17 พ.ค. 2022 เวลา 05:28 • หนังสือ
ในวันที่บริษัทกำลังพินาศ ผู้นำที่ฉลาดจะแก้เกมอย่างไร ?
จากบริษัทเทคที่เจอวิกฤตดอทคอม บริษัทอื่นล้มตายไปมากแต่เขายังพาบริษัทตัวเองให้อยู่รอดได้
เขาทำได้อย่างไร ใช้วิธีไหนบ้าง ?
ข้อคิดที่ได้จาก หนังสือ The Hard Thing About Hard Things เขียนโดย Ben Horowitz #2
.
อย่างไรก็ตาม ความเป็นผู้นำของ Ben ที่นึกถึงผลประโยชน์สูงสุดของบริษัทจึงตัดสินใจว่า
"จะซื้อ Tangram เพื่อจะดีลกับ EDS ให้สำเร็จ"
เพราะไม่มีเวลามาหาทางใหม่ ทั้งพนักงานและทรัพยากรต่างๆ ก็คงไม่พร้อมจะปรับแผนใหม่แล้ว
การไปให้สุดคงจะเป็นหนทางที่เอาตัวรอดได้ดีที่สุด
.
ในที่สุด Ben ตัดสินใจซื้อ Tangram
แม้จะต้องใช้เงินจำนวนหนึ่ง ที่ถือว่าเป็นของหายากของบริษัทเลยทีเดียว
.
เมื่อดำเนินการซื้อ Tangram สำเร็จ จึงรีบติดต่อ EDS อย่างรวดเร็ว
"ถ้าคุณยืนยันที่จะต่อสัญญากับเรา เรายินดีที่จะแถมซอฟท์แวร์ทั้งหมดของ Tangram ให้กับคุณ"
คำพูดของ Ben ที่ติดต่อไปหาผู้บริหารของ EDS ด้วยความหวังว่าการต่อสัญญาจะสำเร็จ
.
แม้จะมีความมั่นใจอยู่บ้าง แต่ Ben ก็แอบหวั่นในใจเล็กๆ ว่า
ถ้าแผนนี้ไม่เวิร์ค Loudcloud คงถูกตอกฝาโลงโดยแท้
.
"คุณแถมเราทั้งหมดเลยหรอ ?"
ผู้บริหาร EDS ตอบมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"นั่นมาเยี่ยมมากเลย !!!"
และแล้วความพยายามที่จะยื้อชีวิตของ Loudcloud ได้สำเร็จอย่างสวยงาม
EDS ก็พอใจในสัญญา Loudcloud ก็พอใจในผลประโยชน์
ต่างฝ่ายต่างยินดีซึ่งกันและกัน win-win ทั้งคู่
.
การผ่านความเป็นความตายในครั้งนี้ เหมือนยกภูเขาออกจากอกของ Ben
ความกดดัน ความเครียดทั้งหลาย ได้สลายไปในชั่วพริบตาเดียว
เหลือไว้เป็นเรื่องเล่าที่ถ่ายทอดลงในหนังสือเล่มนี้ อย่างไม่มีวันลืมเลือน
.
หลังจากนั้น พอครบ 60 วัน
ผู้บริหารของ EDS ได้มาเยี่ยมชมออฟฟิศของ Loudcloud
แม้การปรับปรุงให้เหมาะสมกันระหว่าง Loudcloud กับ EDS จะยังดำเนินการไม่เสร็จ
แต่ก็ไม่ได้รับการตำหนิใดๆ แถมยังได้รับคำชมเชยจากผู้บริหาร EDS ด้วยว่า
"ผมทำธุรกิจมานาน แต่ยังไม่เคยเจอใครที่บอกว่าจะทำให้สำเร็จ ได้สำเร็จเหมือนพวกคุณมาก่อน"
.
นี่คงเป็นหนึ่งความสำเร็จในการบริหาร Loudcloud ของ Ben
แม้ว่า Loudcloud จะรอดตายจากการล้มละลายมาได้อย่างหวุดหวิด
แต่อุปสรรคที่ต้องเจอยังมีอีกมากมายหลายร้อยหลายพันเรื่อง
.
"ใครที่คิดว่า Tech Company จะจบลงแบบง่ายๆ แสดงว่า คุณโลกสวยมาก"
"บางครั้งเพื่อเอาตัวรอด ก็ต้องสละบางสิ่ง ยอมตัวแขนตัดขาเพื่อหายใจ"
นี่คือสิ่งที่ Ben กล่าวเสมอในการถ่ายทอดประสบการณ์ของเขา
.
จึงนำมาสู่ ข้อคิดข้อที่ 2
"บอกปัญหาตรงๆ พูดคุยกับพนักงานตรงๆ ว่ากำลังเจอวิกฤต"
.
ตัวอย่างเหตุการณ์ของการสื่อสารตรงๆ กับพนักงาน
.
หลังผ่านวิกฤต EDS มาได้ แน่นอนว่า ขณะนั้นถือได้ว่า EDS แทบจะเป็นเจ้าของ Loudcloud แล้ว
เพียงแค่สัญญาที่ตกลงกันไว้ ไม่ได้ถึงขั้นให้ EDS มาบริหารเท่านั้น
Ben จึงจำเป็นต้องปลดพนักงานบางส่วน
และพยายามสื่อสารถึงความยากลำบากที่ต้องเดินไปในอนาคตของบริษัท
.
"ผมบอกทุกอย่างที่ผมรู้ให้พวกคุณหมดแล้ว นักลงทุนไม่คิดว่า เราจะไปต่อได้
แต่ผมเชื่อว่า เราไปต่อได้ และเราจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน"
Ben พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงใจ
"ผมเข้าใจถ้าพวกคุณไม่เชื่อ เนื่องจากเราต้องเริ่มต้นบริษัทกันใหม่ มีความท้าทายอีกมากรออยู่ข้างหน้า สิ่งเดียวที่ผมขอคือ ถ้าพวกคุณจะลาออกให้ลาออกวันนี้เลย ผมจะไม่ไปส่งคุณที่ประตู แต่ผมจะหางานใหม่ให้พวกคุณ ตอนนี้เราจำเป็นต้องรู้ว่าสถานภาพของเราเป็นอย่างไร และผมคงทำใจไม่ได้หากพวกคุณค่อยๆ ทยอยกันออกไปในภายหลัง ดังนั้นพวกคุณต้องยึดมั่นในจุดยืนของตัวเอง"
.
ประโยคที่ตรงไปตรงมาของ Ben ทำให้พนักงานจำนวนหนึ่งลาออกไป ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติในบริษัทเทค
แต่ใครจะรู้ว่า พนักงานที่อยากทำงานกับ Ben อยู่ก็มีเช่นกัน และมีจำนวนเยอะกว่าคนที่ลาออกไปเป็นไหนๆ
คนที่พร้อมเผชิญความท้าทาย พร้อมเผชิญหน้าฝ่าฟันทุกอุปสรรคไปพร้อมกับ Loudcloud ไปพร้อมกับ Ben
ทำให้ Ben รู้สึกมีความหวัง และตั้งใจจะดูแลทีมของเขาให้ดีที่สุด
.
น่าทึ่งเป็นอย่างมาก.. ต่อมา เหล่าพนักงานที่ยังคงยืนหยัดในวันนั้น
กลายเป็นพนักงานที่มีความสุขกับการทำงานที่สุด
แม้พวกเขาจะทำงานตั้งแต่ 8 โมง ถึง 10 ทุ่ม ทุกวันเป็นเวลากว่า 8 ปี
พวกเขาก็ไม่ได้บ่นกันสักคำ อีกทั้งไม่มีพนักงานคนไหนลาออกจากวันนั้นเลย
.
บางทีผมก็แอบสงสัยว่า เป็นเพราะพนักงานเหล่านั้น เป็นคนรักความท้าทายอยู่แล้วด้วยตัวเอง
หรือเป็นเพราะความเชื่อมั่นในตัวผู้นำของเขาหรือเปล่า
ทำให้พนักงานรักองค์กรและพยายามทำตัวให้มีค่าที่สุดในองค์กร
.
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น
ทำให้องค์กรเป็นปึกแผ่น ทุกคนสามัคคี ไม่มีใครเอาเปรียบใคร พร้อมช่วยกันฝ่าฟันทุกมรสุมที่เข้ามา
ช่างเป็นองค์กรที่น่าอยู่เสียจริง!!!
.
Ben เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า
"ผมแค่ต้องการระบายความอึดอัด ความกดดัน ความเศร้าในใจของผม"
"ผมคิดว่า ผมไม่จำเป็นต้องแบกภาระนั้นไว้คนเดียว พนักงานทุกคนควรจะต้องรับภาระความกดดันไปบ้าง"
"พวกเขาจำเป็นจะต้องได้รู้ถึงความจริง และแบ่งเบาภาระของผมบ้าง"
.
แม้จะเป็นเพียงแค่การระบายความในใจ แต่ Ben เชื่อว่า
"การบอกความจริงคือการสร้างความเชื่อใจ เมื่อคนเราเชื่อใจใครสักคนก็ไม่ต้องถาม ไม่ต้องเซ้าซี้อะไรมากมาย เพราะเขาจะรู้ว่าเรากำลังทำเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา"
สิ่งนี้ช่วยให้องค์กรผ่านพ้นวิกฤตได้ง่าย เพราะทุกคนเชื่อใจ CEO และ CEO ก็ทำเพื่อทุกคน
มันทำให้ช่วงเวลาที่เลวร้ายกลายเป็นช่วงแห่งความสนุกสนานท้าทาย จนลืมเรื่องทุกข์ใจไปเลย
.
5 ปีต่อมา หลังจากนั้น Loudcloud กลายเป็นอันดับหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยี
มีนักลงทุนติดต่อต้องการซื้อกิจการมากมาย
ด้วยผลกำไรที่ดีขึ้น ลูกค้าที่มากขึ้น อีกทั้งโลกกำลังหันหน้าไปยังระบบ Cloud
ระบบ Cloud เป็นสิ่งที่โลกกำลังต้องการ !!!
.
Loudcloud เนื้อหอมมากในหมู่นักลงทุน
เคยมีผู้ขอซื้อ Loudcloud ในราคาหุ้นละ 11$
ตอนแรก Ben ตั้งใจจะปล่อยไป เพราะมันถือว่าเป็นการยุติความเหนื่อยยาก ความลำบากที่ผ่านมากว่า 8 ปี
แต่เมื่อนึกถึงพนักงานแต่ละคนที่ทำงานอย่างหนักหน่วงและทุ่มเทมาโดยตลอด ไม่เคยยอมแพ้ และสู้ไปพร้อมกับเขา
เขาจึงตั้งใจจะขายที่ 14$ เพื่อเป็นการตอบแทนพนักงานทุกคนที่เขารัก
.
แม้ว่านักลงทุนหลายๆ คนจะบอกว่า ราคาแพงไป หรือ ขอต่อราคา
Ben จะตอบกลับไปเสมอว่า "ราคาที่คุณเสนอนั้นดีมาก.. แต่ผมจะขายที่ 14$ เท่านั้น"
.
สุดท้ายแล้ว Ben จะสามารถขายหุ้นของ Loudcloud ในราคา 14$ หรือไม่ ?
จะมีบททดสอบรออยู่หรือเปล่า ?
.
โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านบทความนี้จนจบ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่าน
ถ้าชอบผลงาน ฝากกดไลค์ กดแชร์ กดติดตามเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ
เจอกันใหม่บทความหน้า สวัสดีครับ
ที่มา: หนังสือ The Hard Thing About Hard Things
#รีวิวหนังสือ #TheHardThingAboutHardThings #TheHardThingAboutHardThingsรีวิว
โฆษณา