6 พ.ค. 2022 เวลา 00:11 • กีฬา
[ #มาดริดที่ไม่มีใครคาดคิด ]
ชัยชนะของเรอัล มาดริดที่ซานจิอาโก้ เบร์นาเบวเมื่อคืนวันพุธ กลายเป็นหนึ่งในเกมมหัศจรรย์ของสาวกอย่างแท้จริง
ไม่มีใครอยากเชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น มันยิ่งกว่าบทภาพยนตร์ที่มีการเขียนสคริปต์ไว้ล่วงหน้า ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบตั้งตัวไม่ติด
แฟนบอลมาดริดบางคนเปรียบความรู้สึกเหมือนในปี 1999 แมนฯยูไนเต็ดใช้เวลาในนาทีสุดท้ายกับช่วงทดบาดเจ็บ ซัดรวด 2 ประตูพลิกเชือดบาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์มาครองเหลือเชื่อที่สุด
คำถามในทำนอง "มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?" เชื่อเถอะว่าไม่มีใครตอบได้ชัดเจนหรอก นอกจากวลี Football bloody hell! ซึ่ง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยกล่าวไว้อย่างล่ะล่ำละลัก หลังจบเกมนัดชิงปี 1999
"ฟุตบอลนี่มันนรกแตกอะไรอย่างนี้ว่ะ!" นี่คือความหมายที่ เฟอร์กี้ พยายามจะสื่อ ซึ่งมันไม่อาจอธิบายได้ด้วยเหตุผล เช่นเดียวกับการผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศของเรอัล มาดริด
คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ อดีตกองกลางมาดริด แสดงความเห็นไว้ว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้น เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่เรามองไม่เห็นหรือจับต้องได้อยู่เบื้องหลัง
รากเหง้า ประวัติศาสตร์หรือจิตวิญญาณ สิ่งเหล่านี้เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของมาดริด ที่ใช้เวลานานนับศตวรรษกว่าจะก่อร่างสร้างตัวมาถึงปัจจุบันได้ ผ่านความสุขและบาดแผลมามากมาย
มาดริดคือสโมสรที่ได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่สุดในยุโรป หากวัดกันที่ความสำเร็จในยูโรเปี้ยน คัพหรือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จนขยายฐานความนิยมไปยังทั่วโลก นักเตะหลายคนมีความฝันต้องมาค้าแข้งที่นี่ให้ได้
เรามักจะได้ยินบรรดาซูเปอร์สตาร์ที่ย้ายมามาดริด ให้สัมภาษณ์ครั้งแรก จะพูดเกี่ยวกับความฝันที่เป็นจริงเสมอ สะท้อนได้ดีถึงมนต์ขลังที่ดึงดูดให้ใครต่อใครอยากเข้าหา แม้รู้ว่ามีอัตราความเสี่ยงล้มเหลวสูงเป็นเงาตามตัวเช่นกัน
ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ยังตอกย้ำความยิ่งใหญ่ด้วยโปรเจคต์กาลาคติกอสในปี 2000 ซึ่งเป็นการใช้เงินและบารมี ดึงผู้เล่นชั้นนำของโลกมารวมตัวกันที่นี่ ประกาศศักดาความยิ่งใหญ่แบบไร้เทียมทาน
หลุยส์ ฟิโก้ , ซีเนดีน ซีดาน , โรนัลโด้ บราซิล , เดวิด เบ็คแฮม ,ไมเคิ่ล โอเว่น หรือ โรบินโญ่ หลั่งไหลกันเข้ามา ผนึกกำลังกับพวกนักเตะเก่าที่มีอยู่ก่อนแล้ว จนขุมกำลังแข็งแกร่งสุดๆ
แม้จะโดนค่อนขอดนินทาว่าทุ่มเงินแลกกับความสำเร็จ ซึ่งมันคือเรื่องจริง ไม่มีทางปฏิเสธได้หรอก
แต่ในอีกด้าน ไม่ได้หมายความว่ามีเงินเพียงอย่างเดียว แล้วจะทำอย่างนี้ได้ ต้องมีตัวแปรบางอย่างมาสนับสนุนด้วย
อย่างไรก็ตามในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มาดริดเปลี่ยนบุคลิกอย่างชัดเจน ไม่ได้ทุ่มบ้าเลือดเหมือนอย่างที่เคยเป็น โดยเฉพาะเมื่อล้มเหลวกับ เอแแด็น อาซาร์ ซึ่งย้ายมาด้วยค่าตัวเหยียบ 130 ล้านปอนด์ แต่ไม่ได้ช่วยอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ฟลอเรนติโน่ เปเรซ เข้าใจสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ เหมือนบีบบังคับให้ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ เพราะมันไม่ง่ายเลยเมื่อ ซีเนดีน ซีดาน ตัดสินใจลาทีมเป็นรอบสอง ต้องหากุนซือมาแทนอย่างเร่งด่วน
คาร์โล อันเชล็อตติ จึงถูกทาบทามให้กลับมากุมบังเหียนอีกครั้ง ก่อนจะได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ด ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง เหมือนกำลังรอข้อเสนออยู่เช่นเดียวกัน
1
ตอนแรกแฟนบอลมาดริดไม่ได้เชื่อมั่นกุนซืออิตาเลี่ยนสักเท่าไร แม้จะเคยพามาดริดครองเจ้ายุโรปในฤดูกาล 2013/14 มาก่อน พร้อมทั้งฟาดเรียบไม่ว่าจะเป็นยูฟ่า ซูเปอร์คัพหรือฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ
แต่ อันเช่ ไม่อาจโค่นบาร์เซโลน่า นำแชมป์ลีกมามอบแด่แฟนๆได้ เหมือนปล่อยให้คู่แข่งตัวฉกาจผูกขาดความสำเร็จในประเทศเกือบข้างเดียว
ในขณะเดียวกัน นโยบายของ เปเรซ ที่ไม่เหมือนเดิม งบประมาณต่างๆถูกจำกัด ไม่ว่าจะด้วยพิษโควิด-19 หรือสภาพเศรษฐกิจโลกที่สั่นคลอน ไหนจะต้องจ่ายก้อนโตเพื่อปรับปรุงสนามด้วย
อันเช่ จึงรีเทิร์นพร้อมโจทย์ใหญ่ให้ต้องแก้สมการ เขาได้แข้งใหม่ที่จ่ายค่าตัวเพียงแค่ เอดูอาร์โด้ กามาวินก้า ซึ่งมีมูลค่า 30 ล้านยูโร ไม่ได้แพงมหาศาลอะไรเลย
แม้มีข่าวว่า เปเรซ พยายามจะสู้ตายเกือบ 200 ล้านยูโร เพื่อกระชาก คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ มาจากปารีส แซงต์ แชร์กแมงให้สำเร็จ แต่ดีลไม่ได้เกิดขึ้น
นอกจากนั้นยังมี ดาวิด อลาบา ซึ่งมีสถานะเป็นฟรีเอเจ้นท์ หลังหมดสัญญากับบาเยิร์น มิวนิค ได้มาแบบฟรีๆ แต่ก็ต้องเสียทั้ง เซร์คิโอ รามอส และ ราฟาแอล วาราน 2 เซ็นเตอร์แบ็กสำคัญพร้อมกัน
ชัดเจนแล้วว่า กามาวินก้า มาเพื่ออนาคตมากกว่า ช่วงแรกคงเป็นได้แค่อะไหล่ เรียนรู้จากรุ่นพี่ไปก่อน
1
ส่วน อลาบา ต้องมาเป็นแม่ทัพในแนวรับ เพราะอีก 2 คนที่เหลืออย่าง เอแดร์ มิลิเตา กับ นาโช่ แฟร์นานเดซ ไม่อาจไว้เนื้อใจได้มากนัก
2
ผู้เล่นอย่าง ลูก้า โยวิช หรือ มาเรียโน่ ดิอาซ ที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ผ่านการพิสูจน์ไม่สำเร็จ ก็ไม่ง่ายที่จะปล่อยออกไป จำต้องเก็บไว้ใช้งานเช่นเดิม
แล้วเมื่อดูที่ขวบวัยของผู้เล่นแกนหลักหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ลูก้า โมดริช , คาริม เบนเซม่า , โทนี่ โครส , มาร์เซโล่ หรือ นาโช่ ที่โรยลงเรื่อยๆ ก็ได้แต่น่าวิตกว่า จะยังมีก๊อกสองอีกหรือเปล่า
กุนซือใหม่แต่หน้าเก่า นักเตะก็ต้องใช้เท่าที่มีอยู่ ย่อมเกิดคำถามว่าจะไหวสักกี่น้ำ แล้วแรงจูงใจยังมีเหลือมากน้อยแค่ไหนกัน
จุดเริ่มต้นของสิ่งที่หลายคนไม่คาดคิดเกิดขึ้นเรื่อยๆ ฟอร์มของพวกผู้เล่นวัยดึก ไม่ได้ด้อยลงไปกว่าเดิมเลย คงระดับรักษามาตรฐานได้อย่างดีหรือบางทีต้องบอกว่า เจ๋งกว่าซีซั่นก่อนซะอีก
ที่โดดเด่นมากๆคือ เบนเซม่า ซึ่งซัลโวไปแล้ว 43 ประตูในทุกรายการซีซั่นนี้ จากจำนวน 43 นัดที่ลงสนาม นั่นหมายถึง 1 เกมต้องมี 1 ประตู คิดดูเอาแล้วกันว่าสุดยอดขนาดไหน
โมดริช ก็ยังโชว์ให้เห็นถึงคลาสอันเหนือชั้นไม่เปลี่ยนเลย ไม่ว่าจะแพสชั่น ความกระหาย ราวกับเด็กหนุ่มที่เพิ่งเริ่มต้นเส้นทาง เต็มไปด้วยไฟฝัน
โครส หรือ กาเซมีโร่ ก็เช่นเดียวกัน ล้วนแต่มีสถานะเดิมคือฟันเฟืองสำคัญที่ผลักดันทีมไปข้างหน้า
แต่ที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากันคือ พวกดาวรุ่งซึ่งยกระดับขึ้นมา วินิซิอุส จูเนียร์ เปลี่ยนเป็นคนละคน , โรดรีโก้ ก็เช่นกัน 2 ประตูจากเกมล่าสุดยืนยันได้ รวมทั้ง กามาวินก้า ที่พร้อมทำทุกอย่างตามคำสั่ง
แรกทีเดียวมาดริดเหมือนโชคร้าย ที่ผู้เล่นค่าตัวแพงค่าแรงมหาศาลอย่าง แกเร็ธ เบล หรือ อาซาร์ แทบไม่มีประโยชน์เลย
ถึงที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้แข้งเหล่านั้น มาดริดก็ดีพอสำหรับการกลับมาคว้าแชมป์ลาลีกา รวมถึงผ่านเข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกสำเร็จ ด้วยวิถีของตัวเองอย่างน่าภูมิใจ ไม่ต้องแคร์ว่าจะมีนักเตะซูเปอร์สตาร์ย้ายมากี่คน
ไม่มีใครให้คำตอบได้ในตอนนี้ว่า พวกเขาจะได้ครองเจ้ายุโรปอีกสมัยหรือไม่
แต่ที่แน่ๆ มาดริดมาไกลกว่าที่แฟนบอลหลายคนคาดคิดไว้ด้วยซ้ำ
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา