21 เม.ย. 2022 เวลา 23:28 • หุ้น & เศรษฐกิจ
3 ข้อมูลสำคัญในการดูหุ้นกลุ่มธนาคาร
ช่วงนี้เป็นช่วงที่งบการเงินไตรมาส 1/65 ของหุ้นกลุ่มธนาคารออกกันมา งบการเงินของธนาคารมี 3 ข้อมูลสำคัญที่ควรรู้จักในการอ่านงบการเงิน ไปอ่านกันว่ามีอะไรบ้าง...
งบการเงินของธนาคารที่ทยอยออกกันมา เราสามารถเข้าไปหาอ่านได้ในเว็บไซต์ของ set ในหัวข้อ “ข่าว” ตรงหุ้นที่เราสนใจนะ
1. NPL คือ non-performing loans ก็คือ “เงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ”
มารู้จักการจัดชั้นหนี้กันก่อน โดยแบ่งตามอายุการค้างจ่ายหนี้
1. ชั้นปกติ อายุการค้างขำระหนี้ น้อยกว่า 1 เดือน ก็คือการชำระหนี้เกิดขึ้นตามปกติ ไม่มีปัญหาอะไร
2. ชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ เริ่มที่จะมีปัญการจ่ายเงินต้น และดอกเบี้ย อายุการค้างชำระหนี้ อยู่ในช่วง 1-3 เดือน
3. ชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน อายุการค้างชำระหนี้ 3-6 เดือน
4.ชั้นสงสัย อายุการค้างชำระหนี้ 6-12 เดือน
5. ชั้นสงสัยจะสูญ อายุการค้างชำระหนี้ นานกว่า 12 เดือน
6. ชั้นสูญ ชั้นนี้จะเป็นชั้นที่ว่า การชำระเงินต้นและดอกเบี้ยจะไม่เกิดขึ้น เช่น ลูกหนี้ถึงแก่ความตาย/ สาญสูญ เลิกกิจการ เป็นหนี้ที่ฟ้องลูกหนี้ล้มละลาย
NPL คือสินเชื่อที่ผิดชำระหนี้หนี้เกิน 3 เดือนติดต่อกัน ดังนั้นก็คือ ชั้นหนี้ ตั้งแต่ ชั้นที่ 3 "ชั้นต่ำกว่ามารตรฐาน" ลงมา
ซึ่งถ้าตามหลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันเงินสำรองของสถาบันการเงิน ของธนาคารแห่งประเทศไทย วันที่ 31 ตุลาคม 2561 NPL หมายถึง เงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (non-performing)
ตามเกณฑ์นี้จะมีการแบ่งเป็น 3 ระดับ
ระดับแรก เงินให้สินเชื่อที่ไม่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิต(performing) คือ ลูกหนี้ที่ไม่ผิดชำระหนี้
ระดับ 2 เงินให้สินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิต (under-performing) คือ ลูกหนี้ค้างำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นเกินกว่า 30 วัน
และระดับ 3 เงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (non-performing)
เวลาที่เราดูหุ้นกลุ่มธนาคารก็ควรมองเรื่องของ NPL ด้วย ซึ่งเราสามารถหาดูได้จาก “หมายเหตุประกอบงบการเงิน” หรือ “NOTES” ที่เป็นไฟล์แนบมากับงบการเงินฉบับเต็ม หรือใน “คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ” ในหัวข้อข่าว ที่ออกมาพร้อมกับงบการเงิน จะมีบอกไว้ว่า NPL เท่าไหร่ และ % NPLs ต่อสินเชื่อ ซึ่งคิดจาก NPL มาเทียบกับเงินให้สินเชื่อโดยรวม ออกมาเป็น % นะ
2. ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin หรือ NIM)
NIM หรือส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ คิดมาจากแบบนี้
(รายได้ดอกเบี้ยรับ – ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย) / สินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้เฉลี่ย
เนื่องจากธนาคารมีดอกเบี้ยรับ และดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย ที่มากกว่าแค่ เรื่องของสินเชื่อ และเงินฝาก เพราะธนาคารมีดอกเบี้ยรับการลงทุนในตราสารหนี้ ดอกเบี้ยจ่ายจากการออกตราสารหนี้ มีดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายจากการกู้ยืมกันเองระหว่างธนาคารด้วย ดังนั้นการคิดส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยแบบ spread จึงยังไม่ครอบคลุมในส่วนตรงนี้
รายได้ดอกเบี้ยรับ คือ รายได้จากเงินให้สินเชื่อ การกู้ยืมระหว่างธนาคาร จากการลงทุนในตราสารหนี้
ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย คือ รายจ่ายจากเงินรับฝาก เงินกู้ยืมสถาบัน การออกตราสารหนี้ เงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
สินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้เฉลี่ย เช่น เงินให้สินเชื่อ เงินลงทุน รายการระหว่างธนาคาร
จะเห็นว่าการคิดแบบ NIM นั้นจะบอกถึงความสามารถในการหารายได้ของธนาคารจากส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายทั้งหมด จึงเป็นอัตราส่วนทางการเงินตัวหนึ่งที่ไว้ใช้วัดผลกำไรเบื้องต้นในการดูหุ้นกลุ่มธนาคาร
3. ROE (Return on Equity) หรือ อัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น
คิดมาจาก กำไรสุทธิ/ ส่วนผู้ถือหุ้น
อัตราส่วนนี้จึงเป็นอีกอัตราส่วนที่สำคัญ เพราะเป็นการบอกว่า ท้ายที่สุดแล้ว ธนาคารนั้นๆ ทำผลตอบแทนกลับมาได้เท่าไหร่ จากเงินของผู้ถือหุ้นที่ได้ลงไป ค่านี้จึงยิ่งสูง ยิ่งดี
เช่น ถ้า ROE = 10% หมายถึงว่า ทุก 100 บ. จากเงินส่วนผู้ถือหุ้นที่ได้ลงไป ได้ผลตอบแทนกลับมา 10 บ.
.
และ ROE นั้นมีผลต่อการประเมินมูลค่าหุ้นกลุ่มธนาคารด้วย ซึ่งโดยทั่วไปการประเมินมูลค่าหุ้นกลุ่มธนาคารนั้นจะใช้ P/BV (price per book value) เนื่องจากทรัพย์สินของธนาคารส่วนใหญ่นั้นเป็นเงิน และเงินลงทุนต่างๆ ทรัพย์สินส่วนใหญ่จะใกล้เคียงกับมูลค่า และ ROE นั้นมีความสัมพันธ์กับ P/BV ยิ่ง ROE สูง การประเมินมูลค่าด้วย P/BV จะสูงขึ้น
ช่วงนี้เป็นช่วงที่งบการเงินไตรมาส 1/65 ทยอยออกกันมา ซึ่งปกติของหุ้นกลุ่มธนาคารก็จะออกมาก่อน ดังนั้นถ้าใครถือหุ้นกลุ่มนี้ หรือสนใจลงทุนหุ้นกลุ่มนี้ ก็ลองอ่านงบการเงินที่ออกมากัน
#หมอยุ่งอยากมีเวลา
#หุ้น
#งบการเงิน
#ธนาคาร
#NIM
#NPL
#ROE
โฆษณา