28 ม.ค. 2022 เวลา 13:11 • หุ้น & เศรษฐกิจ
🔥BREAKING !!🔥 : เลวร้ายกว่า Super-Bubble !? ล่าสุด Jeremy Grantham นักลงทุนระดับตำนานได้ออกมากล่าวย้ำอีกครั้งว่าตอนนี้วิกฤตในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังเลวร้ายกว่าที่เขาเคยเตือนว่าเป็น Super Bubble เสียอีก !! นักลงทุนควรตระหนักเรื่องนี้โดยด่วน ! ขณะที่หุ้นยังโดนเทขายทั่วโลก
4
📌 ในขณะที่ดัชนีหุ้นทั่วโลกยังโดนเทขายและปิดตลาดในโซนสีแดงยกกระดานในวันนี้ โดยเฉพาะ Tesla ที่ปิดตลาดเมื่อเช้าถึง -11% !! (และยังโดนเทขายในช่วง Pre-Market จนตอนนี้อยู่ใกล้ระดับ 820 ดอลลาร์แล้ว) ใครที่ติดตาม World Maker มาโดยตลอด คงรู้แล้วว่าก่อนหน้านี้นักลงทุนระดับตำนานอย่าง Jeremy Grantham ผู้ซึ่งรอดตายจากวิกฤตครั้งใหญ่ของตลาดการเงินโลกมาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง ได้ออกมาเตือนโดยใช้คำพูดอย่างชัดเจนว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังอยู่ในภาวะฟองสบู่ลูกใหญ่มากหรือที่เรียกว่า Super-Bubble !
แค่คำพูดเดียวจากนักลงทุนที่ได้ชื่อว่าเป็น "ตำนาน" ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่มันกลับไม่ใช่แค่นั้น !! เพราะล่าสุดเขาได้ออกมาเตือนอีกครั้งว่าตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าวิกฤตมันเลวร้ายกว่านั้น !! (หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็น Mega Bubble เลยทีเดียว) โดย Grantham เน้นย้ำว่าเขาต้องการให้คนตระหนักถึงมันให้มากที่สุดและเร่งด่วนมากที่สุด
1
ราคาหุ้น Tesla ร่วงลงอย่างรุนแรง
📌 ไม่รู้ว่า Grantham แค่พยายามจะพูดให้คนกลัวหรือไม่ ? แต่สีหน้าและแววตาของเขานั้นจริงจังมากในเรื่องนี้ โดยเขาให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า
"ภาวะโกลดิล็อคส์* (Goldilock) ในช่วงตลอด 25 ปีที่ผ่านมากำลังจะสิ้นสุดลง และโลกจำเป็นต้องเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตของอัตราเงินเฟ้อ, การเติบโตที่ชะลอตัวลง และภาวะขาดแคลนแรงงาน
(The Goldilocks period of the past 25 years is ending, and the world needs to prepare for a future of inflation, slower growth and labor shortages.)
* Goldilock หมายถึงภาวะที่เศรษฐกิจจริง (Real Economy) อยู่ในจุดครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะโตก็ไม่โตเต็มที่ แต่ก็ไม่ชะลอตัว ขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ-เงินฝืดก็ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่โน้มเอียงไปทางใด ซึ่งถือเป็นภาวะที่ทรงตัวและส่งผลดีต่อราคาหุ้น (เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานในภาค Real Sectors นั้นทรงตัวหรือค่อนข้างทำนายได้ ดังนั้นจึงส่งผลให้นักลงทุนมั่นใจในแนวโน้ม และทำให้มีการประเมินมูลค่าหุ้นสูงขึ้น)
2
“มีน้ำมันราคาถูก นิกเกิลราคาถูก ทองแดงราคาถูก เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเราเริ่มที่จะก้าวพ้นขอบเขตของคำว่าถูกแล้ว การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศกำลังมาพร้อมกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ ภัยแล้งที่รุนแรง และอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรที่ทำให้การทำฟาร์มเกษตรง่ายขึ้นเลย ดังนั้น เราจะอยู่ในโลกของปัญหาคอขวด, การขาดแคลน และราคาที่พุ่งสูงขึ้นในทุกหนแห่ง”
(There’s only a certain amount of cheap oil, cheap nickel, cheap copper, and we are beginning to hit some of those boundaries, Climate change is coming with heavy floods, serious droughts and higher temperatures -- none of these make farming easier. So, we’re going to live in a world of bottlenecks and shortages and price spikes everywhere.)
📌 Grantham ในวัย 83 ปี "ยืนกราน 100%" ว่าเรื่องทั้งหมดที่เขากล่าวมานั้น "เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้" เพราะนอกจากที่โลกของเรากำลังอยู่ในภาวะขาดแคลนวัตถุดิบแล้ว คนรุ่น Baby Boomers กำลังเกษียณอายุไป ขณะที่อัตราการเกิดของทารกทั่วโลกกำลังลดลง ส่วนประเทศตลาดเกิดใหม่ก็อยู่ในภาวะที่กำลังเติบโตครบวงวัฏจักร และยังมีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์/การเมือง ที่ปะทุขึ้นอีก ทำให้เขามองว่าแนวโน้มที่เกิดขึ้นตลอดหลาย 10 ปีที่ผ่านมานี้ แทบจะเป็นสิ่งที่หยุดยั้งไม่ได้แล้ว
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Grantham กล่าวว่าภาวะ Super-Bubble ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอนนี้จะทำให้ดัชนีหลักอย่าง S&P 500 ร่วงลงอย่างน้อยเกือบ 50% และกล่าวว่าแม้แต่ FED ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการเกิดขึ้นนี้ได้ หรือกล่าวง่าย ๆ คือ Grantham มองว่า "ยังไงก็ต้องเกิด"
ขณะเดียวกัน ถ้าเราจับตาดูสัญญาณล่าสุดของ FED ตามที่ World Maker วิเคราะห์คือ ดูเหมือน FED จะส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่าเป้าหมายหลักคือการชะลออัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น ไม่ใช่การรักษาระดับของตลาดหุ้น
ดังนั้น แม้ว่านักลงทุนที่มีความเห็นตรงกันข้ามกับ Grantham จะมีสิทธิในการไม่เชื่อเขาและกล่าวโต้แย้ง แต่หลักการบริหารความเสี่ยงที่ดีนั้น เราไม่ควรละเลยคำเตือนใด ๆ จากผู้เชี่ยวชาญ ที่ดูแล้วมีความเป็นไปได้จะเกิดขึ้นจริง และในสภาวะที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูงแบบนี้ เราก็ควรเพิ่มความระมัดระวังให้สูงขึ้นในการซื้อขายหุ้นครับ
📌 Grantham กล่าวตำหนิอีกว่า ฟองสบู่ลูกนี้เกิดขึ้นจาก FED ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือตัวผู้คนเอง ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ภาวะการเงินตึงตัว หรืออื่น ๆ โดยเขาให้เหตุผลเอาไว้ว่าฟองสบู่ลูกนี้ แสดงถึงแนวโน้มของมนุษยชาติที่ดำเนินชีวิตเลินเล่อเกินไป โดยเฉพาะการตอบสนองต่อกิเลสในขณะที่นโยบายทางการเงินอยู่ในภาวะผ่อนคลาย และความมักง่าย อยากจะได้เงินมาง่าย ๆ (Easy Money) ยกตัวอย่างเช่น การใช้ Debt Complexity เพื่อผลักดันมูลค่าตลาด โดยที่เศรษฐกิจจริงไม่ได้โตตาม
ซึ่งเขาพฤติกรรมเหล่านี้ของมนุษย์เอง เป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และในการที่มนุษย์ส่วนใหญ่ทำเช่นนั้น มันทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งกำลังส่งผลกระทบออกมาในรูปแบบของความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ (โดยเฉพาะสำหรับคนจน) และการกระจายตัวของสังคม* (societal fragmentation)
1
* Societal Fragmentation หรือการกระจายตัวของสังคม หมายถึงการที่ส่วนต่าง ๆ ของสังคมกระจัดกระจายกันไป ขาดการประสานงาน ขาดความร่วมมือ ขาดการติดต่อสื่อสาร ซึ่งถือเป็นช่องว่างของความไม่เท่าเทียมกันในระบบ
Grantham กล่าวต่อว่า การเติบโตของมลพิษตลอด 100 ปีที่ผ่านมา และการแสวงหามาตรฐานชีวิตที่สูงขึ้นของมนุษย์ ได้ทำลายระบบนิเวศน์ไปอย่างมาก และทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปถาวร ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ป่า พืชพรรณ และสายพันธุ์แห่งชีวิตต่าง ๆ สูญเสียไปมาก บ้างก็สูญพันธุ์ไปเลย และนั่นหมายถึงการที่ "ความหลากหลายทางชีวภาพกำลังถูกทำลาย" ขณะที่การสืบพันธุ์ของมนุษย์เองก็ลดลงเรื่อย ๆ
1
“เราได้เผาผลาญทรัพยากรไปมากกว่าที่ความสามารถในระยะยาวของโลกจะตอบสนองให้แก่เราได้ ธรรมชาติกำลังเริ่มพังทลายลง และท้ายที่สุด หากเราไม่แก้ไข เราก็จะเริ่มพังทลายลงเช่นเดียวกัน”
(We have simply shot way beyond the long-term capacity of the planet to deal with us, Nature is beginning to fail. And in the end, if we don’t fix that, we begin to fail as well.)
อย่างไรก็ตาม เราปฏิเสธไม่ได้ว่าความแก่ชราและความจริงจังกระตือรือร้นของ Grantham นั้น ทำให้นักวิเคราะห์ฝ่ายตรงข้ามมักจะมองว่าเขาเป็น too much of a Chicken Little หรือ "ทำตัวไก่ตื่น" มากเกินไป ซึ่งตรงนี้ผู้อ่านคงต้องใช้วิจารณญาณของตัวเองตัดสินเอาครับ ว่าคำเตือนของ Grantham นั้นเป็นอย่างไร
1
📌 ทั้งนี้ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา มีหลายครั้งที่ Grantham เริ่มออกมากล่าวว่าเขาไม่มั่นใจในการประเมินมูลค่าหุ้นของตลาด และนักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น แต่ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นยังคงปรับตัวสูงขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยที่ยังไม่เกิดภาวะฟองสบู่แตก ทำให้หลายคนมองว่า Grantham นั้นมีความ Bearish (มุมมองเชิงขาลง) ต่อตลาดมากเกินไป และยังพลาดโอกาสในการทำกำไรไปหลายครั้งเนื่องจากความ Bearish ของเขาเอง
1
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่ Grantham กล่าวด้วยความมั่นใจเท่ากับ 2 ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา โดยเขาเองก็ยอมรับว่าก่อนหน้านี้เขายังไม่มั่นใจ แต่จาก 2 ครั้งล่าสุดที่ผ่านมานี้ เขาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขามั่นใจแทบจะ 100% แล้วที่ฟองสบู่ตลาดหุ้นจะต้องแตกออกในเร็ว ๆ นี้ หรือกำลังแตกออกแล้ว
อนึ่ง แม้ว่าจะมีคนมากมายที่คอยโต้แย้งมุมมองของ Grantham และแม้ว่าเขาจะมองตลาดผิดไปหลายครั้ง แต่เมื่อดู Performance ของจริง โลกไม่อาจละสายตาไปจาก Grantham ได้เลย เพราะเขายังถือเป็น 1 ในสุดยอดนักลงทุนของโลกตลอดกาล โดยล่าสุดกองทุน GMO ของเขาเป็นเพียงกองทุนแห่งเดียวใน 9 แห่งใหญ่ ๆ ที่สามารถทำผลตอบแทนตลอด 5 ปีที่ผ่านมาได้เหนือกว่า Performance ของดัชนีหุ้นทั่วโลกอย่าง MSCI World Index
📌 หากเราย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของคำทาย Grantham เริ่มส่งเสียงเตือนอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2021 แล้วว่าให้นักลงทุนเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด (Worst Case Scenario) แต่ตลอดปี 2021 พบว่าตลาดหุ้นยังปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ S&P 500 ทำ All Time High ใหม่กว่า 50 ครั้ง และนั่นทำให้มุมมองของ Grantham ดูไม่มีความน่าเชื่อถือ
2
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปีมานี้ เชื่อว่านักลงทุนหลายคนคงหันกลับมาสนใจคำพูดของเขากันมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว เพราะแม้ว่าดัชนีหุ้นรวมยังไม่ได้ร่วงลงเกือบ 50% ตามที่เขาทำนายไว้ แต่เมื่อหันกลับไปดูหุ้นรายตัว เราพบว่ามีหลายบริษัทแล้วที่ร่วงลงมากกว่า 40-50%
1
ARK Innovation ที่เคยเป็นกระแสร้อนแรงล่อตาล่อใจนักลงทุน ตอนนี้ ติดลบกว่า -50% เมื่อเทียบจากปีที่แล้ว ! เรียกได้ว่าสภาพไม่ต่างจากหุ้นจีนในปี 2021 เลยทีเดียว
ส่วนกองทุนของ Grantham ตอนนี้ มีการลงทุนในธุรกิจยุคใหม่ ๆ อย่างเช่น พลังงานหมุนเวียน ไปจนถึงเทคโนโลยีดักจับคาร์บอน ซึ่งทำให้มองเห็นอย่างชัดเจนว่า Grantham กำลังเชื่อในอุตสาหกรรมพลังงานสีเขียว
ขณะเดียวกัน Bloomberg เปิดเผยว่าเขา Short Sell ดัชนี Nasdaq และ Russell 2000 เพื่อเป็นการทำ Hedging ในการลงทุนธุรกิจพลังงานสะอาด
📌 โดยทาง GMO นั้นมีกลยุทธ์หนึ่งที่ชื่อว่า Equity Dislocation Strategy ซึ่งใช้การวิเคราะห์ช่องว่างในการประเมินมูลค่าที่ลดลง (narrowing valuation gap) ระหว่างหุ้นราคาถูกและหุ้นราคาแพง เพื่อหาจุด Short Sell
แต่ถึงกระนั้น ต้องเข้าใจว่าการเปิด Short Sell ไม่ใช่กลยุทธ์หลักของ Grantham ในขณะที่เขากล่าวว่าการเล็งเป้ากลยุทธ์นี้ไปที่ดัชนี Nasdaq และ Russell 2000 นั้น เหตุผลก็เพราะว่าดัชนีเหล่านี้มีบริษัทที่เป็น Zombie Company (ไม่สามารถทำกำไรและเติบโตได้จริง) อยู่มากมาย ดังนั้นการประเมินมูลค่าในปัจจุบันนั้นถือว่าสูงไปอย่างมาก
📌 ยิ่งไปกว่านั้น Grantham ยังกล่าวอีกว่า คำพูดที่ว่า "ไม่ขายไม่ขาดทุน" นั้นสามารถใช้ได้จริงเสมอ แต่มันต้องแลกมาด้วยการสูญเสียระยะเวลาในการคืนทุนและทำผลกำไรไปอย่างมาก โดยเขายกตัวอย่างวิกฤตในอดีตเช่น
1
1. The Great Depression (1929) : Dow Jones ต้องใช้เวลาฟื้นตัวถึง 25 ปี
2. Dot-Com Crisis (2000) : Nasdaq100 ต้องใช้เวลาฟื้นตัวถึง 15 ปี
3. Subprime Crisis (2008) : S&P 500 ต้องใช้เวลาฟื้นตัวถึง 5 ปีครึ่ง
ดังนั้น Grantham จึงย้ำให้นักลงทุนทุกคนตระหนักถึงการบริหารความเสี่ยงให้ดี โดยเขาได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ว่า
“ถ้าคุณคิดว่าคุณสามารถยืนหยัด(ถือหุ้นรอคืนทุนจากวิกฤต)ไปได้อีก 10 หรือ 20 หรือ 30 ปี ผมก็ยินดีด้วย แต่ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาบอกว่าพวกคุณหลายคนจะไม่ทนกับเรื่องนี้”
1
(If you think you can stand it for 10 or 20 or even 30 years, be my guest, But history says a lot of you will not stand it.)
และไม่ว่าตลาดการเงินโลกจะเคลื่อนไหวอย่างไรในปี 2022 นี้ นักลงทุนไม่ต้องกลัวว่าจะพลาดข่าวสารที่สำคัญไปครับ เพราะ Wolrd Maker จะนำข้อมูลสำคัญมาอัปเดตให้ทราบตลอดปีนี้อย่างแน่นอน
ทันโลก ทันเหตุการณ์ ทันข่าวสารอย่างแท้จริงไปกับ World Maker
🙏 ขอบคุณทุกท่าน 🙏 ที่ติดตาม World Maker ฝากกด Like และ Share เพื่อเป็นกำลังใจและให้นักลงทุนท่านอื่นได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์เหล่านี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ 😊
References :
1
โฆษณา