คน ยังคงกลิ่นหอมและมีรสชาติที่อร่อยอยู่เสมอนั่นเอง
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
- โทร. 081-979-9565 ต่อ 2 Bluekoff Showroom
- Inbox Facebook : http://m.me/bluekoff
#Bluekoff #BluekoffCoffee #Coffee #Specialtycoffee #coffeelovers #coffeetime
โฆษณา