13 เม.ย. 2022 เวลา 12:19 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Vision zero เรียนรู้ความสำเร็จของนโยบายลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนของสวีเดน
1
การบริหารจัดการความปลอดภัยบนท้องถนนโดยปกติแล้วมักจะพยายามมุ่งไปที่การป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุเลย โดยมีสมมติฐานว่ามนุษย์ที่ขับขี่ยานพาหนะทุกคนนั้นสมบูรณ์แบบ ตัดสินใจได้ถูกต้องในทุกจังหวะ และถ้าหากเมื่อใดที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น นั่นคือ ความผิดพลาดของผู้ใช้ถนน
แต่เราก็รู้ว่ามนุษย์นั้นเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด โดยเฉพาะเวลาที่ต้องขับขี่ยานพาหนะบนท้องถนน และเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ตัดสินใจพลาด นั่นอาจหมายถึงชีวิตของใครสักคนที่ต้องดับลงได้เลย
เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ทางรัฐบาลสวีเดนจึงได้ริเริ่มแนวคิด Vision Zero เพื่อมุ่งหวังให้การเสียชีวิตและการบาดเจ็บอย่างร้ายแรงจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นศูนย์ ซึ่งรากฐานของนโยบายนี้เกิดจากการมองด้วยสมมติฐานว่า
“มนุษย์นั้นสามารถผิดพลาดกันได้ แต่ความผิดพลาดนั้นต้องไม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิต หรือสุขภาพของใคร”
4
จึงเริ่มออกแบบระบบคมนาคม เพื่อที่ว่าต่อให้เกิดอุบัติเหตุแล้วจะไม่ทำไปสู่อันตรายร้ายแรงตามมา โดยโฟกัสไปที่เรื่องของการออกแบบระบบถนน ยานพาหนะ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ถนน มากกว่าการโฟกัสไปที่พฤติกรรมในของผู้ใช้ถนนเป็นรายบุคคล
1
📌 Vision Zero…จากวิสัยทัศน์ สู่การนำไปปฏิบัติจริง
Vision Zero เป็นแนวคิดที่ถูกพูดถึงขึ้นมาตั้งแต่ปี 1994 และ 3 ปีต่อมารัฐบาลจึงได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติความปลอดภัยบนท้องถนน (Road Traffic Safety Bill) โดยให้ความสำคัญกับการสร้างมาตรฐานสำหรับผู้ที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม ซึ่งก็จะอยู่ในรูปแบบของกฎจราจร, มาตรฐานที่ใช้กับผู้ขับขี่, การออกแบบถนนและยานพาหนะ
1
แนวคิด Vision Zero ต้องการออกแบบระบบให้ผลกระทบร้ายแรงที่เกิดจากอุบัติเหตุน้อยที่สุด โดยพิจารณาในเรื่องของร่างกายมนุษย์ กับความเร็วของรถในระดับที่มนุษย์สามารถรับได้และไม่ถึงแก่ชีวิตหากเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นการดูแลให้ท้องถนนปลอดภัยจึงเป็นความรับผิดชอบของผู้ออกแบบระบบเป็นหลัก
ตัวอย่างเช่น
1) การให้ประชาชนมีทางเลือกหลายทางในการคมนาคม
เนื่องจากความหนาแน่นในเขตเมืองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องมีช่องทางการคมนาคมในหลายรูปแบบ รวมถึงเพิ่มความสะดวกในการเดิน และการใช้จักรยาน
2) การบังคับใช้ความเร็วจำกัด และหามาตรการที่ช่วยลดความเร็ว เช่น วงเวียน หรือเนิน ในเขตเมือง
1
เนื่องจากพบว่าอัตราความเร็วที่รถชนกับคนที่เดินถนนแล้วสามารถรอดชีวิตได้ คือความเร็วที่ต่ำกว่า 30 กม./ชม. จึงกำหนดให้ถนนที่มีทั้งรถและคนเดินเท้าสามารถใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 30 กม./ชม.
ส่วนทางแยกที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการชนจากด้านข้าง ให้ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 50 กม./ชม. และเนื่องจากพบว่าความเร็วที่ผู้ขับรถจะถูกชนจากด้านหน้าและมีโอกาสเสียชีวิตได้คือความเร็วที่เกินกว่า 70 กม./ชม. ในทางทฤษฎีแล้วการขับขี่บนท้องถนนจึงไม่ควรใช้ความเร็วเกินนั้น อย่างไรก็ตามหากต้องการใช้ความเร็วที่สูงกว่านั้นสามารถทำได้หากมีการออกแบบโครงสร้างเกาะกลางแบบเป็นราวหรือกำแพงกั้น (median barrier)
1
3) การปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยของยานพาหนะอย่างรอบด้าน
1
รถยนต์ที่ถูกผลิตขึ้นมาทุกวันนี้ โดยมากก็จะมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยทั่วไปอย่างเข็มขัดนิรภัย และถุงลมนิรภัยอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีระบบป้องกันการลื่นไถลซึ่งถูกนำมาใช้ในรถยนต์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และด้วยเทคโนโลยีล่าสุด ก็มีการนำระบบตรวจจับอัตโนมัติเข้ามาใช้เพื่อช่วยในการเบรก ทำให้มีความปลอดภัยทั้งต่อผู้ขับขี่และคนที่อยู่ข้างนอกรถมากยิ่งขึ้น
4) ความร่วมมือของรัฐและเอกชน
รัฐบาลสวีเดนและอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ร่วมมือกันในการพัฒนาความปลอดภัยของรถยนต์ เช่น Strategic Vehicle Research and Innovation programme (FFI) ที่เป็นความร่วมมือในการให้ทุนสำหรับงานวิจัย, นวัตกรรมและการพัฒนาเพื่อให้เกิดสภาพแวดล้อมในการขับขี่ที่ปลอดภัย นอกจากนี้ยังร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทเทคโนโลยี เพื่อแบ่งปันองค์ความรู้ และนำไปสู่การต่อยอดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ทุกคน
2
5) ส่งเสริมความรับผิดชอบของผู้ใช้ถนน
โดยผู้ขับขี่ยานพาหนะบนท้องถนนจะมีใบอนุญาตขับซึ่งสามารถถูกเพิกถอนได้ทุกเมื่อหากเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรง หรือเจ็บป่วยจนอาจเป็นอันตรายต่อการควบคุมรถได้ และอีกทั้งยังหาวิธีลดสัดส่วนคนเมาแล้วขับ เนื่องจากพบว่าอุบัติเหตุที่นำไปสู่การเสียชีวิตกว่า 25% ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับผู้ขับขี่ที่ดื่มแอลกอฮอล์
1
ที่ผ่านมาจำนวนผู้เสียชีวิตบนท้องถนนสวีเดนจึงลดลงเป็นอย่างมากนับตั้งแต่ปี 2000 จากที่เคยมีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 561 คน ลงมาเหลือเพียง 204 คน ในปี 2020 อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าผลของมาตรการนี้จะแผ่วลงแล้ว เนื่องจากตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา จำนวนผู้เสียชีวิตก็เริ่มคงที่ ไม่ได้ลดลงมามากๆ ดังเช่นในอดีต ทางรัฐบาลสวีเดน จึงเริ่มหาแนวทางเพิ่มเติม โดยเน้นการปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนและลดความผิดพลาดของมนุษย์
📌 เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ถนนของสวีเดน
แม้ว่ามาตรการ Vision Zero จะช่วยทำให้ถนนของประเทศสวีเดน ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในถนนที่มีความปลอดภัยมากที่สุดในโลก โดยมีผู้เสียชีวิตบนท้องถนนเฉลี่ย 3 คน ต่อประชากร 100,000 คนต่อปี (ในขณะที่ของไทยอยู่ที่ 32.7 คนต่อประชากร 100,000 คนต่อปี และถูกจัดอยู่ในกลุ่มถนนที่อันตรายที่สุดอันดับสองของโลก) ถึงอย่างนั้น
ทางรัฐบาลสวีเดนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและมองว่ายังสามารถเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนได้มากกว่าที่เป็นอยู่ โดยอาศัยการพัฒนายานยนต์และระบบโครงสร้างพื้นฐานคู่ขนานไปกับการพัฒนาดิจิทัลและระบบอัตโนมัติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและการบริหารการจราจรบนท้องถนน
ทั้งนี้ ทางรัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนระเบียบข้อบังคับต่างๆ ให้เอื้อต่อการสนับสนุนระบบการขับขี่อัตโนมัติและการปรับเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัล โดยเริ่มมีการทดลองใช้รถยนต์ไร้คนขับมาตั้งแต่ช่วงปี 2017 เพื่อหวังลดโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดจากคนที่ขับขี่ยานพาหนะบนท้องถนนทุกวัน และให้เกิดการพัฒนาระบบคมนาคมที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
1
นอกจากนี้ เพื่อพัฒนาความปลอดภัยในการคมนาคม รัฐบาลจึงวิเคราะห์หาแนวทางจากผู้ใช้ถนนทุกกลุ่ม เพื่อให้เข้าใจมุมมองของผู้ใช้ถนนทุกเพศ ทุกวัย หรือกลุ่มคนพิการ รวมถึงมองปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่ไปมีผลต่อการตัดสินใจเลือกวิธีการเดินทางของผู้คน เพื่อพัฒนาให้การคมนาคมนั้นมีความครอบคลุม และเกิดเป็นถนนที่มีความปลอดภัยสำหรับทุกคนในสังคมอย่างแท้จริง
3
ผู้เขียน: ชนาภา มานะเพ็ญศิริ Economist, Bnomics
ภาพประกอบ : จินดาวรรณ อรรถมานะ Graphic Designer, Bnomics
▶︎ ติดตามช่องทางของ Bnomics ได้ที่
Line OA : @Bnomics https://bit.ly/3eYkTJC
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
Reference :
โฆษณา