3 พ.ค. 2022 เวลา 21:21 • กีฬา
▪️หงส์แดงมุ่งหน้าสู่ปารีสในเกมสุดคลาสสิคแชมเปี้ยนลีก
-
• เกมที่ไม่น่าจะมีอะไรในกอไผ่สเปนกลับมีอะไรจนเกือบมีเรื่องได้ตามสไตล์หงส์แดง ลิเวอร์พูล ที่ต้องทำให้แฟน ๆ ลุ้นอยู่เสมอแม้คราวนี้เด็ก ๆ ของเยอร์เกน คลอปป์ จะเล่นครึ่งแรกในแย่ที่สุดเท่าที่ส่วนตัวเคยเห็นลิเวอร์พูลเล่นมาก็ตามที
1
• แต่อย่างไรก็ดีครับ นี่คือ ความคลาสสิคที่แท้จริงของเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่อะไรก็เกิดขึ้นได้
1
• ลิเวอร์พูลเหมือนจะเริ่มเกมแบบนิ่ง ๆ ใจเย็น ค่อย ๆ ปรับตัว แต่สุดท้ายโดนบู๊จนเป๋ในเกมที่ผมยังหาคำตอบแน่ชัดไม่ได้นะครับว่า a game of two halves ในนัดนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่!?
• ทำไมครึ่งแรก หงส์แดงย่ำแย่ และเรือดำน้ำสีเหลืองถึงดีขนาดนั้น
• แล้วทำไมถึงกลับตาลปัตรในครึ่งหลัง
• หรือแท้จริงแล้วเป็นแค่ “ธรรมชาติ” ของเกมที่ตอนเลือดเข้าตา เจ้าบ้านทำได้ในครึ่งแรก พอทำได้แล้วก็กลับไปแบบเดิม ตัวตนของตนจริง ๆ
• แน่นอนครับ การปรับกลยุทธ์ โดยเฉพาะเพิ่มความเข้มข้นเกมในครึ่งหลัง, การเปลี่ยน ลุยซ์ ดิอาซ ลงมา, เพิ่มความกล้าหาญ เป็นตัวเองในการออกบอล ครองบอล ตั้งแต่แดนหลังมากขึ้น ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งที่หงส์แดงปรับตัวใน 45 นาทีหลัง
• อย่างไรก็ดี ขอ “ปรบมือ” ให้บีญาร์เรอัล ด้วยครับ ครึ่งแรกพวกเขาดีจริง ๆ แต่ฟุตบอลมันเล่น 90 นาที และในที่นี้เล่น 2 เลก ผลการแข่งขันจึงเหมาะสมแล้ว
-
• ครึ่งแรก ส่วนตัว “ช็อก” ที่ได้เห็นบีญาร์เรอัล วางแผนการเล่นมาอย่างดีจนแฟนบอลได้เห็น “ปรากฎการณ์” ที่ลิเวอร์พูล โดน สอนเชิงทั้งเกมการเล่น และเกมทางความคิดจนสุดท้ายตามหลัง 0-2
• สอนเชิง คือ ครองบอลน้อยกว่า 44:56% และยิงไม่เข้ากรอบเลย จ่ายบอลผิดพลาด เสียบอลง่าย ๆ เป็นจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน เช่น จังหวะหวุดหวิดจะโดนจุดโทษ เกอิตา พลาด
• หรือแม้แต่ ธิอาโก ยังออกบอลผิดพลาดหลายครั้งหลายครา
• ในเชิงความคิด ทั้ง 2 ประตูที่เสีย แบ็คซ้าย และแบ็คขวา โดนโจมตี และรีแอ็คช้ากว่าคู่แข่ง
• ที่น่าตกใจ และ “ช็อก” มากกว่า คือ ความเชื่องช้าในการเล่น การคิด ตั้งแต่ออกสตาร์ทที่ อูไน เอเมรี สั่งลูกทีมโจมตีทั้งดุดัน และแข็งแรงกว่า แถมยังมุ่งมั่นในการเล่น การเก็บบอลจังหวะ 2
• เวลารับ อัลบิโอล จับ ซาดิโอ มาเน กองหน้าตัวกลางลิเวอร์พูล แบบไม่ให้พลิก ไม่ให้มีเวลากับบอล และตามตลอดถึงกลางสนาม
• โชตา และซาลาห์ ก็แทบไม่ได้บอล
• 2 ฟูลแบ็คแทบเติมไม่ได้ เพราะโดนขึงเอาไว้ในแดนตัวเอง เพราะทีมเรือดำน้ำสีเหลืองรับตั้งแต่แดนบนจนหงส์แดงออก “บอลแรก” ไม่ได้เลยจากประตู หรือคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟ ที่ได้แต่ “โยนยาว” ออกไปแล้วก็เก็บบอลแรก บอลสอง ไม่ได้อีกด้วยในแดนกลาง
• ความเข้มข้น (Intensity) ของเกมอันเป็นจุดเด่น กลายเป็นเจ้าบ้านเป็นฝ่ายกระทำ และเหมือนเสื้อเหลืองเป็นลิเวอร์พูลมากกว่าไม่ใช่เสื้อแดง
• นั่นคือ “ภาพรวม” นะครับ
• ส่วน “รายละเอียด” มากกว่านั้นคงต้องใช้เวลาเจาะวิเคราะห์มากกว่านี้ เช่น เรื่อง positional play อันเป็นการสร้างความได้เปรียบของกลุ่มผู้เล่น บีญาร์เรอัล ที่ทำได้ดีจนน่าตกใจ และเหมือนมีตัวมากกว่า ถึงบอลเร็วกว่า และเก็บบอลแรก บอลสอง ได้มากกว่า
• 45 นาทีแรกจึงเป็นอะไรที่ได้เห็นทีมซึ่งผ่านทั้ง ยูเวนตุส และบาเยิร์น มิวนิค ว่ามีดีอย่างไรอย่างแท้จริง
-
• ครึ่งหลัง แม้จะเปลี่ยน ดิอาซ แทนโชตา แค่คนเดียว แต่เหมือน เยอร์เกน คลอปป์ ได้ร่ายเวทมนต์กลับคืนให้นักเตะอย่างน้อย ๆ ก็ต้องตะคอกใส่หน้า และรูหูทุกคนว่า “นี่มัน UCL รอบรองฯ นะว้อยยย”
• เพียง 10 นาที หงส์มีทั้ง เทรนท์ยิงแฉลบชนคาน มาเน่ประเคนพานทองให้ดิอาซที่กระโดดวอลเลย์ด้วยใจไม่นิ่ง (ตามด้วยตัดในยิงแฉลบชนเสา แต่ทว่าหลังจากนั้นดาวเตะโคลัมเบียโหม่งประตู 2-2 ได้)
• ทั้ง 2 หนนี้เป็นประตูได้เลยหากโชคดี
• ขณะที่ “ภาพรวม” เกมดีขึ้น และ intensity กลับมาที่ฝั่งทีมเยือนเสมือนฟากนั้นของสนามมีแม่เหล็ก ใครบุกคือจะเล่นได้ดี!
• โดยที่สิ่งผมเขียนไว้ข้างต้นในครึ่งแรก คือ สลับฝั่งมาหมด ทั้งบอลแรก, บอลสอง, การ dominate เกมจนที่สุดจาก ฟาบินโญ ที่ไปอยู่ได้อย่างไรในกรอบเขตโทษรับบอลจากซาลาห์หลุดไปยิงลอดขา เจโรมิโน รูลลี นายด่านอาร์เจนไตน์ที่พลาดอย่างจัง นาทีที่ 62 สกอร์ไล่ตาม 1-2 แต่สกอร์รวมนำ 3-2 ครานี้บรรยากาศเปลี่ยนหมดแบบสมบูรณ์แบบทันที
• ก่อนจะตามมาด้วย ดิอาซ เขก และมาเน่ ใช้ความพยายาม + สามารถหลุดเดี่ยวไปยิง 3-2
• ครับ เหลือเชื่อจริง ๆ เพราะถึงจุดนั้น และตลอดครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล คือ ลิเวอร์พูลที่ทุกคนรู้จัก และ fixture นี้คือกลับไปเหมือนเลกแรกที่แอนฟิลด์
• พลันให้นึกว่า ครึ่งแรก แม่มมม เกิดอะไรขึ้น!?
• แล้วทำไมครึ่งหลังบียาร์เรอัล เล่นไม่เหมือนครึ่งแรก เพราะคงไม่ใช่แค่ลิเวอร์พูลฝ่ายเดียวที่ปรับเกมลงมา
• หรือก็คงไม่ใช่แค่ ดิอาซ ที่เด่นเหลือเกินลงมา “เปลี่ยนเกม” ได้
• ไว้มีโอกาส ผมขอไป “ตกตะกอน” เกมก่อนคงได้มีประเด็นสวย ๆ มาฝากกันเพิ่มเติมแล้วกันนะ
• จังหวะนี้ และตอนนี้ ร่วมปรบมือ แสดงความยินดีด้วยกันก่อนครับ ลิเวอร์พูล ไปรอ UCL Final 2022 ที่ปารีส 28 พ.ค.เรียบร้อยแล้ว ไม่นับเรื่อง quadruple นะครับ
☕ณัฐวุฒิ ประเทืองศิลป์
📷: OptaJoe
#ไข่มุกดำ
#KMDAnalysis
#VILLIV
โฆษณา