3 ก.พ. 2022 เวลา 00:09 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
เหตุใด Generation Z จึงตกหลุมพรางข้อมูล fake news ทางแพลตฟอร์มออนไลน์มากที่สุด
2
ต้องบอกว่าเป็นงานวิจัยจากบทความของ MIT Technology Review ที่น่าจะขัดกับความเชื่อของหลาย ๆ คน ที่กล่าวว่าคนยุคใหม่โดยเฉพาะ Gen Z นั้นกลายเป็นเหยื่อมากที่สุดของการเผยแพร่ข้อมูล Fake News บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในโลกออนไลน์
4
เหตุใด Generation Z จึงตกหลุมพรางข้อมูล fake news ทางแพลตฟอร์มออนไลน์มากที่สุด
ตัวอย่างที่น่าสนใจ เมื่อเด็กสาววัยรุ่นมองกล้องอย่างจริงจัง เฟรมสั่นไหวขณะที่เธอเอียงโทรศัพท์ไปที่ใบหน้าของเธอ คำบรรยายภาพที่ซ้อนทับบนเสื้อฮู้ดของเธอมีคำเตือนที่สุดโต่งมาก ๆ : หากโจ ไบเดนได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา “ทรัมป์” จะสังหารหมู่ LGBT และคนผิวสีจำนวนมาก
1
คำอธิบายภาพอีกอย่างหนึ่งใต้วีดีโอกล่าวว่า “นี่คือ ww3 จริงๆ” วิดีโอนั้นถูกโพสต์บน TikTok เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2020 และมีคนกดถูกใจมากกว่า 20,000 ครั้ง ในช่วงเวลานั้น คนหนุ่มสาวอีกหลายสิบคนได้ share คำเตือนที่คล้ายคลึงกันบนโซเชียลมีเดีย และโพสต์ของพวกเขาก็มีคนเข้ามาดู ชอบ และแสดงความคิดเห็นหลายแสนคน
2
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องเท็จแทบจะทั้งสิ้น แล้วเหตุใดจึงทำให้คนในยุค Generation Z จำนวนมาก ที่มีอายุอยู่ในช่วงระหว่าง 9 ถึง 24 ปีซึ่งน่าจะเข้าใจโลกดิจิทัลมากกว่าคนรุ่นก่อนจึงเสพข้อมูลผิด ๆ อย่างโจ่งแจ้ง?
8
นักวิจัยจาก Stanford Internet Observatory ได้ทำการวิเคราะห์การแพร่กระจายของข้อมูลที่ผิดทางออนไลน์ โดยได้มีการศึกษาแคมเปญต่างๆ จากต่างประเทศบนโซเชียลมีเดียและตรวจสอบว่าข้อมูลที่ผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งปี 2020 และวัคซีนโควิด-19 แพร่ระบาดไปในโลกออนไลน์ได้อย่างไร
5
ซึ่งข้อมูลที่น่าสนใจจากงานวิจัยพบว่าคนหนุ่มสาวมีแนวโน้มที่จะเชื่อและส่งต่อข้อมูลที่ผิดๆ มากขึ้น หากพวกเขารู้สึกถึงตัวตนที่เหมือนกันกับบุคคลที่แบ่งปันข้อมูลนั้นตั้งแต่แรก
6
เมื่อวันรุ่นจะตัดสินใจว่าสิ่งใดควรเชื่อถือได้ และสิ่งใดควรเพิกเฉยหรือตั้งข้อสงสัย วัยรุ่นมักจะใช้บริบทจากความเชื่อมโยงทางสังคมและชื่อเสียงส่วนบุคคลที่พัฒนาขึ้นจากประสบการณ์ที่แบ่งปันกันมานานหลายปี ซึ่งทำให้พวกเขารู้ว่าสมาชิกครอบครัว เพื่อน และ influencer คนใดที่พวกเขาจะเชื่อได้
5
ผู้มีอิทธิพลหรือเหล่า influencer จึงกลายเป็นผู้ส่งสารที่เชื่อถือได้ในหัวข้อที่พวกเขาแทบจะไม่มีความเชี่ยวชาญ จากการสำรวจของ Common Sense Media วัยรุ่น 60% ที่ใช้ YouTube เพื่อติดตามเหตุการณ์ปัจจุบันหันไปหา influencer มากกว่าองค์กรข่าวที่มีความน่าเชื่อถือกว่า
6
เหล่าครีเอเตอร์ที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับวัยรุ่น ข้อมูลต่าง ๆ ของพวกเขาจะถูกยกระดับกลายเป็นเรื่องจริงที่น่าเชื่อถือแทบจะทั้งหมด ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องจริง ๆ อย่างยากเย็นแสนเข็ญ
3
คนหนุ่มสาวมีแนวโน้มที่จะเชื่อและส่งต่อข้อมูลที่ผิดๆ มากขึ้น หากพวกเขารู้สึกถึงตัวตนที่เหมือนกันกับบุคคลที่แบ่งปันข้อมูลนั้นตั้งแต่แรก
2
ส่วนใหญ่เป็นข่าวลือเรื่องแผนการใช้ความรุนแรงหลังการเลือกตั้ง บุคคลที่ share คำเตือนเหล่านี้นั้นล้วนมีความสัมพันธ์กับผู้ฟังอย่างลึกซึ้ง หลายคนเป็นคนผิวสีและเป็น LGBT อย่างเปิดเผย
5
และโพสต์ต่างๆ ของเหล่า influencers มักเป็นหัวข้อที่วัยรุ่นคุ้นเคย เช่น ความขัดแย้งในครอบครัวและการดิ้นรนต่อสู้ในชั้นเรียน ความรู้สึกของประสบการณ์ร่วมกันนี้ทำให้พวกเขาเชื่อได้ง่าย แม้ว่าจะไม่ได้มีการเสนอหลักฐานใดๆ สำหรับเรื่องราวเหล่านั้นก็ตามที
5
สิ่งที่ทำให้เรื่องแย่ลงไปอีกคือข้อมูลที่ล้นเกินไปในยุคปัจจุบันที่ผู้คนจำนวนมากต้องเจอบนโซเชียลมีเดีย นั่นเองเป็นเหตุผลให้เราไว้วางใจและแบ่งปันข้อมูลที่มีคุณภาพต่ำกว่า ข่าวลือเรื่องการเลือกตั้งปรากฏขึ้นท่ามกลางโพสต์อื่นๆ อีกหลายสิบโพสต์ในฟีด TikTok ของวัยรุ่น
3
นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่มีเวลาคิด ไตร่ตรอง วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการข้อมูลในแต่ละครั้ง ความพยายามใด ๆ ที่จะท้าทายข่าวลือนั้นถูกโจมตีด้วยการแสดงความคิดเห็นแย้งแทบจะในทันที
4
ในขณะที่คนหนุ่มสาวมีส่วนร่วมในการอภิปรายทางการเมืองในแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น และดึงดูดผู้คนที่มีความคิดเหมือนๆ กัน เข้ามาสนทนาในหัวข้อเดียวกัน แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะมีศักยภาพที่จะให้อำนาจแก่กลุ่มคนชายขอบ แต่ก็ทำให้เกิดภัยคุกคามของข้อมูลผิดที่แพร่ระบาดไปในโลกออนไลน์ ซึ่งทำให้สุดท้ายผู้คนที่รวมกันเป็นหนึ่งด้วยอัตลักษณ์เดียวกันจะพบว่าตนเองอ่อนแอต่อการได้รับข้อมูลผิด ๆ นั่นเอง
4
แล้วใครควรรับผิดชอบ?
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียสามารถใช้อัลกอริธึมการแนะนำที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลายข้อมูลมากกว่าโพสต์ที่เป็นคลิกเบต นักข่าวต้องยอมรับว่าผู้อ่านจำนวนมากได้รับข่าวจากโพสต์บนโซเชียลมีเดียที่มองผ่านเลนส์ของอัตลักษณ์ของพวกเขาเป็นหลัก
2
ผู้กำหนดนโยบายต้องควบคุมแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและผ่านกฎหมายเพื่อจัดการกับข้อมูลที่ผิดทางออนไลน์ และนักการศึกษาก็ต้องมีการสอนนักเรียนให้ประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลของพวกเขาได้
2
ต้องบอกว่าการสนทนา ถกเถียง ในโลกออนไลน์ที่มีข้อมูลพรั่งพรูมากจากแหล่งต่าง ๆ มากมายในปัจจุบันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และอันตรายของข้อมูลที่ผิดสามารถเติมเชื้อเพลิงไฟความขัดแย้งให้แพร่กระจาย อย่างที่กลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลกในตอนนี้นั่นเองครับผม
3
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
อย่าลืมเข้าไปพูดคุยกันในกลุ่มสำหรับ Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
คลิกเลย --> https://bit.ly/3E2DdM8
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
1
โฆษณา