21 เม.ย. 2022 เวลา 12:19 • หุ้น & เศรษฐกิจ
โค้งสุดท้ายเลือกตั้งฝรั่งเศส ศึกตัดสินอนาคตประเทศและ EU
4
ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบสุดท้าย ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 24 เมษายน 2022 นี้ โดยในศึกครั้งนี้เป็นการย้อนรอยคู่ชิงเดิมจากเมื่อ 5 ปีก่อนอีกครั้ง เมื่อประธานาธิบดีคนปัจจุบัน นาย Emmanuel Macron ต้องมาชิงชัยกับ Marine Le Pen ผู้ท้าชิงคนเดิม
ในครั้งก่อน แม้คุณ Macron จะชนะไปด้วยคะแนนค่อนข้างขาดลอย 66.1% ต่อ 33.9% แต่ในการชิงชัยครั้งนี้ หลายโพลต่างคาดการณ์กันว่า จะเป็นการแข่งขันที่สูสีกว่าเดิมมาก และก็ยังมีประเด็นให้ประชาชนชาวฝรั่งเศสต้องถกเถียงและตัดสินใจมากขึ้น อาทิ ด้านเศรษฐกิจเองก็ดีหรือจะเป็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ในเรื่องความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในยูเครน
ซึ่งมุมมองต่อการจัดการปัญหาข้างต้นของทั้งสองคนก็มีความแตกต่างกันพอสมควร ทำให้ต่างฝ่ายต่างมีกลุ่มฐานคะแนนเสียงที่ต่างกันออกไป นอกจากนี้มุมมองที่ต่างกันเหล่านี้ ยังจะส่งผลต่อไปยังนโยบายที่ฝรั่งเศสจะมีในเรื่องความร่วมมือกับ EU และเศรษฐกิจในอนาคตต่อไปด้วย
ซึ่งประเด็นทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่ทาง Bnomics นำมาสรุปอยู่ในบทความนี้ให้ทุกคนอ่านกันครับ
📌 ทำความรู้จักเลือกตั้งฝรั่งเศส
ต้องขอเล่าเรื่องระบบการเลือกตั้งประธานาธิบดีของฝรั่งเศสว่าเป็นอย่างไรกันโดยสังเขปก่อน
โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีของฝรั่งเศสในปัจจุบัน ถูกแบ่งออกเป็นสองรอบด้วยกัน
ในรอบแรก จะมีผู้สมัครลงชิงชัยกี่คนก็ได้ แต่จะคัดเลือกผู้สมัครที่มีคะแนนเสียงสองอันดับแรกเข้าไปสู่การเลือกตั้งรอบที่สอง ซึ่งเป็นรอบสุดท้ายต่อไป
1
ยกเว้นแต่ว่า ในการเลือกตั้งรอบแรกนั้น จะมีผู้สมัครคนใดคนหนึ่งที่ได้คะแนนเสียงเกิน 50% ไปเลย คนๆ นั้นก็จะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี
แต่เหตุการณ์แบบนั้นก็เกิดขึ้นได้ยากมาก อย่างในการเลือกตั้งรอบแรกที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดี Macron ซึ่งเป็นผู้ที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด ก็ได้รับคะแนนเสียงเพียงแค่ 27.5% และก็ตามมาด้วยนาง Marine Le Pen ที่ 23.3%
2
ทำให้ต้องมีการจัดเลือกตั้งรอบที่สองระหว่างทั้งสองคนตามมา ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน 2022 ที่จะถึงนี้
📌 ประเด็นสำคัญสู่ชัยชนะรอบนี้
เราจะสรุปประเด็นสำคัญที่กำหนดผลแพ้ชนะรอบนี้เป็นข้อๆ ดังนี้
  • ในการเลือกตั้งหลายประเทศ ผู้ที่ดำรงตำแหน่งอยู่เดิมมักจะเป็นผู้ที่ได้เปรียบและมักจะได้รับการเลือกอีกครั้งหนึ่ง แต่ในฝรั่งเศสนั้นความได้เปรียบนั้นดูจะไม่มากนักหรืออาจจะไม่มีเลย โดยหากคุณ Macron ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเดิมชนะครั้งนี้ จะถือเป็นคนแรกในรอบ 20 ปี
  • ตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดผู้ชนะ คือ คะแนนเสียงของคนที่เลือกผู้สมัครคนอื่นก่อนหน้านี้ จะหันมาเลือกใครแทน
  • โดยผู้สมัครคนสำคัญก่อนหน้านี้อีกคนอย่างคุณ Jean-Luc Mélenchon ที่ได้คะแนนในการเลือกตั้งรอบแรกเป็นอันดับสาม 22% ออกมาพูดว่า “เขาไม่อยากให้คะแนนเสียงที่สนับสนุนเขาแม้แต่เสียงเดียว ไปสนับสนุนคุณ Le Pen” เนื่องจากทั้งสองมีแนวคิดการเมืองคนละขั้ว Mélenchon มีแนวคิดฝ่ายซ้าย ส่วน Le Pen มีแนวคิดฝ่ายขวา
  • อย่างไรก็ดี ทาง Mélenchon ที่ไม่สนับสนุน Le Pen ก็ไม่ได้ออกมาสนับสนุน Macron อย่างชัดแจ้งเช่นกัน
  • ประเด็นนี้ เรื่องแนวคิดการเมืองฝ่ายขวาและซ้ายในฝรั่งเศสค่อนข้างซับซ้อน ในขณะที่สองคนข้างต้นที่เรากล่าวไป Mélenchon มีแนวคิดเอียงซ้ายค่อนข้างมาก Le Pen เอียงขวาค่อนข้างมาก ตัวคุณ Macron เองกลับแนวคิดที่เป็น Centrist (กึ่งกลางระหว่างสองขั้ว) ทำให้กลายเป็นว่า ทั้งคนที่มีแนวคิดซ้ายสุดโต่งและขวาสุดโต่งต่างก็ไม่อยากเลือก Macron ด้วยกันทุกคู่ ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็เคยทำการประท้วงใหญ่ต่อการบริหารงานของคุณ Macron มาก่อนแล้วในปี 2018
  • ในตอนนี้คะแนนในโพลของคุณ Macron ยังนำอยู่ เช่น โพลของ Ifop-Fiducial ที่แสดงให้เห็นว่า นอกจากจะมีคะแนนนำแล้ว ก็ยังทำคะแนนทิ้งห่างคุณ Le Pen มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
  • แต่อีกตัวเลขที่น่าสนใจ คือ กลุ่มฐานเสียงที่เลือก Macron (รวมถึง Mélenchon) มักจะอยู่ในเมืองที่ร่ำรวย เช่น ปารีส บอร์กโดซ์ ลียง เป็นต้น
  • ในขณะที่เมืองที่ยากจนกว่า หรือ ก็คือเมืองแถบชนบทจะเลือก Le Pen ซึ่งนี่เองเป็นส่วนสะท้อนปัญหาสำคัญที่อยู่ในใจประชาชนในช่วงการบริหารของคุณ Macron ที่คนในชนบทยังรู้สึกถูกทอดทิ้งอยู่
6
  • และอันที่จริง ฐานเสียงคนชนบทก็ยังเป็นคนกลุ่มเดิมกับที่เลือก Le Pen เมื่อปี 2017 ด้วย แสดงได้จากการที่เมื่อ 5 ปีก่อน ยิ่งประชากรอยู่ห่างจากสถานีรถไฟเท่าไร (ซึ่งแปลว่าอยู่ห่างจากตัวเมืองไปด้วย) ก็ยิ่งมีแนวโน้มจะเลือก Le Pen มากขึ้นเท่านั้น
  • แปลว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา คุณ Macron แทบจะไม่สามารถแก้ปัญหาและเอาชนะใจคนเหล่านี้ได้เลย ดังนั้นในช่วงเวลาที่เหลือ ถ้าคุณ Macron อยากเอาชนะอย่างแน่นอน ก็ต้องหาวิธีดึงคะแนนจากคนกลุ่มนี้ให้ได้มากขึ้น
4
  • ในส่วนด้านนโยบายก็มีความสำคัญต่อการตัดสินผลแพ้ชนะ เริ่มด้วยนโยบายการต่างประเทศ ส่วนสำคัญคือ Le Pen เสนอว่า จะถอนฝรั่งเศสออกจากโครงสร้างภาระทางทหารของ NATO
  • เพราะเธอมองว่า องค์กรนี้สร้างขึ้นมาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับอเมริกามากกว่าคนอื่น
  • นอกจากนี้ ตอนแรกก็สร้างขึ้นมาเพื่อคานอำนาจกับสหภาพโซเวียด ในเมื่อตอนนี้โซเวียดล่มสลายไปแล้ว ก็ควรจะลดบทบาทในทวีปยุโรปลงได้แล้ว ซึ่งถ้าเธอชนะจริงก็จะส่งผลต่ออนาคตของ NATO และ EU แน่นอน และก็ยังมีนโยบายด้านผู้อพยพ ที่ทาง Le Pen ออกมาพูดว่า เธอจะมีการควบคุมการอพยพของคนเข้ามาในฝรั่งเศสมากขึ้นและสร้างความมั่นคงในชีวิต ซึ่งอาจจะไปขัดแย้งกับแนวทางของ EU ที่รับผู้อพยพหลากหลายเชื้อชาติมาตลอด
  • แต่นักวิชาการหลายคนต่างชี้ว่า ประเด็นสำคัญที่จะตัดสินผลการเลือกตั้งจริงๆ จะเป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจและปากท้อง ที่ตอนนี้ปัญหาเงินเฟ้อจากราคาพลังงานที่สูงกำลังเพิ่มต้นทุนในการใช้ชีวิตของคนฝรั่งเศสมากขึ้นเรื่อยๆ
  • ที่ทาง Le Pen ออกมาบอกว่า การคว่ำบาตรรัสเซียของเธอ จะไม่มีการออกนโยบายที่จะต้องทำให้คนฝรั่งเศสเจ็บตัวเอง แต่ Macron ไม่ได้แสดงท่าทีเรื่องนี้ชัดเจน
  • และก็มีประเด็นสำคัญในการเพิ่มอายุการเกษียณงานจาก 62 เป็น 65 ปี ที่ทางคุณ Macron กำลังผลักดันอยู่ ที่สร้างความไม่พอใจให้หลายคน
  • แต่ข้อได้เปรียบสำคัญของคุณ Macron ก็ยังมีอยู่ เมื่อมองย้อนประวัติศาสตร์กลับไป ฝรั่งเศสไม่เคยเลือกประธานาธิบดีผู้มีแนวคิดขวาสุดโต่งมาก่อน และด้วยความไม่แน่นอนของสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้น หลายคนก็มองว่า การเลือกคนที่เป็นผู้ดำเนินการเจรจาอยู่ก่อนแล้ว น่าจะทำให้สถานการณ์มีเสถียรภาพมากกว่า
  • แต่เหตุผลเหล่านี้ ก็ไม่ได้หมายถึงว่า ประชาชนในฝรั่งเศสชื่นชอบคุณ Macron มากเป็นพิเศษ ตรงกันข้าม มันเหมือนกับว่า ที่ต้องเลือก Macron เหมือนกับทางเลือกบังคับที่แย่น้อยกว่าการไปเลือกคุณ Le Pen แทน
ผู้เขียน : ณัฐนันท์ รำเพย Economist, Bnomics
ภาพประกอบ : จินดาวรรณ อรรถมานะ Graphic Designer, Bnomics
▶️ ติดตามช่องทางของ Bnomics ได้ที่
Line OA : @Bnomics https://bit.ly/3eYkTJC
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
Reference :
เครดิตภาพ : AFP Photo
โฆษณา