13 ม.ค. 2022 เวลา 10:45 • ธุรกิจ
#FutureofWork ในอนาคตอีกไม่กี่ปีนับจากนี้ พนักงานจะทำงานโดยไม่จำเป็นต้องมี 'หัวหน้า' เพราะว่าหัวหน้าจะเริ่มเป็นอุปสรรค ในยุคที่เทคโนโลยีล้ำหน้ามากขึ้น
การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษา คาดการณ์ว่า คนทำงานองค์กรจำนวน 30% จะสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องมีหัวหน้า เพราะการจัดการจากคนเดียว เป็นอุปสรรคต่อความคล่องตัว
การ์ทเนอร์คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษา ที่มักคาดการณ์และเผยเทรนด์เทคโนโลยีสำคัญๆ ล่าสุดออกผลการคาดการณ์เทรนด์ใหญ่ที่จะส่งผลกระทบต่อองค์กรไอทีและผู้ใช้ในปี 2565 และปีต่อๆ ไปในอนาคต
โดยการ์ทเนอร์ สำรวจเทรนด์จากปัจจัยสำคัญเรื่องโรคระบาด ที่บังคับให้องค์กรต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้คนทำงานและผู้บริหารต้องเรียนรู้จากภาวะหยุดชะงักและเรียนรู้จากความไม่แน่นอนที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง
การ์ทเนอร์ จำแนกเทรนด์เป็น 10 ข้อ มีทั้งเทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีโดยตรงอย่างความปลอดภัยไซเบอร์, NFT, ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ไปจนถึงเทรนด์ที่เกี่ยวกับการทำงานและการบริหารคนในองค์กรด้วย
1) คนป้องกันข้อมูลส่วนตัวมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจสร้างรายได้จากข้อมูลเหล่านั้นได้ยาก
ภายในปี พ.ศ.2567 ผู้บริโภคราว 40% จะป้องกันการติดตามข้อมูลและพฤติกรรมส่วนตัว ส่งผลให้ธุรกิจสร้างรายได้จากข้อมูลเหล่านั้นได้ยากขึ้น
 
เนื่องจากผู้บริโภคตระหนักมากขึ้นว่าข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทต่างๆ ได้ไปนั้นมีมูลค่ามหาศาล โดยผู้บริโภคส่วนหนึ่งกำลังหาวิธีป้องกันการติดตามข้อมูลและพฤติกรรมส่วนตัวเพื่อเป็นการตอบโต้ เช่น การให้ข้อมูลที่ไม่จริงหรือคลิกโฆษณาที่ไม่ได้สนใจจริงๆ
แดริล พลัมเมอร์ รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ แสดงความเห็นต่อเทรนด์นี้ว่า “การล่อหลอกอัลกอริธึมเพื่อเลี่ยงการติดตามพฤติกรรมและการสร้างความสับสนบนฐานข้อมูล ผู้บริโภคกำลังท้าทายคำกล่าวที่ว่า ‘หากคุณไม่ใช่ลูกค้า คุณคือผลิตภัณฑ์’
ไม่ว่าผู้บริโภคจะถูกกระตุ้นจากความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวหรือความปลอดภัย หรือการให้ข้อมูลผิด ๆ หรือต้องการได้เงินผลตอบแทน ผู้บริโภคต่างหมายมั่นปั้นมือลดคุณค่าของข้อมูลเชิงพฤติกรรมของพวกเขาที่บริษัทต่างๆ ต้องพึ่งพา”
2) คนสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องมีหัวหน้า เพื่อความคล่องตัวสูงสุด
 
ภายในปี พ.ศ. 2567 ทีมในองค์กรถึง 30% จะทำงานกันได้โดยไม่ต้องมีหัวหน้างาน อันเป็นผลจากการเรียนรู้และกำกับการทำงานด้วยตัวเอง รวมถึงความคุ้นเคยกับการทำงานแบบไฮบริด
1
การระบาดใหญ่ทำให้ธุรกิจต้องเพิ่มความคล่องตัว ลดการตัดสินใจจากศูนย์กลาง ช่วยลดปัญหาคอขวดและประหยัดเวลาท่ามกลางสภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริด
ขณะที่การทำงานแบบสลับเข้าออฟฟิศและทำงานจากที่บ้านยังดำเนินต่อไป นั่นส่งผลให้บทบาทของผู้จัดการในแบบเดิมๆ ถูกถอดออกไป ซึ่งสามารถเป็นแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพในทางปฏิบัติงานได้ยิ่งขึ้น
“บทบาทผู้จัดการในฐานะผู้บังคับบัญชาและผู้ควบคุมงานเป็นอุปสรรคสำคัญในยุคที่ธุรกิจเน้นความคล่องตัวที่ต้องการความเป็นอิสระและการทำงานเป็นทีม
การทำงานอย่างมีระบบยังต้องมีอยู่ แต่จำเป็นต้องแยก 'การจัดการ' ออกจากบทบาท 'ผู้จัดการ' เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากความคล่องตัวและการทำงานแบบไฮบริดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” พลัมเมอร์กล่าว
3) ข้อมูลสังเคราะห์เริ่มมีบทบาทเพิ่มขึ้น แทนการเก็บข้อมูลลูกค้าจริงๆ เลี่ยงประเด็น Privacy
ภายในปี พ.ศ. 2568 ข้อมูลสังเคราะห์ (Synthetic Data) จะเข้ามาช่วยลดการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคว่ำบาตรจากการละเมิดความเป็นส่วนตัว (70%)
 
ข้อมูลที่สร้างโดย AI หรือข้อมูลสังเคราะห์ (Synthetic Data) กำลังมีบทบาทเพิ่มขึ้น โดยข้อมูลสังเคราะห์สามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทนข้อมูลจริง ทำให้ลดการรวบรวม ใช้ หรือแบ่งปันข้อมูลที่มีความอ่อนไหวลง
ซึ่งสอดคล้องกับกฎระเบียบด้านความเป็นส่วนตัวที่มีความเฉพาะในระดับภูมิภาค เป็นหนึ่งในปัจจัยกดดันให้องค์กรหันมาลดความเสี่ยงของการละเมิดความเป็นส่วนตัว
 
“ข้อมูลสังเคราะห์ทำให้ AI เป็นคำทำนายที่แท้จริงที่มันสามารถแสดงถึงตัวเลือกความเป็นจริงอื่นๆ ในอนาคต ไม่ใช่ในการสะท้อนภาพของอดีตจากข้อมูลจริง โดยการใช้ข้อมูลสังเคราะห์ที่มีคุณภาพสูงและในปริมาณมากๆ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพเพื่อทำความเข้าใจมนุษย์ในวงกว้าง” พลัมเมอร์กล่าว
4) การโจมตีทางไซเบอร์ จะยิ่งทวีความเสียหาย กองทัพจะเข้ามารับมือ
ภายในปี พ.ศ. 2567 การโจมตีทางไซเบอร์จะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อโครงสร้างพื้นฐานที่กลุ่ม G20 จะโต้ตอบด้วยการโจมตีทางกายภาพ
 
ในอดีตประเทศต่างๆ มองว่าการโจมตีทางไซเบอร์นั้นเป็นอาชญากรรม ไม่ใช่การทำสงคราม
แต่จากความสูญเสียที่เกิดจากการโจมตีขนาดใหญ่ที่พุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รัฐบาลบางประเทศกำลังเตรียมการรับมือสงครามไซเบอร์ผ่านหน่วยป้องกันทางไซเบอร์เฉพาะกิจ
5) ผู้บริหารไอทีเริ่มออกแบบธุรกิจแบบแยกส่วน ลดการพึ่งพาระหว่างกัน
ภายในปี พ.ศ. 2567 ผู้บริหารไอที 80% จะเผยให้เห็นการออกแบบธุรกิจในแบบแยกส่วนเป็นโมดูล ผ่านหลักการออกแบบระบบที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบ
การทำธุรกิจแบบแยกส่วน หรือการออกแบบโมดูลใหม่กับสินทรัพย์ลดการพึ่งพาซึ่งกันและกันจะช่วยให้สามารถจัดองค์ประกอบใหม่ได้ และยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับคลังเครื่องไม้เครื่องมือขององค์กร ที่ช่วยให้ผู้บริหารไอทีสามารถควบคุมความเสี่ยงเพื่อเร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงได้
6) 3 ใน 4 ของบริษัทจะ 'เลิกให้ความสำคัญ' กับลูกค้าที่ไม่เหมาะกับธุรกิจ
 
เทรนด์นี้จะเริ่มเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2568 เนื่องจากต้นทุนการรักษาฐานลูกค้ากลุ่มนี้ส่งผลต่อค่าใช้จ่าย องค์กรจึงมักลบลูกค้าที่ไม่เข้ากับผลิตภัณฑ์และบริการของธุรกิจออกไปจากกระบวนการขาย
การรักษาลูกค้าที่ไม่เหมาะกับธุรกิจมีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งในแง่ของเวลาที่ใช้เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า เช่นเดียวกับต้นทุนค่าเสียโอกาส ความเสื่อมสภาพของแบรนด์ และการสูญเสียผลกำไรระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นได้
7) แอฟริกา จะกลายเป็น Tech Hub และเป็นแหล่งผลิตมืออาชีพด้านไอที
ในปี พ.ศ. 2569 จะมีนักพัฒนาที่มีความสามารถทั่วทั้งแอฟริกาเพิ่มขึ้น 30% กลายเป็นระบบนิเวศของธุรกิจสตาร์ทอัพของโลก แข่งกับเอเชียเพื่อชิงการเติบโตของกองทุนจากนักลงทุน
 
ด้วยเงินทุนที่ถาโถมสู่แอฟริกาทำให้หลายประเทศในภูมิภาคนี้กลายเป็น 'ศูนย์กลางนวัตกรรม' ตัวอย่างเช่น ประเทศเคนยาได้ชื่อว่าเป็น 'Silicon Savannah' ของแอฟริกาตะวันออก ด้วยระบบนิเวศทางเทคโนโลยีที่มีมูลค่าถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
 
อีก 3 ปี ภูมิภาคนี้จะมีนักพัฒนามืออาชีพเกือบ 900,000 คน ผ่านช่องทางการศึกษานอกระบบที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ตลาดนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนทั่วโลกจะลดการลงทุนในจีนเพื่อหันมาสนับสนุนตลาดเกิดใหม่นี้
8 ) NFT กลายเป็นเครื่องมือการตลาดทรงพลัง
ในปี พ.ศ. 2569 สินทรัพย์ดิจิทัล NFT ที่ใช้กลยุทธ์ Gamification จะขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุด 10 อันดับแรก
 
สินทรัพย์ดิจิทัล (NFTs) กำลังกลายเป็นวิธีการสร้างโมเดลธุรกิจให้เติบโตอย่างทวีคูณ โดยใช้ประโยชน์จากการระดมทุนในแบบไฮเปอร์โทเคนไนซ์ (hyper-tokenization)
ภายในปี พ.ศ. 2567 การ์ทเนอร์คาดว่า 50% ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะมีสินทรัพย์ดิจิทัล (NFT) ที่สนับสนุนแบรนด์และ/หรือระบบนิเวศดิจิทัลของตน ซึ่ง NFT จะกลายเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังเพื่อใช้เสริมศักยภาพและประเมินมูลค่าขององค์กรได้รวดเร็วขึ้น
9) คนจนเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
ภายในปี พ.ศ. 2570 ดาวเทียมวงโคจรต่ำจะขยายความครอบคลุมของสัญญาณอินเทอร์เน็ตไปยังประชากรที่ยากจนที่สุดในโลกอีกพันล้านคน ช่วยให้ 50% ของคนเหล่านี้หลุดพ้นจากความยากจน
 
ดาวเทียมยังสามารถส่งสัญญาณผ่านการเชื่อมต่อเกาะต่างๆ ทำให้การขยายเครือข่ายสัญญาณมีความครอบคลุมไปยังพื้นที่ที่มีประชากรเบาบาง
 
10) บริษัทด้านการตอบสนองระบบประสาท จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม Fortune 20
 
ภายในปี พ.ศ. 2570 1 ใน 4 ของบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 20 จะถูกแทนที่โดยบริษัทด้านการตอบสนองของระบบประสาทและผู้มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของจิตใต้สำนึกวงกว้าง
 
“บริษัทที่จะก้าวเป็นผู้ชนะเหนือคู่แข่งในทศวรรษหน้า จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำงานของระบบสมองและการตอบสนองของระบบประสาท โดยใช้เทคโนโลยีที่มีความอัจฉริยะมาวิเคราะห์ ทำความเข้าใจมนุษย์” พลัมเมอร์กล่าวสรุป
ที่มา: การ์ทเนอร์
 
#TODAYBizview
#workpointTODAY
#สาระความรู้เพื่อวันนี้
ติดตาม TODAY Bizview จากทีม workpointTODAY
ไม่พลาดข่าวธุรกิจ การตลาด การเงิน เทคโนโลยี
กับเพจ TODAY Bizview https://bit.ly/3picIeS
ติดตามรายการ TOMORROW เทรนด์สำคัญของโลกเพื่อวันพรุ่งนี้
ทาง YouTube https://bit.ly/3prjBfI
 
ติดตามรายการของ workpointTODAY
ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK
โฆษณา