26 ม.ค. 2022 เวลา 03:37 • หุ้น & เศรษฐกิจ
หุ้นน่าซื้อวันนี้ 26 ม.ค. 65 โบรกมองหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวออกข้างกรอบเคลื่อนไหว 1,625-1,650 จุด ด้วยวอลุ่มการซื้อขายที่เบาบางระหว่างลุ้นผลการประชุมเฟดพรุ่งนี้เช้า คาดตลาดหุ้นโลกฟื้นตัวหลังผลออกมาอย่างเป็นทางการ เน้นพื้นฐานดี-แลกการ์ด
บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีความผันผวนเมื่อคืนนี้ โดยดัชนีหุ้นเทคโนโลยี NASDAQ ปิดลบมากกว่าดัชนี Dow Jones และ S&P 500 แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้ง 3 ดัชนี ไม่ได้ลงไปต่ำกว่าจุดต่ำสุดของวันก่อนหน้าสะท้อนว่า จิตวิทยาการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มมีความเสถียรมากขึ้น ด้านดัชนี VIX Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 4.2% ปิดที่ 31.16 นับเป็นการปิดเหนือระดับ 30 ครั้งแรกของปีนี้ แน่นอนว่า ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลก จับตามอง คือ การประชุม Fed ค่ำคืนนี้
โดยมุมมองของตลาดผ่านผลสำรวจล่าสุดของ CNBC เกี่ยวกับแนวทางของ Fed บ่งชี้ว่า ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ เชื่อว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน มี.ค. และปีนี้จะขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อยสามครั้ง ขณะที่การลดขนาดงบดุลจะเริ่มต้นในเดือน ก.ค. และปีนี้ ขนาดงบดุลจะลดลงราว 3.8 แสนล้านเหรียญฯ
ภาพระยะสั้นวันนี้ เราประเมินทิศทาง SET INDEX แกว่งตัวออกข้าง กรอบ 1,630-1,650 จุด ด้วยวอลุ่มการซื้อขายที่เบาบาง เพื่อรอดูผลการประชุม Fed เราเชื่อว่า มีความเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นโลก จะฟื้นตัวหลังการประชุม Fed ด้วยเม็ดเงินที่กลับเข้ามา Buy on Fact โดยเราประเมินว่า Fed ไม่น่าจะส่งสัญญาณที่เป็นลบมากกว่าคาดการณ์ของตลาด ซึ่งจะช่วยให้บรรยากาศการลงทุนคลายความกดดันในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม IMF เปิดเผยประมาณการเศรษฐกิจโลกรอบใหม่เมื่อวานนี้ คาด GDP โลกปีนี้ เติบโต 4.4% ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 4.9% แต่มีการปรับเพิ่มประมาณการปี 2566 จาก 3.6% เป็น 3.8%
โดยมีการปรับลดประมาณการปีนี้ลงหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ จาก 5.2% เหลือ 4.0%, ยูโรโซน จาก 4.3% เหลือ 3.9%, จีน จาก 5.6% เหลือ 4.8% เหตุผลหลัก คือ การแพร่ระบาดของสายพันธุ์ Omicron, ปัญหา Supply Chain Disruption รวมถึง การปรับนโยบายการเงินตึงตัวเร็วขึ้น
ส่วนประเทศไทย IMF ปรับคาดการณ์ GDP ลงจาก 4.5% เป็น 4.1% สำหรับปีนี้ แต่ปีหน้า ปรับเพิ่มขึ้นจาก 4.0% เป็น 4.7%
หุ้นเด่นวันนี้ แนะนำ 4 ตัว ตัวแรกคือ KBANK เราคงมุมมองบวกต่อกลุ่มธนาคารในปี 2565 ได้แก่ 1. การตั้งสำรองคาดลดลง YoY 2. เป็นหุ้นกลุ่มหลักที่ได้ประโยชน์จากการไหลเข้าของกระแสเงินทุนต่างชาติ 3. Bond Yield ทั่วโลกมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวของสหรัฐฯ เป็นบวกต่อกลุ่มธนาคาร
KBANK มีจุดเด่นเรื่องการลงทุนระบบเทคโนโลยี จึงมีความสามารถในการปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเพื่อเข้าสู่ยุคของ Digital Asset เพื่อต่อยอดรายได้ใหม่ๆให้กับธนาคาร ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PBV เพียง 0.7 เท่า vs SCB ที่ 1 เท่า
หุ้นเด่นถัดมาคือ MAKRO เราเริ่มต้นคำแนะนำด้วย “ซื้อ” จากจุดเด่นคือ ผู้นำธุรกิจค้าปลีก, ค้าส่งอาหารสดและสินค้าอุปโภคบริโภค ก้าวขึ้นสู่ผู้นำระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดว่าด้วยการประหยัดต่อขนาดและการใช้ระบบบริหารจัดการสินค้าร่วมกันระหว่าง MAKRO-LOTUS จะส่งผลให้อัตรากำไรในระยะยาวของบริษัทปรับตัวขึ้น
ดังนั้น เราคาดกำไร 3 ปีข้างหน้าเติบโตเฉลี่ย (CAGR) สูงถึง 40% คาดกำไรปี 2565 เติบโต +93% YoY เป็น 1.26 หมื่นลบ. และปี 2566 เติบโต +44% YoY เป็น 1.8 หมื่นลบ. ราคาปัจจุบันต่ำกว่าราคา PO ที่ 43.50 บาท น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว
หุ้นเด่นอีกตัวคือ MFEC เราประเมินว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสเกิด Buy on Fact หากการประชุมเฟดในคืนนี้ ไม่ได้ส่งสัญญาณเชิงลบในการตึงตัวนโยบายการเงินมากกว่าคาดของตลาด หากเป็นไปตามคาด เราเชื่อว่าหุ้นกลุ่ม Tech ของสหรัฐฯ มีโอกาสฟื้นตัวแบบ Technical Rebound
ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง และต้องการเก็งกำไรในประเด็นดังกล่าว เราให้ MFEC เป็นตัวเลือกเพื่อเก็งกำไร เนื่องจาก คาดกำไร 4Q64 เติบโต YoY และ QoQ และมี Valuation ไม่แพง ที่ระดับ PER2565 ราว 15 เท่า ต่ำกว่าหุ้นในกลุ่ม Digital Transformation ที่ซื้อขายระดับ PER2565 สูงกว่า 40 เท่า
หุ้นเด่นสุดท้าย SABINA ภาพทางเทคนิค แนวต้าน 22.00 บาท แนวรับ 21.20 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 20.80 บาทคาดกำไรปกติ 4Q64 ที่ 92 ลบ. เพิ่มขึ้น +31% YoY และ +67% QoQ ดีที่สุดในรอบ 2 ปี จากการฟื้นตัวของรายได้ และการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่ปี 2565 คาดกำไร +39% YoY เป็น 400 ลบ.
บล.เอเซีย พลัส มองว่า ตลาดหุ้นโลกยังคงผันผวน โดยนักลงทุนเฝ้ารอดูการประชุม Fed ในคืนนี้ รวมถึงยังมีปัจจัยเสี่ยงจากทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ เป็นตัวเร่งให้นักลงทุนเบนมาสนใจหุ้นคุณค่า (Value Stock) หนุนผลตอบแทนดัชนี MSCI World Value ให้ผลตอบแทน -2.6% แข็งแกร่งกว่าหุ้นเติบโต (Growth Stock) อย่างดัชนี MSCI World Growth ให้ผลตอบแทน -13.6%
ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไทยมีโครงสร้างเกราะป้องกันความผันผวนในช่วงนี้ จากสัดส่วนหุ้นพลังงานกับธ.พ. รวมกันสูงถึง 31% ของมูลค่าตลาดรวม และเศรษฐกิจยังมีโอกาสฟื้นตัวเด่น หลังประเด็นกดดันจากโควิดเริ่มเบาลง หนุน Fund Flow จากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยสูงสุดในภูมิภาคทั้งในสัปดาห์นี้ และตลอดเดือน ม.ค. 65 ที่ผ่านมา กว่า 106 ล้านเหรียญ (wtd) และ 449 ล้านเหรียญ (mtd) ตามลำดับ
แม้ปัจจัยภายนอกยังผันผวน แต่ฝ่ายวิจัย ASPS คาดว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ยังมีความแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้วหลายๆ แห่ง ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index 1,625 - 1,655 จุด กลยุทธ์เน้นหุ้นพื้นฐานดีราคา Laggard อิงการฟื้นตัวเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก
หุ้นเด่นวันนี้มี 3 ตัว นำโดย MAKRO (FV@49.60) ราคาหุ้นไม่ควรอยู่ในระดับก่อนได้ Lotus'sคาดกำไรปกติ 4Q64 ลดลงเล็กน้อย 5.9%yoy แม้ธุรกิจค้าส่งหนุนจากยอดขายสาขาเดิม (SSSG) เติบโตได้ราว3% จากอานิสงส์กิจกรรมเศรษฐกิจฟื้นกลับ แต่หักล้างจากธุรกิจค้าปลีก Lotus's ที่รวมงบเข้ามาราว 2 เดือนยังกระทบจากธุรกิจพื้นที่เช่า รวมถึงต้นทุนธุรกรรมรับโอน Lotus's เข้ามา (EBT)
ทั้งนี้ กำไรดังกล่าวยังไม่รวมรายการพิเศษที่อาจเกิดจากธุรกรรม EBTผลบวกจะชัดขึ้น เมื่อรวม Lotus's เต็มที่, การเริ่มนำเงินPO ที่ได้ไปคืนหนี้, การฟื้นตัวธุรกิจพื้นที่เช่า+ขยายตัวทั้งสาขาและออนไลน์ธุรกิจหลค้าส่ง+ค้าปลีก ภายใต้มุ่งเน้นสินค้าถนัดอาหารสด หนุนกำไรปี 2565-66 โตปีละ32.8% PER'65 และ PER'66 ต่ำเหลือ 30.3 และ 22.3เท่า เหมาะลงทุนกลาง-ยาว
หุ้นเด่นตัวถัดมาคือ STEC (FV@18.2)เริ่มฟื้นไข้ กำลังจะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆการทำงานหน้างานกลับสู่ภาวะปกติ คาดจะเห็นรายได้ฟื้นตัวชัดเจนใน 4064 ต่อเนื่องถึงปี 2565 ที่ประเมินรายได้ก่อสร้างเติบโตไม่ต่ำกว่า 20%YOY จาก Backlogปัจจุบันที่มี 9.5หมื่นล้านบาท ไม่รวมงานรอเซ็นสัญญา อย่างรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ, O&M มอเตอร์เวย์ 2เส้นทางและส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีชมพูเข้าเมืองทองธานี รวมไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาทราคาหุ้นยัง Laggard หุ้นในกลุ่มเดียวกันอยู่มาก
โดยในปี2021 ปรับขึ้น 15.7% ขณะที่ CK +38% ITD +105%NWR 74% เป็นต้น ขณะที่พื้นฐานแข็งแกร่งทั้งBacklog และฐานะการเงิน ประเมิน FV อิง PER 24 เท่าให้ราคาเหมาะสม 18 บาท
และหุ้นเด่นตัวสุดท้ายคือ CPALL (FV@70.2) น่าสะสมรอรับการฟื้นตัวเด่นปี 2565คาดว่ากำไร CPALL จะกลับมาฟื้นตัวได้ถึง 107% ในปี2565 สูงขึ้นจากฐานปี 2564 ที่ต่ำลง โดยผลกระทบการถือหุ้น MAKRO ลดลงราว 54.7% หลัง MAKRO ขายหุ้น PO รวมกับที่ CPALL จะขายหุ้น MAKRO บางส่วนพร้อม PO จะช่วยให้ MAKRO และ CPALL ได้เงินมาคืนหนี้ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ Lotus's
การฟื้นตัวจะมาจากผลบวกที่คาด SSSG ทุก Formatและพื้นที่เช่า CPRD (Lotus's) คาดฟื้นตัวตามภาพรวมกิจกรรมเศรษฐกิจ , ท่องเที่ยวที่กลับมา และมาร์จิ้นที่ลดลงฟื้นตัวขึ้นจากผลกระทบ COVID ที่ลดลงโดยเฉพาะสินค้ามาร์จิ้นสูงในส่วน CPALL, MAKROและธุรกิจพื้นที่เช่า Lotus's คาดเติบโตต่อเนื่องอีก24.8% ในปี 2566
บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า วันนี้คาด SET ลุ้นฟื้นตัว ในกรอบแนวรับ 1,630 จุด และแนวต้าน 1,660 จุด เน้นหุ้นแนวโน้มกำไรเติบโต
โดย หุ้นเด่นวันนี้แนะนำ SCGP แนวโน้มต้นทุนเศษกระดาษจะเริ่มลดลงจากภาวะอุปทานที่สูงขึ้น หนุนให้อัตราการทำกำไรช่วง 1Q65 จะเพิ่มขึ้นเป็นบวกต่อแนวโน้มพลประกอบการปี65 โดยเราคาดกำไรหลักปี 65 จะเติบโตเด่น +32%YoYจากทั้งการขยายกำลังผลิตและ M&Pปีที่แล้วและปีนี้ยังมีแนวโน้ม M&P เพิ่มเติม เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 75 บาท
หุ้นเด่นอีกตัวคือ SPRC คาดความต้องการใช้น้ำมันยังคงปรับตัวขึ้นเด่น ตามเศรษฐกิจทั่วโลกที่ฟื้นตัว หนุนค่การกลัน และspread ยังคงเดินหน้า ในขณะที่กำลังการผลิตทั่วโลกยังออกมาค่อนข้างจำกัด คาดจะช่วยหนุบกำไร และหนุนการกลับมาจ่ายปันผล โดยเราประเงินอัตราปันผลปนี้สูงราว 4.5% เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 11.2 บาท
บล.ไทยพาณิชย์ คาด SET เคลื่อนไหวภายในกรอบระหว่าง 1,623-1,648 จุด เพื่อรอผลประชุมเฟดในคืนนี้ โดยให้ระวัง negative surprise เช่น การขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 3 ครั้งในปีนี้ และ/หรือ QE จบเร็วกว่าคาด และ/หรือ QT เร็วและแรงกว่าคาด จะเป็นปัจจัยกดดันตลาดต่อ แนวรับ 1,630 - 1,623 แนวต้าน 1,648 - 1,655 จุด หากขึ้นทะลุผ่านได้ จะเห็นภาพการฟื้นตัวชัดขึ้น
แม้ตลาดมองข้ามความเสี่ยง Omicron และรับรู้เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว แต่ยังไม่รับรู้มากนักสำหรับประเด็นความเสี่ยงที่เฟดจะลดขนาดงบดุล (QT) ทำให้กลยุทธ์การลงทุนจึงยังคงเน้น Selective Buy ในหุ้นคุณภาพดี ดังนี้
Core Portfolio : คงน้ำหนักพอร์ตไว้ที่ 50% ในหุ้นพื้นฐานดีและผลการดำเนินงานมีแนวโน้มโตดี หรือเป็นหุ้น S-Curve อย่าง KBANK, GPSC, INTUCH, SPALI, AMATA, LH ,GULF, DELTA ,ADVANC ,ONEE
Weekly Portfolio : สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำ เก็งกำไรน้ำหนักไม่เกิน 25% ในหุ้นที่คาดหวังเกิดการรีบาวน์ได้หลังทราบผลประชุมเฟด เลือก SYNEX, SINGER, ACE, HANA, KCE
หุ้นเด่นวันนี้แนะนำ KCE (ราคาเป้าหมาย IAA consensus 96.83 บ.) มองราคาปรับลงแรงในระดับหนึ่งแล้ว (-15.1%YTD) สวนทางกำไรที่คาดโต 35% YoY ในปี 65 และ PTTEP (ราคาเป้าหมาย 159.00 บ.) ซึ่งได้โมเมนตัมบวกจากราคาน้ำมันปรับขึ้นแรง (WTI +2.8%DoD) อีกทั้งผลประกอบการ 4Q64 คาดแข็งแกร่ง
บล.กสิกรไทย คาดว่าดัชนีวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,630-1,655 จุด หุ้นเด่นวันนี้ แนะนำ TU ราคาปัจจุบัน 20.40 บาท ราคาเป้าหมาย 22.40 บาท หุ้นเด่นตัวถัดมาคือ SINGER ราคาปัจจุบัน 48.25 บาท ราคาเป้าหมาย 53 บาท และตัวสุดท้ายคือ AWC ราคาปัจจุบัน 4.72 บาท ราคาเป้าหมาย 5.20 บาท
อัตราแลกเปลี่ยนและราคาทองคำ ประจำวันที่ 26 มกราคม 65
เงินบาทวันนี้ ! แข็งค่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯร่วงหนัก IMF หั่นจีดีพี
ราคาทองคำวันนี้  คงที่ รูปพรรณขาย 29,300 บาท
ติดตามข่าวหุ้น-การลงทุนทางไลน์
โฆษณา