26 พ.ค. 2022 เวลา 00:00 • หนังสือ
เมื่อวานนี้เล่าว่า ผมเร่ิมเขียนหนังสือในปี 2528 แต่กว่าจะรวมเล่มครั้งแรกก็ผ่านไป 9 ปี เพราะไม่เคยคิดจะเป็นนักเขียน เขียนเสร็จแล้วเก็บไว้ในลิ้นชัก
จนกระทั่งวันหนึ่งในปี 2534 ส่งต้นฉบับหนึ่งในลิ้นชักไปที่นิตยสารอิมเมจ และได้รับการตีพิมพ์ ก็คือเรื่องนี้ จนถึงวันนี้เรื่องสั้นเรื่องนี้ก็มีอายุ 31 ปีแล้ว
1
จะสังเกตว่าวิธีเล่าเรื่องแบบห้วนๆ ของผมนี่ ผ่านมา 36 ปีก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย ยังคงรักษาความสั้นที่สุดเสมอมา นิสัยนี้แก้ไม่หายจริงๆ!
1
“ระยำจริง ๆ ! คิดดูซิวะผู้หญิงคนไหนจะสมัครใจมาเป็นกะหรี่ ไอ้พวกเหี้ยที่หากินกับผู้หญิงนี่ระยำแท้ ขอเพียงแต่ไม่ใช่แม่มันที่ขายตัวเป็นใช้ได้!”
เราสามคน - ชุมพล พ.ต.ต. อัศวิน และผมนั่งดื่มเหล้าด้วยกันในค่ำวันหนึ่ง ไม่รู้ว่าชุมพลไปรับอารมณ์เก็บกดมาจากไหน พอเหล้าชักตึงหน้า เขาก็ระบายความรู้สึกของเขาออกมามากมายจนผมประหลาดใจ
“กูเกลียดสังคมโลกีย์นี่เต็มที ลองคิดดู ชั่วเวลาแค่สิบห้าปีที่กูย้ายมาอยู่ในกรุงเทพฯ โรงแรมอีตัว, ซ่อง, อาบอบนวด, ค็อกเทล เลาจน์, บาร์ลามก ผุดขึ้นเต็มเมือง ผู้หญิงถูกหลอกมาจากทุกที่เพื่อขายตัวเต็มไปหมด”
ผมดูดบุหรี่นั่งฟังเขาพูดไปเรื่อย ๆ ชุมพลเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของผม ถัดมาก็คือ พ.ต.ต. อัศวิน เราทั้งสามเป็นคนบ้านเดียวกัน โตมาด้วยกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันนานจนเข้าใจจิตใจของกันและกันดี
ถ้าคิดดูแล้วชีวิตของชุมพลดูจะน่าเห็นใจกว่าของผมกับอัศวินมากนัก เขาเจอแต่เรื่องเลวร้ายมาตั้งแต่เด็ก พ่อตายตอนเขายังเล็กมาก แม่หนีตามผู้ชายไป ทิ้งเขาและน้องสาวไว้กับยายคนเดียว ยายแก่คนหนึ่งกับเด็กเล็กสองคน บางวันข้าวสารกรอกหม้อก็ยังไม่มี ผมยังจำสภาพความลำบากนั้นได้ เพราะผมคลุกคลีกับครอบครัวนี้มาตั้งแต่เด็ก บ้านของเราอยู่ติดกัน
พออายุได้สิบห้า เราย้ายมากรุงเทพฯพร้อมกัน ผมมาเรียนต่อ เขามาทำงาน เวลาผ่านไป ชีวิตของเขาและครอบครัวดูจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่ชีวิตก็ยังเปี่ยมไปด้วยกำลังใจ จนกระทั่งเมื่อห้าปีก่อน ฝันของเขาก็สลายเมื่อน้องสาวของเขาถูกหลอกมาขายตัวในกรุงเทพฯอยู่ปีเศษ กว่าเธอจะสามารถติดต่อกับเขาและหลุดพ้นจากซ่องนรกนั้นได้ ชีวิตของเธอก็เหลวแหลกแล้ว
ผมรู้ว่าเหตุการณ์นั้นสะเทือนใจชุมพล และทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปมาก ตั้งแต่นั้นมาเขากลายเป็นคนที่ชอบพูดจาประชดสังคม ชอบใช้ความรุนแรง ตอบโต้ความอยุติธรรม บ่อยครั้งผมเห็นเขาใช้กำลังชกต่อยกับอันธพาลที่เพียงพูดจาลวนลามผู้หญิง แม้ตัวเขาจะใหญ่บึกบึน แต่หลายครั้งเขาก็กลับบ้านเหมือนหมาบาดเจ็บ ผมได้แต่โคลงศีรษะเพราะผมไม่เคยนิยมความรุนแรง
“ไม่มีใครรู้หรือไงว่ากรุงเทพฯเน่าเฟะกันถึงไหนแล้ว แปลกนะที่เรายังทนอยู่กับมันได้ กูอยากรู้นักว่าเราจะทนกันอีกนานแค่ไหน? รัฐบาลกี่ยุคกี่สมัยต่างก็ประกาศว่าจะกวาดล้างโสเภณีให้หมด ถุย! รัฐมนตรียังไปเที่ยวเสียเอง...”
1
เสียงของชุมพลลอยวนเวียนอยู่ในวงเหล้า
“เมื่อคืนกูได้ข่าวจากน้องสาวว่า เพื่อนของเธอคนหนึ่งที่ชื่อ แวว ถูกหลอกมาขายตัวที่นี่เหมือนกัน ที่บ้านแววไม่รู้เรื่องเลยจนกระทั่งตำรวจแจ้งให้ไปรับศพเธอ...”
เขาหยุดนิดหนึ่ง “...เธอฆ่าตัวตายหลังจากเสียทีมนุษย์โฉดพวกนั้น!”
สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น ดวงตาแดงก่ำ ผมดูไม่ออกว่านั่นเป็น
เพราะฤทธิ์เหล้าหรือความรู้สึกภายในของเขา ผมเองก็พลอยสลดใจไปด้วย พ.ต.ต. อัศวินมองหน้าผมทำท่าจะพูดอะไร ผมทำสัญญาณให้เขาเงียบ
ปล่อยให้ชุมพลระบายอารมณ์ต่อไปเรื่อย ๆ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมวันนี้เขาขอร่วมวงเมรัยกับเรา ผมรู้แล้วว่าเป็นเพราะเรื่องนี้เอง ผลก็คือเราต้องมานั่งฟังเขาพูด
“กฎหมายมีก็เหมือนไม่มี ไม่เคยแก้ปัญหานี้ได้...” เพื่อนสนิทที่สุดของผมระบายความรู้สึกภายในต่อไป
“...ใครซักคนจะต้องทำอะไรซักอย่างลงไป ในเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้ มันต้องใช้ไม้แข็ง”
“ทำไงล่ะ?” อัศวินแกล้งถาม
ชุมพลหยุดมองอัศวินอยู่ครู่หนึ่ง ผมดูไม่ออกว่าเขาเมาหรือเปล่า
“ก็เผาแม่งเลยซิวะ! ไอ้โรงแรมโลกีย์ ไอ้ซ่องนรก ไอ้บาร์ลามก ไอ้
พวกเอ็กซคลูซีฟ คลับ หรือซ่องชั้นสูงทั้งหลาย ดูซิว่าพวกมันจะทำยังไง ถ้ามันสร้างขึ้นมาใหม่ ก็เผามันอีก มันต้องใช้ความรุนแรงตอบโต้ความระยำ!”
พ.ต.ต. อัศวินหัวเราะเบา ๆ
“เฮ้ย! เดี๋ยวกูก็ซิวมึงเข้าคุกซะเดี๋ยวนี้หรอก ใจเย็นน่า ทุกอย่างมันมีทางแก้ที่ดีที่สุดเสมอ... ที่ไม่ใช่ความรุนแรงน่ะ”
“นั่นซิ...” ผมกล่าวเสริม
“...ปัญหาแบบนี้ต้องแก้อย่างใจเย็น ๆ ความรุนแรงมีแต่จะทำให้ทุกอย่างยิ่งยุ่งขึ้นไปอีก”
แต่ให้ตายเถอะ ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าผมกำลังโกหกตัวเองหรือไม่ เพราะลึก ๆ ในใจ ผมก็ชักจะเห็นด้วยกับเขาเหมือนกัน
ผมไม่ได้พบชุมพลและอัศวินอีกเลยหลังจากคืนนั้น ผมมีงานส่วนตัวที่จะต้องสะสางจนดึกดื่นแทบทุกวัน จนกระทั่งหนึ่งเดือนให้หลัง พ.ต.ต. อัศวินมาพบผมในที่ทำงานของผมตอนเที่ยงวันหนึ่ง เขาโยนหนังสือพิมพ์สี่ห้าฉบับลงบนโต๊ะทำงานของผม
“อ่านหนังสือพิมพ์บ้างหรือเปล่า?” เขาถามทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าผมเป็นคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือพิมพ์
ผมมองหน้าเขาด้วยความฉงนนิด ๆ ก่อนเปิดดูหนังสือพิมพ์ผ่าน ๆ สองฉบับแรกเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเก่าสามอาทิตย์ล่วงมาแล้ว ที่เหลือเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ แต่ที่สะดุดใจผมก็คือ ทุกฉบับพาดหัวข่าวคล้ายคลึงกัน
วางเพลิงโรงแรมโลกีย์ ไหม้วอด 20 ล้าน
เผาโรงแรมอีตัว ไฟไหม้กลางดึก
ผมพลิกอ่านคร่าว ๆ และเงยหน้าขึ้นมามองเขา เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง
ผมว่า “มึงสงสัยว่าเป็นฝีมือชุมพล?”
เขาพยักหน้า
ผมยิ้ม “ทำไมวะ? กะอีแค่ไฟไหม้ซ่องสามแห่ง ระยะเวลาห่างกันสองอาทิตย์ ทำไมถึงคิดว่าเป็นมัน? สมัยนี้คนเผาบ้านตัวเองเอาเงินประกันภัยเยอะแยะไปนี่หว่า”
1
“มึงก็รู้นิสัยมันดีว่าชอบแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงอยู่เรื่อย กูไม่คิดว่ามันพูดเล่นหรอกในคืนนั้น”
“ไม่เอาน่า หลักฐานก็ไม่มี กูรู้จักชุมพลดี ถึงมันจะนิยมความรุนแรงตั้งแต่น้องสาวมันถูกหลอกไปขายตัว กูก็รู้ว่ามันไม่บ้าระห่ำอย่างนั้นหรอก เชื่อเหอะ”
“กูเองก็ไม่อยากเชื่อว่าเป็นมัน แต่หลักฐานทุกอย่างมันทำให้ต้องสงสัยอย่างนั้น คอยดูกันต่อไปก็แล้วกัน”
อาทิตย์ต่อมาอัศวินโทรศัพท์มาหาผม บอกให้ผมหาหนังสือพิมพ์มาอ่านดู ข่าววางเพลิงโรงแรมโลกีย์อีกแล้ว! ถึงตอนนี้ผมก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร
แล้วมันก็เกิดขึ้นอีกเรื่อย ๆ อาทิตย์ละครั้งบ้าง สองสามอาทิตย์ครั้งบ้าง ทุกครั้งเป้าหมายของนักวางเพลิงคือ สถานเริงรมย์โลกีย์ บาร์ลามก โรงอาบอบนวด ในเวลาแค่สามเดือนแดนโลกีย์เหล่านี้ถูกวางเพลิงไปแล้วสิบเอ็ดแห่ง บางแห่งไหม้วอดวายหมด บางแห่งก็ไหม้บางส่วนเพราะดับไฟทัน และตั้งแต่เกิดเหตุไฟไหม้มาหลายครั้ง มีคนตายอยู่คนเดียว ชายผู้นั้นเป็นแมงดาซึ่งหนีเพลิงออกมาไม่ทัน
หนังสือพิมพ์ลงข่าวกันเกรียวกราว ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นฝีมือของคนคนเดียวหรือบุคคลกลุ่มเดียวกัน แต่ยังไม่สามารถจับมือใครดมได้ หมอนี่หรือพวกนี้ต้องรอบคอบ รู้ทางหนีทีไล่และวางแผนรัดกุมมาก ประชาชนแสดงความเห็นกันเอิกเกริก หลายฝ่ายชอบความรุนแรงแบบนี้
“มันช่วยล้างสังคมให้สะอาดขึ้น” พวกเขาบอก บ้างก็ว่าความรุนแรงเช่นนี้มีแต่สร้างผลเสียมากกว่าผลดี แม้แต่พวกหญิงบริการยังมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน หญิงจำนวนหนึ่งที่ถูกหลอกมาค้ากามได้พบกับอิสรภาพและกลับบ้านเดิมได้ อีกส่วนหนึ่งกลับโวยวายว่ามันทำให้พวกตนเสียที่ทำกินไป
อัศวินกลับมาพบกับผมอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้สีหน้าเขาขรึมจนผมสะดุดใจ
“ชุมพลเข้ามอบตัวกับกูเองเมื่อเช้านี้ มันสารภาพหมดว่ามันเป็นคนเผาแหล่งโลกีย์ทั้งสิบกว่าแห่งนั้นเอง”
“ว่าไงนะ?”
ผมรู้สึกสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ตอนนี้เรากำลังอยู่ในระหว่างสอบสวนมันอยู่ พรุ่งนี้มึงคงเห็นข่าวจากหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง”
“แล้วทำไงดี? กูไม่เชื่อว่ามันเป็นคนเผาแน่”
1
“กูก็คิดยังงั้น มีคดีใหญ่เยอะแยะไปที่มีคนบ้าอยากดังเข้ามามอบตัวรับสารภาพว่าเป็นคนทำเอง กูเคยเจอมาหลายครั้งแล้ว ตอนนี้ใจเย็นไว้ก่อน เรื่องนี้ให้กูจัดการเอง”
ผมแน่ใจว่าไม่ใช่ฝีมือเขาแน่ ผมรู้จักเขาดีเท่ากับรู้จักตัวผมเอง อัศวิน พูดถูก เขาคงเก็บกดเรื่องนี้มานาน และยอมรับสารภาพว่าเป็นคนเผา เพื่อต้องการประชดสังคมเสียมากกว่า ทำไมเขาถึงคิดสั้นอย่างนั้น? ผมจะช่วยเขาอย่างไรดีในเมื่อเขาเป็นคนสารภาพเรื่องทั้งหมดเสียเอง? และเขาก็ไม่มีพยานหลักฐานเลยว่าเขาอยู่ที่ไหนขณะเกิดไฟไหม้แต่ละครั้ง
1
หลักฐาน?
ผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผมขับรถไปเรื่อยเปื่อยในคืนนั้น ในใจผมครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ตลอดเวลา ถนนยามราตรีเงียบสงัด รถไม่พลุกพล่าน ไฟกลางคืนทั่วกรุงเทพฯยังคงสว่างไสว เกือบทุกถนนที่รถผมแล่นผ่าน มีแหล่งบำเรอกามตั้งอยู่ทั่วไป ชั่วเวลายี่สิบปีที่ผ่านมา กรุงเทพฯเปลี่ยนไปมาก โรงแรม, ซ่อง, บาร์, อาบอบนวด, ค็อกเทลเลาจน์, เอ็กซ์คลูซีฟ คลับ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด
1
สังคมเปลี่ยนไป คนเปลี่ยนไป จิตใจคนเปลี่ยนไป
ดึกมากแล้ว ผมตัดสินใจแวะนอนโรงแรมแทนที่จะกลับบ้าน เมื่อขับรถผ่านสี่แยกใหญ่แห่งหนึ่ง ผมสังเกตเห็นป้ายโรงแรมเล็ก ๆ ข้างถนน เพียงมองปราดเดียว ผมก็รู้ว่าที่นี่คือโรงแรมอีตัว
หักรถเลี้ยวเข้าไป ผมรู้แล้วว่าจะช่วยชุมพลอย่างไร
ตีสามเศษ ผมยืนสูบบุหรี่ในมุมมืดมองดูโรงแรมแห่งนี้ท่ามกลางเปลวเพลิงลุกโชติช่วง ผู้คนวิ่งกันพล่าน ทั้งแขกผู้มาหาความสำราญ หญิงโสเภณีหลายสิบคนและผู้คนที่มามุงดู รถดับเพลิงเร่งระดมกำลังฉีดน้ำสกัดเปลวไฟเป็นการใหญ่
มือหนึ่งแตะบนไหล่ขวาผมจากด้านหลัง ผมสะดุ้ง หันขวับกลับไป
พ.ต.ต. อัศวิน!
สีหน้าเขาเรียบ ๆ ไร้ความรู้สึก สายตาคู่นั้นจ้องคราบน้ำมันที่เปื้อนเสื้อของผม เราจ้องหน้ากันอยู่ครู่ใหญ่
“ฝีมือมึงรึ?” คำถามของเขาฟังดูเป็นคำตอบไปในตัว
“ใช่...” ผมตอบ
“...มึงสะกดรอยตามกูมาตลอดทาง?”
“อืม!”
“ตอนนี้มึงก็คงรู้แล้วว่าชุมพลบริสุทธิ์” ผมกระซิบ
“กูรู้อยู่ตลอดเวลาว่าชุมพลบริสุทธิ์...”
ประกายวาวปรากฏวูบในดวงตาคู่นั้น “...กูแกล้งปล่อยข่าวมึงไปว่า ตำรวจมีหลักฐานมัดตัวชุมพลเพราะกูสงสัยมึงว่ะ! มึงกับชุมพลเป็นเพื่อนรักกันมาก มึงคงไม่ปล่อยให้มันเข้าคุกหรอก ถ้ามึงเป็นคนเผาจริง ทางเดียวที่มึงจะต้องรีบทำก็คือ เผาที่ใหม่ซักแห่งให้ตำรวจเห็นว่าคนเผาตัวจริงยังไม่ได้ถูกจับ ชุมพลจะได้ถูกปล่อยตัว”
“นี่มึงวางแผนทุกอย่างล่วงหน้า เพื่อหาทางจับกูงั้นรึ?”
“กูเพียงแต่ต้องการรู้ว่ามึงเป็นคนเผารึเปล่าเท่านั้น”
“ตอนนี้มึงก็รู้แล้วว่ากูเป็นคนเผาเอง มึงจับกูได้แล้วนี่”
เขามองหน้าผมนิ่งและนาน
“กูจับมึงไม่ได้หรอก”
หรือมีแต่เพื่อนถึงเข้าใจในเพื่อน?...
“ทำไม?”
เขาไม่ตอบ หันร่างเดินกลับไปที่รถยนต์ของเขา เปิดประตูก้าวขึ้นไปนั่ง
“ทำไม?” ผมถามซ้ำ
เขาติดเครื่องและหันกลับมามองหน้าผม เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขายิ้ม
“นี่มึงเผาไปทั้งหมดกี่แห่งแล้ววะ?” เขาถาม
“ห้า” ผมตอบ
“ของกูเจ็ดว่ะ” เขากระซิบเบา ๆ ก่อนขับรถหายลับไป
1
จากเรื่องสั้น ไฟ ในชุด สมุดปกดำกับใบไม้สีแดง (เรื่องสั้นชุดนี้มี 3 เล่ม สมุดปกดำกับใบไม้สีแดง/ร้อยคม/แมงโกง) สั่งซื้อตรงได้ที่ http://www.winbookclub.com/shopping.php
โฆษณา