13 เม.ย. 2022 เวลา 05:23 • นิยาย เรื่องสั้น
“เวรกรรม”
มือสองข้างของเฮียติ่ง จับชะแลงงัดยางออกมาจากขอบล้อเป็นจังหวะอย่างคล่องแคล่ว
สายตาแกกวาดหารอยแตก แยก ปริ ตะปู หรือหัวน๊อต อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นสาเหตุทำให้ยางรั่ว
“เจอแล้วเป็นตะปูเกลียวครับ สองแผล” เฮียติ่งชี้ให้ลูกค้าดูแผลที่ยาง ก่อนบอกว่า
“เดี๋ยวปะแบบสตรีมให้ พี่นั่งรอเดี๋ยว ไม่นานครับ”
จากนั้น เฮียติ่งใช้เครื่องเจียรด้านในยางรถที่เป็นแผลให้พอสากๆแล้วเอานิ้วจุ่มกาวทาจนทั่ว พอกาวหมาด แกนำ”ยางปะ” ชิ้นเล็กวางปิดที่แผล แล้วใช้เครื่องกดความร้อนกดทับจน ”ยางปะ”ละลายเป็นเนื้อเดียวกับยางรถ แกเอามันไปใส่ขอบล้อ สูบลม ต่อจากนั้นนำน้ำมาหยดทดสอบที่แผลด้านนอกของยาง ไม่มีฟองอากาศปุดออกมา การปะยางก็เป็นอันเรียบร้อย
พอใส่ล้อขันน๊อตเสร็จ เฮียติ่งจัดการเช็คและสูบลมยางทั้งสี่ล้อให้ลูกค้าตามความต้องการ
“ ปะยางสองแผล 400 ถ่วงล้ออีก 100 ทั้งหมด 500 บาทครับ” เฮียติ่งบอกลูกค้า เมื่อรับเงินมาแล้ว แกโค้งขอบคุณอย่างสุภาพแล้วพูดกับลูกค้าว่า “ขอบคุณมากครับ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ”
เกือบจะสามทุ่มแล้ว แต่ลูกค้าที่มาปะยางกลับมากเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงสงกรานต์ ที่ผู้คนเดินทางออกต่างจังหวัดมากกว่าปกติหลายเท่า
1
ร้านปะยางของเฮียติ่ง เปิดสิบโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม ตั้งอยู่ด้านหลังปั๊มแก๊ส ข้างทางคู่ขนานขาออกของถนนพระราม2 ก่อนถึงสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลองไม่มากนัก ในร้านนอกจากเจ้นงค์ที่เป็นเมียเฮียติ่งทำหน้าที่เก็บเงินแล้ว ยังมีลูกมืออีกสองคน คือ ดำ กับ สิงห์
ห่างจากร้านเฮียติ่งย้อนขึ้นไปไม่ถึงสามกิโลเมตร มีร้านปะยางอีกร้านหนึ่งเป็นของเฮียตุ๋ย พี่ชายของเฮียติ่ง ที่เปิดตอนสี่ทุ่มถึงสิบโมงเช้า บริเวณนี้จึงเป็นกิจการปะยางของสองพี่น้องที่เวลาเปิดปิดสับหว่างไม่แข่งกันเอง
ปกติแล้วในช่วงวันหยุด จะมีลูกค้ามาปะยางที่ร้านเฮียติ่งแค่สี่ถึงห้ารายต่อวัน ส่วนใหญ่เป็นรถปิกอัพขนผลไม้หรืออาหารทะเล ลูกค้าอีกส่วนหนึ่งนำรถมาเติมลม ซึ่งมีทั้งเติม”ไนโตรเจน” และเติม “ลมธรรมดา”
ตอนสี่ทุ่ม เจ้นงค์ เดินออกมาจากหลังร้าน ยิ้มแย้มแล้วพูดกับเฮียติ่งว่า
“วันนี้ลูกค้าเยอะนะเฮีย รวมเงินดูได้ร่วมๆ หมื่นบาท”
“บ๊ะ ได้อย่างนี้ทุกวันก็ดี” เฮียติ่งพูด “นงค์คอยดูต่อไป รายได้ของเราต่อจากนี้ไม่ต่ำกว่าเดือนละแสน”
“จะได้ยังไงเฮีย เดือนก่อนว่าดีแล้ว ยังได้แค่ห้าหมื่น”
“น่า เชื่ออั้วเหอะ คอยดูก็แล้วกัน” เฮียติ่งพูดอย่างมั่นใจ
ร้านปิดแล้ว เฮียติ่ง กับ ไอ้สิงห์ นั่งกินเบียร์อยู่หน้าร้าน
“สิงห์ ก่อนรุ่งเอ็งเอาตะปูไปโรยอีกนะ คราวนี้ ขยับที่โรยให้เลยร้านเฮียตุ๋ยให้มากหน่อย กะว่าพอเหยียบแล้ว ไปได้ไม่ไกล”
“ครับเฮีย ผมกะว่าให้มาตายแถวร้านเฮียตุ๋ย กะร้านเรา” สิงห์ตอบ “ว่าแต่ เฮียอย่าลืมส่วนแบ่งผมนะครับ”
“เออ อั้วไม่ลืม มึงทำให้เรียบร้อย อย่าให้คนเห็น”
“วางใจได้เฮีย ไม่มีคนเห็นแน่ ตรงนั้นไม่มีกล้อง เมื่อวานผมสำรวจแล้ว”
อนงค์ แปลกใจที่สี่ห้าวันมานี้ ลูกค้าปะยางเพิ่มขึ้นมาก ในใจไม่เคยคิดว่าเป็นเรื่องผิดปกติ แต่คงเป็นเพราะผลบุญที่เธอชอบเข้าวัด ตักบาตรและทำทานอยู่เนืองๆ ผลกรรมดีเลยตอบสนอง แต่อย่างไรก็อดถามสามีไม่ได้
“เฮีย สี่ห้าวันนี้ รายได้ร้าน ได้วันละหมื่นกว่าๆ ทุกวันเลย” เจ้นงค์พูด “เฮียว่าเพราะอะไร”
“เฮียไม่รู้ แต่เคยบอกนงค์แล้วว่าเราจะได้เดือนละไม่ต่ำกว่าแสน เชื่อเฮียยัง?”
“จ้า นงค์เชื่อ นงค์จะได้เอาเงินไปทำบุญมากหน่อย เผื่อผลบุญจะทำให้การค้าเราเจริญยิ่งขึ้น” เจ้นงค์พูดเสียงหวาน
“เอาเลย ตามใจนงค์” เฮียติ่งพูด พร้อมกับหันไปรับลูกค้าที่เพิ่งขับรถเข้ามาจอดที่หน้าร้าน
ผ่านมาได้เดือนเศษ กิจการร้านปะยางของเฮียติ่งและเฮียตุ๋ย ดีขึ้นผิดหูผิดตา จนชาวบ้านแถวนั้น ร่ำลือว่าสองพี่น้องมีของขลัง บางคนมาหาเพื่อขอบูชาของขลัง แต่เฮียติ่งไล่กลับไปทุกราย
“อั้ว ไม่มีของขลังอะไร อยากรวยก็รีบกลับไปทำมาหากินซิวะ” เฮียติ่งพูดตัดบทกับทุกราย
ส่วนไอ้สิงห์ หลังจากได้ส่วนแบ่งจากเฮียติ่ง ก็หน้าใหญ่เลี้ยงเหล้าคนที่หอพักทุกวัน บางคนที่ไอ้สิงห์ชวนมากินเหล้าเป็นคนที่มาอยู่ใหม่ แต่มันไม่สนอะไร เพราะมีเงินซะอย่าง และภูมิใจมากว่าพวกที่มา ล้วนเรียกมันว่า “ลูกพี่” และเยินยอยกย่องมันราวเทวดา ไม่ว่าจะคุยโตโอ้อวดอะไร พวกนั้นก็เป็นลูกคู่เห็นดีเห็นงามไปหมด ไม่เว้นแม้แต่เรื่องที่มันคุยโตว่าเฮียติ่งมีส่วนแบ่งพิเศษให้มันเกือบทุกวัน
วันหนึ่งสองทุ่มแล้ว ไม่มีลูกค้า เจ้นงค์ นั่งนับเงินอยู่ในร้าน พลางคิดในใจ ‘ป่านนี้ เตี่ยของเฮียติ่ง น่าจะมาถึงแล้วนี่นา แกโทรบอกออกมาจากขอนแก่นตั้งแต่บ่ายโมง’
พลางนึกย้อนไปเดือนก่อนที่เธอโทรหาเตี่ยของเฮียติ่ง บอกว่ากิจการที่ร้านระยะหลังนี้ดีมาก เตี่ยบอกว่า”ดี ดี ไอ้ติ่งไม่เคยบอกอั้วเลย เกือบปีแล้วที่ไม่โทรหาอั้ว”
เธอเลยชวนเตี่ยให้มาเที่ยวที่ร้าน เพราะตอนนี้มีเงินจะรับรองเตี่ยอย่างดี เตี่ยดีใจและรับปากว่าจะมา แกบอกว่า “ไม่ต้องบอกมันนะนงค์ ฉันจะมาเซอร์ไพรส์มัน” แต่วันนี้แกยังมาไม่ถึง เธอวิตก
เสียงโทรศัพท์มือถือเฮียติ่งดังขึ้น ทำให้เจ้นงค์ตื่นจากภวังค์ เฮียติ่งกดรับสาย
“ว่าอะไรนะ” เฮียติ่งร้องเหมือนตกใจอะไร “เตี่ย เตี่ย รถคว่ำ” แกร้องดังกว่าเดิม
“นงค์ ไปโรงพยาบาลบ้านแพ้วกับเฮีย ไอ้สิงห์ ไอ้ดำ ปิดร้าน”
ไม่ไกลไอ้สิงห์ได้ยินเสียงเฮียติ่งชัด มันใจหายวาบ เมื่อตอนโพล้เพล้ มันออกไปโรยตะปู แต่คราวนี้ ด้วยความโลภ อยากได้ส่วนแบ่งมากขึ้น นอกจากจะโรยตะปูเกลียวหนึ่งนิ้วตามคำสั่งเฮียแล้ว มันยังโรยตะปูสองนิ้วเพิ่มไปด้วยอีกกำมือ
ที่โรงพยาบาล เฮียติ่งและเจ้นงค์ ตรงไปที่หน้าห้องฉุกเฉิน ซึ่งเฮียตุ๋ยกับเมียยืนอยู่ก่อนแล้ว
เฮียตุ๋ย ตาแดงก่ำ พูดกับเฮียติ่งว่า “หมอเพิ่งมาบอก เตี่ยเสียแล้ว”
เปลือกตาเฮียติ่งกระตุกเบาๆ ก่อนพูดเสียงสั่น “เตี่ย มาที่แถวบ้านเรา ทำไมไม่บอก เฮียรู้ไหม ถ้ารู้ก่อนจะได้ให้นั่งเครื่องบินมา”
“เตี่ยบอกนงค์ว่าจะมาเยี่ยมเฮียทั้งสองคน บอกว่าไม่ให้บอกใคร แกจะให้ลูกเซอร์ไพรส์” เจ้นงค์พูดเบาๆ เสียงดูเศร้า
“ติ่ง เจ้าหน้าที่กู้ภัยบอกเฮียว่า จุดที่เกิดอุบัติเหตุอยู่ในทางคู่ขนานไม่ไกลจากร้านของเฮีย ชาวบ้านบอกว่ารถเตี่ยมาด้วยความเร็วสูง ไม่ได้ชนกับรถอื่น จู่ๆก็เสียหลักกะทันหันพลิกคว่ำหนุนไปสองสามตลบ ก่อนที่รถจะไปฟาดเสาไฟฟ้าข้างทางอย่างแรงจนเสาหักสองท่อน ตัวรถบุบบี้” ก่อนที่จะพูดต่อ “หรือว่าจะเป็นจุด…” แล้วชะงักไป
เฮียติ่ง นิ่ง ดวงตาเศร้าหมอง นำ้ตานองสองแก้มก่อนคร่ำครวญว่า “เตี่ย เตี่ย เพราะผมเอง…ผมผิดเอง เตี่ยเลยต้องมาตาย”
ทั้งเจ้นงค์ และเมียเฮียตุ๋ย มองหน้ากันด้วยความสงสัย แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
หลังจากงานเผาศพเตี่ย ที่วัดใกล้บ้านผ่านไป วันหนึ่ง มีตำรวจหกนายมาที่ร้าน
บอกว่าไอ้สิงห์ และเฮียตุ๋ย ให้การสารภาพหมดแล้ว พร้อมกับแจ้งข้อหาเฮียติ่งทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเล็งเห็นผล ทำให้เสียทรัพย์ และกฎหมายเกี่ยวกับทางหลวง แล้วควบคุมตัวเฮียติ่งไปโรงพัก โดยเฮียติ่งไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ได้แต่ยืนนิ่งเหมือนหุ่นไม้
เจ้นงค์มองตามรถตำรวจที่ขับพาเฮียติ่งออกไปด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
เฮียติ่งให้การรับสารภาพทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นศาลว่าเป็นคนใช้สิงห์ไปโรยตะปู เป็นเวลากว่าสามเดือนแล้ว โดยมีเฮียตุ๋ยเป็นตัวการร่วม สุดท้ายศาลพิพากษาให้จำคุกสองพี่น้องและไอ้สิงห์คนละ 25 ปีหลังจากลดโทษให้กึ่งหนึ่งเพราะให้การรับสารภาพ
นักโทษทั้งสามคน ถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวไปขังที่เรือนจำจังหวัดสมุทรสงคราม
หลังจากเฮียติ่งถูกจำคุกได้หนึ่งเดือน เจ้นงค์ไม่เคยมาเยี่ยมเลย เฮียติ่งไม่ได้ข่าวคราวของเมีย ฝากคนรู้จักไปถามไถ่สองสามครั้ง ก็ไม่มีการติดต่อกลับมา
วันหนึ่ง ผู้คุมยื่นจดหมายให้เฮียติ่งทางช่องประตูห้องขัง “เอ้า อ่านซะ รออยู่ไม่ใช่
เหรอ” ผู้คุมพูด พร้อมกับยิ้ม ก่อนจะเดินออกไป
เฮียติ่งรับจดหมายมาด้วยมือที่สั่นเทา แกะซองออกอ่าน ในนั้นเขียนว่า
“เฮีย นงค์ไม่สามารถทนอยู่กับเฮียได้ต่อไป นงค์รับไม่ได้กับความคดโกงและเลือดเย็นของเฮีย เพียงเพื่อหวังเงินก็ทำสิ่งที่ไม่สามารถให้อภัยได้ เฮียไม่คิดเลยว่าถ้าเหตุร้ายไม่เกิดกับเตี่ย ก็ต้องเกิดกับครอบครัวของใครเข้าสักวัน ครั้งนี้เฮียควรเอาเป็นบทเรียน แต่เป็นบทเรียนราคาแพงที่ต้องแลกกับความสูญเสียและสิ้นหวัง นงค์จะกลับไปอยู่กับแม่ที่ลำปาง เราเลิกกันนะ …จากนงค์”
เฮียติ่งอ่านจบ น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว แกนอนลงบนพื้นห้องขังที่เก่าโทรม มีกลิ่นอับชื้นจางๆลอยมากระทบจมูก มองฝ้าเพดานสีเทาหม่น แล้วบอกตัวเองว่า ‘เตี่ยตาย ตัวเองติดคุก เมียทิ้ง เวรกรรมได้ตามสนองคนชั่วอย่างผมแล้ว’
โฆษณา