16 พ.ค. 2022 เวลา 05:58 • ไลฟ์สไตล์
ค่ำคืนที่สนามหลวง
ทั้งคืนผมเที่ยวเตร่กินเหล้าคนเดียวที่ผับบนถนนข้าวสารตามประสาคนตกงาน
แม้ผมจะจบวิศวะมาแต่มันก็ไม่ช่วยให้ผมมีงานทำ ไม่เหมือนกับที่ลุง ป้า น้า อา เคยบอกผมว่าให้ผมเรียนวิศวะจะไม่ตกงาน ‘ไม่เห็นมันจะจริง’ ผมคิดในใจ
อาจเป็นเพราะไอ้โรคบ้าๆ อย่างโควิดก็ได้ ผมพยายามปลอบใจตัวเอง
หรืออาจเป็นเพราะผมเป็นคนอ้วนอย่างร้ายกาจ น้ำหนักที่ปาเข้าไป 100 กิโลกรัมทั้งที่ผมสูงแค่ 170 เซนติเมตร มันทำให้ผมถูกมองว่าแตกต่างจากคนอื่น
เวลาผมไปสัมภาษณ์งาน ผมอ่านจากสีหน้ากรรมการสัมภาษณ์ก็พอจะมองเห็นความตกใจหรือตระหนกในสายตาของกรรมการ ที่เห็นรูปร่างผมครั้งแรก ทั้งที่ผมเขียนน้ำหนักในใบสมัครไว้ชัดเจนไม่ปิดบัง แต่ก็นั่นแหละ ผู้คนมักจะตัดสินคนจากรูปร่างหน้าตาภายนอก ไม่เว้นแม้แต่กรรมการที่สัมภาษณ์หรอก
นอกจากความอ้วนแล้ว บุคลิกของผมก็ใช่จะว่าดี เวลาเดินไหล่ผมจะค้อมไปข้างหน้าคล้ายกับคนหลังค่อม ตอนวัยรุ่นแม่เคยบอกให้ผมแก้ไขแต่ผมไม่ใส่ใจ แถมทำท่าหงุดหงิดแม่เสียอีก แม่บอกว่าถ้าบุคลิกเราไม่ดี นายจ้างจะไม่รับเราเข้าทำงาน ผมเถียงแม่ว่านายจ้างต้องเลือกคนจากความสามารถซิ จึงจะเป็นนายจ้างที่ฉลาด แม่เลยปรามผมว่า “แกคอยดูแล้วกัน” มาถึงตอนนี้ เออ..จริงของแม่ ผมยอมรับแล้วที่แม่เตือนมันจริงทุกอย่าง
ตอนตีสาม ผมค่อยๆ เดินตุปัดตุเป๋จากถนนข้าวสารย้อนไปทางสนามหลวง ในมือถือเบียร์กระป๋องหนึ่งจิบไปด้วย ขอทานคนหนึ่งที่อยู่ข้างทางกำลังนอนคุดคู้บนลังกระดาษ มีผ้าขนหนูสีมอๆ สกปรกผืนหนึ่งห่มเพื่อบรรเทาความหนาวที่เริ่มย่างกรายเข้ามาในกรุง
หมาขนสีดำสนิทที่หมอบอยู่ข้างขอทานเห็นผม มันเห่าซะดังขรม ทำให้หมาตัวอื่นเห่าตามมาเป็นขบวนรับกันเป็นทอดๆ ผมรีบจ้ำเดินให้เร็วขึ้น แต่ยิ่งรีบเหมือนยิ่งทำให้ช้าลง ร่างกายน้องๆ ช้างของผมโซเซหนักกว่าเดิม ผมตาลายมองเห็นทางข้างหน้ามันยกขึ้น โยกไปมา สูงๆ ต่ำๆ สลับกันไป ผมถึงกับเซถลาเกือบจะก้นจ้ำเบ้า แต่ยังใช้มือยันพื้นไว้ได้ทัน
พอหันไปดูที่มือ “ไอ้เวร!” ผมสบถ “ใครมาอ้วกไว้วะ พวกขี้เมาแม่งฉิบหาย” มือผมเละไปด้วยอ้วกกลิ่นชวนคลื่นเหียนจนผมเกือบจะสำรอกของที่กินออกมา เมื่อไม่มีอะไรที่จะใช้ล้าง ก็ต้องเช็ดมันกับเสื้อที่ใส่นี่แหละ
ผมมาถึงสนามหลวง ลมพัดแรงหอบเอาฝุ่นขึ้นมาจากดินที่ไม่มีหญ้าคลุม ผมนั่งลงที่ม้ายาวใต้ต้นมะขามตรงข้ามธรรมศาสตร์ ยกเบียร์ขึ้นจิบสองสามอึก มองไปด้านซ้ายเห็นวัดพระแก้วที่สว่างเจิดจ้าไปด้วยไฟสปอร์ตไลท์ทำให้ตาผมสว่างขึ้น
2
ขอบคุณภาพจากไทยรัฐออนไลน์
นึกถึงตอนเด็กแม่พามาเที่ยววัดพระแก้วครั้งแรก ผมตื่นเต้นถึงความอลังการใหญ่โตของที่แห่งนี้ ผู้คนที่มาเที่ยวมากหน้าหลายตา วัดพระแก้วในคืนนี้ยังคงสง่างามดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
แต่พอผมเหลือบตาไปดูที่ม้านั่งด้านขวาที่อยู่ติดกัน จากแสงสลัวของเสาไฟฟ้า
ผมมองเห็นชายคนหนึ่ง ผมของแกหงอกขาวเกือบทั้งศีรษะ แกก้มหน้าลงซบลงกับกระเป๋าเดินทางใบเขื่องที่วางบนตัก เสียงร้องไห้ของแกได้ยินเบาๆ
ผมขยับตัวไปนั่งข้างแก แต่แกไม่มีทีท่าว่าจะเงยหน้ามอง
“ลุงครับ!” ผมทัก “เป็นอะไรหรือเปล่า?” ยังไม่มีเสียงตอบ แต่เสียงสะอื้นของแกผมยังได้ยินชัด
“มีอะไร บอกผมได้นะครับ” ผมพูดดังขึ้น
ได้ผล แกเงยหน้ามองมาที่ผม “ไม่มีอะไรหรอกหลานชาย” แกตอบด้วยเสียงเหน่อ ผมสังเกตเห็นริ้วรอยลึกรอบดวงตาที่เศร้าสร้อยและใบหน้าที่หยาบกร้านของแก
“มีอะไรบอกผมเถอะ เราคนไทยเหมือนกันครับ” ผมพูดกับแกคล้ายกับคำพูดของนักการเมืองที่ผมได้ยินจากโทรทัศน์ พลางเรอกลิ่นเบียร์ผสมยำแหนมที่กินเข้าไปออกมา
“พ่อหนุ่ม เมามาเรอะ?”
“ใช่ครับ ผมตกงานมาหกเดือนนะครับลุง เลยหาทางปลอบใจตัวเองหน่อย”
“เหรอโชคร้ายจริง!” แกอุทาน “ลุงก็มีหลานคนนึง ลุงรับเขามาเลี้ยงอย่างลูกเพราะพ่อแม่เขาก็เป็นชาวนาไม่มีปัญญาเลี้ยง ลุงส่งเสียเขาเรียนจนจบวิศวะ แต่เขาตกงานอย่างพ่อหนุ่มนี่แหละร่วมๆ ปีนึงเชียว เขาผิดหวังมาก ลุงถามเขาทีไรเขาก็ร้องไห้ทุกที เขาบอกลุงว่าถ้าขาเขาไม่เป๋เขาคงได้งานไปแล้ว ลุงพยายามปลอบเขาแต่เวลาผ่านไปไม่มีใครรับเข้าทำงานสักที เขาเสียใจมากขังตัวในห้องทั้งวันไม่กินอะไร”
พอแกเล่าถึงตอนนี้ น้ำตาแกไหลพราก
“หลังจากขังตัวเองในห้องสองวัน ลุงผิดสังเกต เลยพังประตูเข้าไป เขาผูกคอตายกับขื่อบนเพดาน” แกเล่าเสียงแผ่วเบา เงียบไปอึดใจก่อนจะเล่าต่อ
“พอจัดการงานศพเสร็จ ลุงรู้สึกว่าชีวิตไม่มีความหมายกับลุงต่อไป ลุงขายบ้านได้เงินสดมาห้าแสนและเก็บทองหยองที่มีเพื่อย้ายไปอยู่กับเพื่อนสนิทสมัยเรียนแถวปากคลองตลาด
แต่ตอนรถมาถึงหมอชิตกลางดึก ลุงไม่กล้านั่งแท็กซี่เพราะถือเงินมามาก เลยรอรถเมล์ที่เริ่มวิ่งตอนตีสี่ ตอนรถเมล์มาลุงรีบวิ่งขึ้นรถไม่ทันตรวจดูเงินทองในกระเป๋า
พอได้ที่นั่งแล้ววางกระเป๋าลงบนตักเห็นรอยกรีดเป็นทางยาว ลุงเอามือควานในกระเป๋า ถุงเงินหายไปแล้ว ลุงใจหายวาบไม่กล้าไปบ้านเพื่อนเพราะรับปากมันว่าลุงจะช่วยค่าอยู่กินให้ด้วย ลุงไม่มีทางเลือกพอรถผ่านสนามหลวงเลยตัดสินใจลงจากรถ จนเดินมานั่งอยู่ที่นี่” แกถอนหายใจ
“ทั้งเนื้อทั้งตัวลุงเหลือเงินแค่สองร้อย” แกพึมพำ
ผมฟังลุงเล่าถึงกับน้ำตาซึม ความเมา ความง่วง หายเป็นปริบทิ้ง เพราะเคยนึกว่าตัวเองเป็นคนอาภัพอับโชควาสนา แต่นี่ผมกลับมาพบคนที่โชคร้าย สิ้นหวังและท้อแท้มากกว่าอีก ความโชคร้ายของผมมันแค่กระผีกเดียวเมื่อเทียบกับความโชคร้ายของลุง
ผมล้วงเอากระเป๋าสตางค์มาเปิดดู มีแบงค์พัน และแบงค์ห้าสิบอยู่อย่างละใบ ผมหยิบแบงค์พันยื่นให้ลุง
“ผมพอช่วยลุงได้เท่านี้นะครับ”
“ไม่เอาหรอกพ่อหนุ่ม ที่ลุงเล่าให้ฟัง ไม่ได้ต้องการให้ใครมาหยิบยื่นเงินให้” แกยกมือขึ้นห้ามผม
“รับไว้เถอะครับ ผมยังมีใช้ครับ” ผมยัดเงินใส่ในมือแก
ลุงไม่พูดอะไร ได้แต่กำเงินนั้นไว้แน่น แล้วมองผมด้วยตาสีขาวขุ่นมัวคู่นั้น ผมเหมือนรับรู้ความรู้สึกของแกได้
ผมจับมือแกกล่าวคำร่ำลาแล้วออกเดินไปทางวัดพระแก้ว มองดูความโออ่าอลังการที่อยู่ตรงหน้า ท่ามกลางความรู้สึกภูมิใจระคนเสียใจที่ตัวผมเองก็บอกไม่ถูก
โฆษณา