14 ม.ค. 2022 เวลา 05:00 • ธุรกิจ
พัฒนาการและแนวโน้มตลาดรถไฟฟ้าออสเตรเลีย
ที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์ออสเตรเลียมีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด ตั้งแต่การเปลี่ยนจากความนิยมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลขนาดเล็กเป็นรถยนต์สำหรับครอบครัว (SUVs) และรถกระบะ ซึ่งมีสมรรถนะการใช้งานอเนกประสงค์มากขึ้น รวมไปถึงการให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมของกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ (Millennial และ Gen Z) และเปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น รถไฟฟ้า (EV) และรถ Plug-in Hybrid ซึ่งที่ผ่านมา ตลาดรถไฟฟ้าออสเตรเลีย มีการเติบโตค่อนข้างช้า (เนื่องจากมีราคาสูง สถานีชาร์จพลังงานที่ยังจำกัดและยังขาดนโยบายกระตุ้นของภาครัฐ) โดยมีรถไฟฟ้า Tesla เป็นผู้นำตลาด
ตลาดรถไฟฟ้าออสเตรเลียมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเริ่มตั้งแต่ปี 2562 โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นจาก 2,216 เป็น 6,718 คัน ในขณะที่ยอดขายรถยนต์พลังงานเชื้อเพลิงลดลงร้อยละ 7.8 และในช่วงปี 2563-2564 รถไฟฟ้าได้รับความนิยมมากขึ้นจากการเข้ามาทำตลาดรถไฟฟ้าในออสเตรเลียของค่ายผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆ (รถไฟฟ้าระดับพรีเมียมและรถไฟฟ้าราคาประหยัด) ทำให้สัดส่วนตลาดรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 0.7 เป็นร้อยละ 2.5 ของตลาดรถยนต์ในออสเตรเลีย (คิดเป็นจำนวนประมาณ 9,000 คัน) แม้ว่าความต้องการซื้อรถไฟฟ้าของชาวออสเตรเลียยังมีสูงแต่ราคารถไฟฟ้ายังอยู่ในระดับที่เข้าถึงได้เฉพาะกลุ่ม ทำให้สัดส่วนการใช้รถไฟฟ้าในออสเตรเลียยังอยู่ในระดับต่ำ
การนำเข้ารถไฟฟ้าของออสเตรเลีย
การนำเข้ารถไฟฟ้าของออสเตรเลียในปี 2562 มีมูลค่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 192 โดยเป็นรถไฟฟ้าที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกามากที่สุดร้อยละ 57 รองลงมาคือ เกาหลีใต้ร้อยละ 15 อังกฤษร้อยละ 10 สโลวาเกียร้อยละ 6 ญี่ปุ่นร้อยละ 5 ออสเตรียร้อยละ 4 และเยอรมนีร้อยละ 3 ตามลำดับ
ปี 2563 ออสเตรเลียนำเข้ารถไฟฟ้ามีมูลค่า 259 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 3.18 โดยร้อยละ 53 ยังเป็นรถไฟฟ้าจากสหรัฐอเมริกาแต่มีสัดส่วนการนำเข้าลดลงร้อยละ 4.5 ในขณะที่รถไฟฟ้าจากเยอรมนีเริ่มเข้ามาทำตลาดออสเตรเลียเพิ่มขึ้นมีสัดส่วนการนำเข้าร้อยละ 18 นำหน้ารถไฟฟ้าจากเกาหลีใต้ที่มีสัดส่วนลดลงที่ร้อยละ 8 นอกจากนี้ยังมีรถไฟฟ้านำเข้าจากญี่ปุ่น เบลเยียม จีนและสวีเดนเข้ามาทำตลาดออสเตรเลียอย่างต่อเนื่อง และในช่วง 10 เดือนแรกปี 2564 ออสเตรเลียนำเข้ารถไฟฟ้ามูลค่า 658 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 250 โดยรถไฟฟ้าที่นำเข้าจากจีนมีสัดส่วนร้อยละ 70 (จากการผลิตแบรนด์ Tesla โมเดล 3 และY) รองลงมาคือ เยอรมนีร้อยละ 14 เกาหลีใต้ร้อยละ 8 ญี่ปุ่นร้อยละ 4 และอังกฤษร้อยละ 4 ตามลำดับ
สำหรับปี 2565 รถไฟฟ้าที่จะเข้ามาทำตลาดรถไฟฟ้าออสเตรเลียซึ่งรวมถึงรถไฟฟ้าที่เลื่อนการเปิดตัวจากปี 2564 มาในปี 2565 ด้วยได้แก่ Mercedes-Benz (EQS) BMW (BMW i4 sedan) Audi (The e-tron GT) Tesla (Model Y) ซึ่งมีราคาจำหน่ายจัดอยู่ในระดับพรีเมียม และคาดว่า ยอดขายรถไฟฟ้าตลอดทั้งปีจะเพิ่มเป็น 18,500 คัน
สำหรับรถไฟฟ้าราคาประหยัดที่เตรียมเปิดตลาดในออสเตรเลีย คือ Kia (EV6 SUV) Genesis (GV60) BYD (รถไฟฟ้าของจีนที่เตรียมเข้ามาทำตลาดรถไฟฟ้าราคาประหยัดออสเตรเลียด้วยราคาเริ่มต้นที่ 35 ,000 เหรียญออสเตรเลียหรือประมาณ 875,000 บาท) Ora (รถไฟฟ้าของจีนที่วางแผนเข้ามาทำตลาดรถไฟฟ้าราคาประหยัด) นอกจากนี้รถไฟฟ้าแบรนด์ Cupra แบรนด์ Volkswagen และ Skoda ได้มีแผนเปิดตัวรถไฟฟ้าราคาประหยัดในตลาดออสเตรเลีย ภายในปี 2566 เช่นกัน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงมาเป็นรถไฟฟ้าในออสเตรเลีย ค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับตลาดรถไฟฟ้าในกลุ่มประเทศ OECD คือ
1) ตลาดรถไฟฟ้ามีการแข่งขันน้อยและค่าใช้จ่ายในการใช้งานสูงทำให้กลุ่มผู้ซื้อค่อนข้างจำกัด
2) ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับการเติบโตของรถไฟฟ้ายังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ในออสเตรเลีย
3) ขาดมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาลกลางอย่างจริงจังและความพร้อมของสถานีชาร์จพลังงาน
4) สภาพภูมิศาสตร์ (OutBack) และรูปแบบการใช้ชีวิตของชาวออสเตรเลียในส่วนภูมิภาค ทำให้ยังจำเป็นต้องใช้รถยนต์พลังงานเชื้อเพลิงมีสมรรถนะสูงและเหมาะกับการใช้งานมากกว่ารถไฟฟ้า
5) ปัญหาแหล่งห่วงโซ่อุปทานการผลิต เช่น แบตเตอรี่ที่ยังขาดประสิทธิภาพ (รถไฟฟ้า Hyundai ถูกเรียกคืนกว่า 1,000 คัน เนื่องจากอาจเกิดไฟฟ้าลัดวงจรและเกิดไฟลุกไหม้) และการขาดแคลน Microprocessor ในการผลิต อย่างไรก็ตาม Bloomberg ระบุว่า ตลาดรถไฟฟ้าในออสเตรเลีย มีการเติบโตช้าในระยะเริ่มต้นและจะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในอีก 20 ปีข้างหน้า และคาดการณ์ว่า ภายในปี 2583 จำนวนผู้ใช้รถไฟฟ้าในออสเตรเลียจะนำหน้าผู้ใช้รถยนต์พลังงานเชื้อเพลิง (คิดเป็นร้อยละ 60)
โฆษณา