25 ม.ค. 2022 เวลา 01:31 • กีฬา
นักเตะทุกคนย่อมฝันจะมีเทสติโมเนียล แมตช์ของตัวเอง แต่ฟิล โจนส์ ที่อยู่กับปีศาจแดง 10 ปี กลับ "ไม่กล้าใช้สิทธิ์นั้น" เพราะคิดว่าตัวเองไม่คู่ควร เรื่องราวเป็นอย่างไร วิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าให้ฟัง
ครั้งหนึ่งระหว่างที่ฟิล โจนส์ กับลูกสาวทั้ง 2 คน ชื่อ เอลาเรีย และรายาห์ เดินเล่นอยู่ในเมืองตามปกติ จู่ๆ เขาก็โดนแฟนบอลตะโกนด่ากลางถนน
สาเหตุก็เดาไม่ยากนัก เพราะเขาอยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมานาน แต่เดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็ป่วย แถมยังไม่เคยเล่นได้ดีสมค่าจ้างที่ทีมจ่ายให้ จึงสร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งให้แฟนบอลบางคน
1
เมื่อคุณโดนฉีกหน้าแบบนั้น ตัวเองรู้สึกเฟลยังไม่เท่าไหร่ แต่การทำให้ลูกๆ ต้องเสียใจที่พ่อโดนคนอื่นประณามต่อหน้าต่อตา มันเป็นความเจ็บปวดที่ยากจะบรรยาย
 
โจนส์กล่าวว่า "ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง ลูกๆ ควรจะมีผมเป็นแรงบันดาลใจ แต่ผมไม่สามารถเป็นสิ่งนั้นให้พวกเขาได้"
ในวันนี้ถ้าหากเราพูดถึงฟิล โจนส์ คนส่วนใหญ่จะคิดถึงภาพของกองหลังจอมเจ็บ และนักเตะที่เป็นตัวโจ๊กของทีมปีศาจแดง เป็นผู้เล่นที่มี Meme ฮาๆ ในอินเตอร์เน็ตเพียบ อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นอาชีพของเขา สายตาที่ผู้คนมองฟิล โจนส์ ไม่ใช่แบบนี้
ย้อนกลับไปในวันที่ 21 มีนาคม 2010 แบล็คเบิร์น โรเวอร์สของแซม อัลลาร์ไดซ์ เปิดบ้านเจอกับเชลซี ของคาร์โล อันเชล็อตติ
เชลซีคือทีมที่ยิงประตูมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกลีกฤดูกาลนั้น และเป็นจ่าฝูงของลีก คือกำลังจะคว้าแชมป์ในอนาคตอันใกล้ โดยตอนนั้นดร็อกบา และแลมพาร์ด ก็กำลังท็อปฟอร์มมาก ดังนั้นก่อนเกมใครๆ ก็ฟันธงว่า แบล็คเบิร์นไม่รอดแน่นอน
ข่าวร้ายของแบล็คเบิร์นก่อนเกมอีกเรื่อง คือเซ็นเตอร์แบ็กกัปตันทีม ไรอัน เนลเซ่น ได้รับบาดเจ็บกะทันหัน ทำให้ไม่เหลือเซ็นเตอร์แบ็กซีเนียร์อีกแล้ว แซม อัลลาร์ไดซ์ จึงให้โอกาสฟิล โจนส์ กองหลังดาวรุ่งจากอะคาเดมี่ วัย 18 ปี ลงเล่นพรีเมียร์ลีกเป็นเกมแรก
ปรากฎว่าเมื่อได้ลงสนาม ฟิล โจนส์ เล่นอย่างดุดันก้าวร้าว เขาอัดแฟรงค์ แลมพาร์ดจนกระเด็นกระดอน สุดท้ายเชลซีพยายามเต็มที่ ก็ชนะไม่ได้ จบเกมเสมอ 1-1 ซึ่งนับว่าเหลือเชื่อ เพราะถ้าดูจากเกมอื่นๆ ในซีซั่นนั้น เชลซียิงคู่แข่งที 5-6 ลูก เป็นปกติ
หลังจบเกมจอห์น เทอร์รี่ กัปตันเชลซี เดินมาหาฟิล โจนส์ แล้วบอกว่า "เยี่ยมมาก" คือแม้แต่เทอร์รี่ยังกล่าวชมแบบนี้ ก็นับว่าฝีเท้าของฟิล โจนส์ ไม่ธรรมดาแล้ว
จุดเด่นของโจนส์ วัย 18 ปี คือบอดี้ที่แข็งแกร่งเกินกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน นอกจากนั้นยังมีความทุ่มเทเต็มที่ในสนาม คืออนาคตถ้าเพิ่มเติมเรื่องเทคนิคและการอ่านเกมหน่อย นี่จะเป็นกองหลังที่มีความสมบูรณ์แบบมาก
อัลลาร์ไดซ์ เห็นความสามารถของฟิล โจนส์ จึงสลับเขาเล่น 2 ตำแหน่ง คือกองหลังตัวกลาง กับมิดฟิลด์ตัวรับ ซึ่งโจนส์ก็เล่นได้โอเคทั้งคู่ จนก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษชุด u-21 แบบสวยๆ
หลังจบฤดูกาล 2010-11 มี 6 สโมสรแย่งชิงฟิล โจนส์ ได้แก่ เชลซี, อาร์เซน่อล, ลิเวอร์พูล, สเปอร์ส, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือทีมท็อปซิกส์มากันครบ แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของเด็กหนุ่มคนนี้ได้เป็นอย่างดี
โจนส์เป็นคนเมืองเปรสตัน เขาไม่อยากอยู่เมืองหลวงจึงปฏิเสธข้อเสนอของทีมจากลอนดอนไป ซึ่งอาร์แซน เวนเกอร์ ผู้จัดการทีมอาร์เซน่อลโทรไปเกลี้ยกล่อมด้วยตัวเองแท้ๆ แต่โจนส์ก็ไม่ตกลงอยู่ดี
ส่วนกับลิเวอร์พูล เพื่อนสนิทบอกว่าโจนส์ไม่รู้สึกชอบ จึงปฏิเสธไปอีกทีม
ชอยส์ที่เหลืออยู่ ที่เขาสนใจที่สุดคือแมนฯ ยูไนเต็ดโดยโจนส์มองว่า การมาอยู่ทีมปีศาจแดง มีโอกาสที่เขาจะเติบโตได้ง่ายกว่า เพราะเวส บราวน์ กับ จอห์น โอเช รวมถึงริโอ เฟอร์ดินานด์ กำลังจะอำลาทีมในอนาคตอันใกล้ ดังนั้นถ้าโจนส์อดใจรออีก 2-3 ปี เขาสามารถกลายเป็นตัวหลักของทีมปีศาจแดงได้ยาวๆเลย
1
สุดท้ายโจนส์ ตัดสินใจเลือกแมนฯ ยูไนเต็ด และดีลนี้จบที่ราคา 16.5 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นค่าฉีกสัญญาที่แบล็คเบิร์นตั้งไว้ โดยโจนส์ย้ายมาอยู่กับเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในเดือนมิถุนายน ปี 2011 พร้อมเซ็นสัญญา 5 ปีเต็ม
ณ เวลานั้น สื่อมวลชนสดุดีการคว้าตัวของแมนฯ ยูไนเต็ดกันใหญ่ โดยแมนเชสเตอร์ อีฟนิ่งนิวส์ ใช้คำว่าฟิล โจนส์ คือ "The most highly-rated teenager in England" แปลว่า ดาวรุ่งที่ได้รับการประเมินค่าสูงสุดในประเทศอังกฤษ
แมนเชสเตอร์ อีฟนิ่งนิวส์ รายงานว่า "สองปีจากนี้ไป มูลค่าของฟิล โจนส์ อาจเพิ่มขึ้นมาเป็น 2 เท่า และถ้าหากแมนฯ ยูไนเต็ด เสียโจนส์ให้คู่แข่งทีมอื่น อาจจะเป็นหายนะครั้งใหญ่ของสโมสร"
ไม่ใช่แค่แมนฯ ยูไนเต็ดเท่านั้นที่ชื่นชม แต่คนในวงการก็ออกมายกย่องกันทั่วหน้า ฟาบิโอ คาเปลโล่ ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษในขณะนั้น กล่าวว่า ฟิล โจนส์ ทำให้เขานึกถึงเฟร์นันโด เอียร์โร่ ตำนานของเรอัล มาดริด ขณะที่แกเร็ธ เซาธ์เกต ก็เคยสดุดีว่าฟิล โจนส์ คือกองหลังที่ดีที่สุดในประเทศอังกฤษ
หรืออย่างตอนได้แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2012-13 เรียบร้อยแล้ว เฟอร์กูสันได้กล่าวชื่นชมว่า "ผมคิดว่าโจนส์อาจจะเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดที่เรามีก็ได้ ไม่ว่าเราจะจับเขายืนตรงไหนก็ตาม ในวัยแค่ 21 ปี เขาจะเติบโตขึ้นไปเป็นผู้เล่นที่น่าทึ่ง เขามีความเป็นผู้นำสูงมาก สัญชาตญาณดี อ่านเกมดี เขามีพลังขับเคลื่อนระเบิดออกมาจากข้างใน"
ฟังแล้วเส้นทางของเขาเหมือนจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ กับสโมสรก็ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกในปี 2013 กับทีมชาติก็ติดธงไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่บราซิลในปี 2014
ฟังดูแล้ว ทุกอย่างก็ดูดีไปหมด แล้วปัญหาของฟิล โจนส์อยู่ตรงไหน ที่ทำให้สุดยอดดาวรุ่งพรสวรรค์ กลายมาเป็นตัวโจ๊กของแฟนบอลได้แบบในปัจจุบัน
สื่อมวลชนและแฟนบอล ร่วมวิเคราะห์กันว่า มี 3 เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้โจนส์ไม่สามารถยกระดับตัวเองขึ้นไปได้เก่งกว่านี้
เหตุผลแรก คือสิ่งที่เรียกว่า A Victim Of His Own Versatility หรือแปลว่า "เป็นเหยื่อในความหลากหลายของตัวเอง"
ฟิล โจนส์ เป็นผู้เล่นที่เล่นได้ถึง 3 ตำแหน่ง คือเซ็นเตอร์แบ็ก, แบ็กขวา และ กองกลางตัวรับ ในมุมของโค้ชก็ถือว่าเป็นประโยชน์ เพราะสามารถเป็นอะไหล่เสียบตรงไหนก็ได้ที่ทีมขาด
ในเดือนมกราคม 2015 ตอนหลุยส์ ฟาน กัล ขยายสัญญาโจนส์ออกไปรอบแรก เขากล่าวชมว่า "ฟิลเป็นนักเตะพรสวรรค์ที่เล่นได้หลายตำแหน่ง เขามีความยืดหยุ่นที่ดี"
แต่ความหลากหลายที่ว่านั่นแหละ ทำให้เขาไม่สามารถโดดเด่นได้สักทางจริงๆ ในช่วงแรกๆ เฟอร์กี้ใช้สามเซ็นเตอร์แบ็ก คือเนมานย่า วิดิช ,ริโอ เฟอร์ดินานด์ และ จอนนี่ อีแวนส์ ส่วนโจนส์เล่นเป็นเซ็นเตอร์แบ็กสำรองบ้าง หรือโดนถ่างไปเล่นแบ็กขวาบ้าง แล้วพอเดวิด มอยส์มาคุมทัพต่อ ก็เลยมองโจนส์เป็นตัวยืดหยุ่น แทนที่จะมองเป็นเซ็นเตอร์แบ็กตัวหลัก
นั่นคือเหตุผลแรก ส่วนเหตุผลที่สองคือเรื่องอาการบาดเจ็บที่รุมเร้า
นับจากเซ็นสัญญากับแมนฯ ยูไนเต็ด โจนส์บาดเจ็บแล้วรวม 22 ครั้ง (เท่าที่มีการบันทึก แต่จริงๆ อาจจะเจ็บบ่อยกว่านี้) โดยอาการของโจนส์เกิดขึ้นทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่แผ่นหลัง, เข่า, ข้อเท้า, ไหล่, แฮมสตริง, กระดูกหน้าแข้ง, นิ้วเท้า เคยแม้แต่มีภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
ในช่วงราวๆ 5 ปีแรก โจนส์ลงเล่น 3 นัด พัก 4 นัด แบบนี้เป็นประจำ ซึ่งกับดาวรุ่งการไม่ได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ คุณจะเอาอะไรไปพัฒนาตัวเอง เดี๋ยวเล่น เดี๋ยวพัก เดี๋ยวต้องจูนให้เข้ากับเพื่อนใหม่
นั่นทำให้ระดับฝีเท้าของฟิล โจนส์ ไม่ได้เก่งขึ้นจากสมัยเยาวชน คือพอเล่นได้ แต่จะให้เหมือนกับคำทำนายของเฟอร์กี้ ที่บอกว่า "โจนส์อาจเป็นหนึ่งในนักเตะดีที่สุดที่เรามีก็ได้" คงไม่สามารถเป็นแบบนั้นได้
คุณจะมีพรสวรรค์แค่ไหน แต่ถ้าเจ็บถี่ๆ พรสวรรค์ก็ยากจะมีประโยชน์ เหมือนเคสของอาบู ดิยาบี้ หรือ โอเว่น ฮาร์กรีฟส์นั่นแหละ ที่ดังอยู่แป้บเดียวแล้วก็ดับไปเลย
อาการบาดเจ็บของโจนส์นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นแค่จากความโชคร้าย แต่เรื่องการดูแลที่ผิดพลาดก็มีส่วนเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น ในปี 2017 ตอนนั้นฟิล โจนส์ อายุ 25 เริ่มจะคืนฟอร์มแล้ว โชเซ่ มูรินโญ่ ส่งลงเป็นตัวจริงบ่อยขึ้น แต่เขาเดี้ยงเพิ่มไปอีกจากเกมของทีมชาติอังกฤษ
1
ในเดือนพฤศจิกายน 2017 อังกฤษลงเล่นเกมอุ่นเครื่องกับเยอรมัน สภาพร่างกายของโจนส์ ไม่เต็มร้อยนัก ปรากฏว่าแกเร็ธ เซาธ์เกต ให้โจนส์ฉีดยาแก้ปวดเพื่อฝืนลงสนาม สุดท้ายก็มาเจ็บเพิ่มจริงๆ ต้องพักยาว
มูรินโญ่เฉ่งแหลกทันที โดยกล่าวว่า "ตั้งแต่ผมทำงานมา 17 ปี ไม่เคยมีนักเตะแม้แต่คนเดียวที่ถูกฉีดยาแก้ปวดเพื่อลงเล่นในเกมอุ่นเครื่อง คือถ้าเป็นเกมทางการ แมตช์สำคัญ ผมไม่โวยหรอก แต่เกมอุ่นเครื่องเนี่ยนะ? ฟิล โจนส์โดนฉีดก่อนเกม และพอลงเล่น 25 นาที เขาก็โดนเปลี่ยนตัวออก และลงเล่นให้กับสโมสรเราไม่ได้"
ถามว่าฝีเท้าของโจนส์โอเคไหม คำตอบคือมีคุณภาพในระดับที่ยอมรับได้ ดูได้จากการที่โค้ชทุกคนมีเขาอยู่ในทีมเสมอ ทั้งเฟอร์กี้, ฟาน กัล, มูรินโญ่ รวมถึงโอเล่ กุนนาร์ โซลชา สังเกตได้ว่าแม้โจนส์จะเล่นบ้าง ไม่เล่นบ้าง แต่ทีมก็ยังต่อสัญญากันไปเรื่อยๆ ล่าสุด ต่อยาวกันถึงปี 2023
จริงๆ ในยุคของโซลชา เหมือนโจนส์จะพอเห็นลู่ทางในการคัมแบ็กกลับมาได้ แต่ก็มาเจออาการเจ็บที่หนักที่สุดในการค้าแข้ง ในช่วงเดือนมกราคม 2019 อีก โดยเป็นอาการที่หัวเข่า แล้วต้องพักฟื้นนาน 18 เดือน
1
โจนส์เล่าว่า "ผมวิ่งไม่ได้ แค่งอขายังไม่ได้ สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือเดิน ผมคิดว่าทุกอย่างมันจบแล้ว ผมไปหาคุณหมอแล้วบอกว่าพอกันที ผมเบื่อกับการฉีดยา การผ่าตัด ผมอยากให้มันสิ้นสุดเสียที"
"นั่นคือจุดต่ำสุดในชีวิตของผม ผมจำได้ว่า ผมบอกกับภรรยาว่า ผมไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปอีกแล้ว แล้วเราทั้งคู่ก็ร้องไห้ด้วยกัน"
การได้เล่นหลากหลายตำแหน่งเกินไป และอาการบาดเจ็บ เป็นเรื่องที่ทำให้ฝีเท้าของฟิล โจนส์ ดร็อปลงมาเรื่อยๆ จนนำมาสู่เหตุผลที่ 3 ของความตกต่ำนั่นคือ "การกลายเป็น Meme (มีม) ล้อเลียนของแฟนบอล"
ฟิล โจนส์เป็นคนออกแอ็กชั่นท่าทางเยอะ สีหน้าของเขาโดนหยิบไปล้อเลียนประจำ นอกจากนั้น การที่ร่างกายฟิตบ้าง เจ็บบ้าง ทำให้เวลาลงสนาม เขาสร้างความผิดพลาดให้เกิดขึ้นหลายครั้ง ทำเข้าประตูตัวเองบ้าง เคลียร์วืดบ้าง จนโดนแฟนบอลทั้งทีมตัวเอง และทีมอื่นแซวยับ
นั่นทำให้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2017 ฟิล โจนส์ ไม่ทวีตอะไรอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตามด้วยพยายามเลิกเล่นอินสตาแกรม เพราะทนไม่ได้กับการโดนเหยียดหยาม
1
ฟิล โจนส์ บอกว่าตัวเขาไม่ได้อะไรหรอก แต่มันรู้สึกแย่ที่ภรรยา และลูกๆ รวมถึงเพื่อนๆ ต้องมาเห็นเขาถูกด่าทอลักษณะนั้น
โจนส์กล่าวว่า "นักฟุตบอลทุกคน จะมีสิ่งที่แฟนบอลนึกถึงในแว้บแรก และสำหรับผมสิ่งที่แฟนบอลคิดถึงขึ้นมาทันทีคือ 'เรามาหัวเราะใส่มันดีกว่า' เมื่อเป็นแบบนั้น ผมจึงตัดสินใจเลิกเล่นโซเชียลมีเดียไปเลย"
แม้จะพยายามเลิกเล่น แต่โจนส์ก็ยังต้องเห็นคำด่าทอ และการโดนแซวลงในโลกออนไลน์อยู่เรื่อยๆนั่นแหละ (รวมถึงการโดนด่าต่อหน้าด้วย) ดังนั้นมันก็ต้องมีผลต่อจิตใจของเขาเช่นกัน
ชีวิตของเขาต้องสู้กับอาการบาดเจ็บ และการแย่งตำแหน่งในทีม ซึ่งก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว แล้วยังต้องมารองรับอารมณ์ของคนที่อยากล้อเลียนเขาอีกอย่างนั้นหรือ?
1
3 เหตุผลประกอบกัน ทำให้ฟอร์มโดยรวมของฟิล โจนส์ ดร็อปลงเรื่อยๆ หลังจากเข่าหายเจ็บ โจนส์ก็พยายามกลับมาฟิตร่างกาย จนได้ลงเล่นในลีกสำรองของทีมอยู่พักหนึ่ง
และในที่สุด การรอคอยอันยาวนาน 707 วันของเขาก็สิ้นสุดลง เมื่อราล์ฟ รังนิก ส่งโจนส์ลงเล่นในเกมพรีเมียร์ลีก นัดแรกของปี 2022 ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ในเกมเจอวูล์ฟแฮมป์ตัน
1
โอเคว่า แมนฯ ยูไนเต็ดอาจจะแพ้ แต่ฟิล โจนส์ก็ได้รับคำชมเยอะว่า เล่นได้ไม่เลว ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของเขาในการตั้งหลักอาชีพนักฟุตบอลให้เข้าที่เข้าทางอีกครั้ง
โจนส์ปัจจุบันอายุ 29 ปี เขายังมีสัญญากับแมนฯ ยูไนเต็ด ถึงเดือนมิถุนายนปี 2023 ดังนั้นยังไม่สายเกินไปที่จะเร่งฟอร์มตอนนี้ อนาคตถ้าหมดสัญญาแล้ว ก็อาจได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรใหม่ ที่จะมีโอกาสลงสนามเยอะขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
ณ ปัจจุบันนี้ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก โจนส์อยู่กับแมนฯ ยูไนเต็ดมาแล้ว 10 ปีครึ่ง นั่นแปลว่า เขามีสิทธิ์ขอสโมสรจัดการแข่งขันเทสติโมเนียล แมตช์ได้
ในวงการฟุตบอลอาชีพ คำว่าเทสติโมเนียล แมตช์ คือเกมเกียรติยศ ที่สโมสรจะตอบแทนผู้เล่นที่จงรักภักดีกับทีมมาอย่างยาวนาน โดยทั่วไปคือ 10 ปี ซึ่งเงินรายได้จากตั๋วเข้าชม สโมสรก็จะมอบให้นักเตะไปเลย เพื่อให้เอาไปเป็นทุนชีวิตหลังจากแขวนสตั๊ดไปแล้ว
ที่ผ่านมา นักเตะของแมนฯ ยูไนเต็ด แทบทุกคน หากใครอยู่กับทีมถึง 10 ปี ก็จะขอใช้สิทธิ์จัดเทสติโมเนียล แมตช์กันทั้งนั้น เช่น
- ไรอัน กิ๊กส์ (แมนฯ ยูไนเต็ด vs เซลติก)
- รอย คีน (แมนฯ ยูไนเต็ด vs เซลติก)
- เวย์น รูนี่ย์ (แมนฯ ยูไนเต็ด vs เอฟเวอร์ตัน)
- แกรี่ เนวิลล์ (แมนฯ ยูไนเต็ด vs ยูเวนตุส)
- พอล สโคลส์ (แมนฯ ยูไนเต็ด vs นิวยอร์ก คอสมอส)
- โอเล่ กุนนาร์ โซลชา (แมนฯ ยูไนเต็ด vs เอสปันญ่อล)
- ไมเคิล คาร์ริก (แมนฯ ยูไนเต็ด 08 XI vs ไมเคิล คาร์ริก ออลสตาร์)
เทสติโมเนียลแมตช์ จะได้เงินก้อนโต อันนั้นแน่นอน แต่เอาจริงๆ เรื่องเงินคงไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด เพราะสิ่งที่มีความหมายมากกว่า คือการได้รับรู้ว่าแฟนบอลทั้งสนาม เขายอมจ่ายเงินเพื่อคุณคนเดียว มันเป็นอะไรที่สุดยอดจะตายไป
อย่างไรก็ตาม ฟิล โจนส์ ตัดสินใจปฏิเสธการใช้สิทธิ์นี้ เขาไม่ขอจัดเทสติโมเนียล แมตช์ โดยให้เหตุผลว่า "นอกจากแม่กับพ่อ ใครจะเสียเงินเข้ามาดูผมล่ะ?"
4
เป็นการตัดพ้อที่คนฟังอาจจะขำดี แต่ในอีกมุมมันก็เศร้าเหมือนกัน คือโจนส์รู้ดีว่าแม้ตัวเองจะอยู่กับทีมมายาวนาน แต่ Status ความเป็นตำนาน ก็ไม่สามารถเทียบเคียงกับนักเตะคนอื่นๆ ได้
โจนส์กับโซลชา อยู่กับแมนฯ ยูไนเต็ดในระยะเวลาพอๆ กัน แต่ความเป็น Legend เขาไม่สามารถเทียบได้เลย เจ้าตัวเองก็รู้ดี และสังหรณ์ใจว่าถ้ากล้าจัดเทสติโมเนียล แมตช์ขึ้นมาจริงๆ แล้วมีแฟนบอลเข้ามาดูหลักพัน จากสนามเต็มความจุเจ็ดหมื่น เขาจะเอาหน้าไปไว้ไหน ดังนั้นจึงไม่กล้ามากพอ ที่จะขอจัดเทสติโมเนียล แมตช์ เหมือนคนอื่นๆ
สำหรับเส้นทางอาชีพของฟิล โจนส์ นับจากวันนี้ไป เขายังเหลือสัญญากับทีมปีศาจแดงอีก 1 ปีครึ่ง บางทีถ้าในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ เขาไม่มีอาการบาดเจ็บ แล้วกลับมาเล่นได้อย่างเต็มที่ พาสโมสรคว้าแชมป์อะไรสักอย่างเป็นการส่งท้าย คงเป็นการแยกจากกันที่สวยงาม
บางทีถ้าพาทีมได้แชมป์อะไรสักอย่างจริงๆ ถึงจุดนั้นตัวฟิล โจนส์ อาจมีความรู้สึกว่า ตัวเองคู่ควรมากพอแล้ว ที่จะมีเทสติโมเนียล แมตช์ของตัวเอง
#LIFECHANGE
โฆษณา