18 พ.ค. 2022 เวลา 23:00
ฌาน กับ การปรินิพพาน ของพระอนาคามี
เพื่อความถ้วนรอบในฌาน ลำดับต่อไปนี้อาตมาจะแสดงธรรมในหัวข้อธรรมว่า ฌาน กับ การปรินิพพาน 7 ฐานะ ของพระอนาคามี โดยอาตมาจะอาศัยเอาพระสูตรทุกๆพระสูตร ที่พระศาสดาได้แสดงถึงความเป็นพระอนาคามี และการปรินิพพานนั้น เป็นที่ตั้ง เพื่อแสดงธรรมนี้ ขอพวกเราได้รับฟังไปตามลำดับเถิด
ในเรื่องนี้ต้องท้าวความให้กับพวกเราได้รับฟังว่า องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บัญญัติ หรือได้ประกาศเอาไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน4 นี้ อย่างนี้ตลอด 7วัน เขาพึงหวังผล 2 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งคือ พระอรหัตตผลในปัจจุบัน1 หรือเมื่อยังมีอุปธิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี1
ฐานนะของพระอนาคามี หรือพระอรหันต์นั้น จะต้องได้มาจากการประพฤติปฏิบัติตามธรรมที่ชื่อว่าโพธิปักขิยธรรม ที่แสดงอยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตรเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าการได้มาซึ่งฐานะของความเป็นพระอนาคามี จากการเจริญสติปัฏฐาน4 แล้วยังเหลืออุปธิอยู่ ยังไม่ถึงพระอรหันต์นั้น แต่ฐานะนี้หละ สามารถปรินิพพานได้ เมื่อกระทำที่สุดแห่งความสิ้นอาสวะ ในฐานะของพระอนาคามีนี้
องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสเอาไว้ในมหาลิสูตรว่า ดูกรมหาลี ข้ออื่นยังมีอีก ภิกษุเป็นผู้เกิดในภพสูง ปรินิพพานในภพนั้น เป็นผู้ไม่เวียนกลับมาจากภพนั้น หรือไม่มาจากโลกนั้น เป็นโอปาติกะ เป็นพระอนาคามี เพราะสัญโยชน์เบื้องต่ำ 5 สิ้นไปแล้ว สังโยชน์ต่ำ 5 ก็สิ้นไป การกระทำความสิ้นอาสวะก็ต้องสิ้น แต่สิ้นอย่างไรจึงไม่เลยไปถึงความเป็นพระอรหันต์ ตรงนี้เป็นตรงที่สำคัญ
องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงฐานะ ของพระอนาคามีเอาไว้ ในการที่อยู่ในฐานะของพระอนาคามี แล้วทำที่สุดแห่งทุกข์เอาไว้อยู่ 7 ฐานะ ฐานนะที่1 คือ บุคคลผู้หนึ่งผู้ใดผู้นั้น บรรลุเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะแล้วอยู่ในปัจจุบันนั้นหละ สั้นๆยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอนาคามี
ข้อที่2 หรือประการที่2 บุคคลผู้นี้ เป็นฐานะที่ไม่ก่อนไม่หลัง อาสวะก็สิ้นพร้อมๆกันกับเสียชีวิตไม่ก่อนไม่หลังเลย นี่ฐานะที่2
ฐานะที่3 จึงเป็น อันตราปรินิพพายี
ฐานะที่4 เป็น อุปหัจจปรินิพพายี
ฐานะที่5 เป็น อสังขารปรินิพพายี
ฐานะที่6 เป็น สสังขารปรินิพพายี
และฐานะที่7 เป็น อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ตรงนี้ก็ปรินิพพายีเหมือนกัน อาตมาชี้ให้ดูเลยว่า ฐานะที่7 นี้ก็เป็นปรินิพพายี
ปรินิพพายีอย่างไร ทุกฐานะปรินิพพานทั้งสิ้น ใน 7 ฐานะนี้ ของพระอนาคามี ตามคำของพระศาสดาว่า ภิกษุเป็นผู้เกิดในภพสูง เป็นผู้ปรินิพพานในภพนั้น เป็นผู้ไม่เวียนกลับจากโลกนั้น คือต้องปรินิพพานเมื่อถึงฐานะ 7 ฐานะนี้แล้ว อยู่ในฐานะ 7 ฐานะนี้แล้ว
ถ้าเรื่องนี้เราจะดูได้ยาก จะดูได้ยาก แม้จะดูในพระสูตรที่ชื่อว่า อนิจจาสูตร ทุกขสูตร อนัตตสูตร หรือนิพพานสูตรนี้ เราก็จะดูได้ยากว่า จะดูได้อย่างไร ว่าปรินิพพานได้อย่างไร
เรามาดูตามธรรมของพระศาสดาที่ประกาศเอาไว้ใน นิพพานสูตรนี้ว่า ฐานะที่1 นี้ ปรินิพพานในปัจจุบัน ฐานะที่2 ปรินิพพานในขณะที่เสียชีวิต เสียชีวิตลงไปอาสวะก็สิ้น จังหวะนี้หละเสียชีวิตพอดี ปรินิพพานพอดี อาสวะก็สิ้นพอดี ตรงนี้ไม่ก่อนไม่หลัง
ฐานะที่3 อันตราปรินิพพายี ปรินิพพานหลังการตาย
ฐานะที่4 เป็น อุปหัจจปรินิพพายี ก็ปรินิพพานหลังการตาย
ฐานะที่5 อสังขารปรินิพพายี ก็ปรินิพพานหลังการตาย
ฐานะที่6 สสังขารปรินิพพายี ก็ปรินิพพานหลังการตาย
ฐานะที่7 เป็น อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ก็ปรินิพพานหลังการตาย ตายแล้วจึงปรินิพพาน
เราจะดูจะเห็นฐานะที่1 ปรินิพพานในขณะที่มีชีวิตอยู่ สั้นๆ ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ฐานะที่2 นี้ ปรินิพพานในขณะที่อาสวะก็สิ้น ชีวิตก็สิ้นไปพร้อมกัน ฐานะอีก 5 ฐานะเบื้องหลังนี้ หลังการตายทั้งนั้น
ถ้าดูตรงนี้เราก็จะดูไม่ออกว่า ฐานะเหล่านี้ยาก เพราะความตายนั้นเราคิดว่า เราเห็นว่า ตายแล้วจบลงไปเลย ตายแล้วจบลงไปเลย แต่ฐานะของพระอริยะที่ได้ประพฤติตามธรรมของพระศาสดา ย่อมเห็นสภาวะของจิต มโน วิญญาณ ของตนได้ตามกำลัง
ถ้าดูจากอุปมาใน ปุริสคติ7 ข้อ52 พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่23 นี้ เราจะเห็นชัดว่า จากอุปมานี้เราจะเห็นสภาวะที่ปรินิพพานในปัจจุบันบ้าง ปรินิพพานในขณะที่เสียชีวิตแล้วอาสวะสิ้นบ้าง ปรินิพพานหลังการตาย 5 ฐานะเบื้องล่างนี้เป็นอย่างไรจากอุปมา แต่ก่อนที่จะไปถึงอุปมาข้อ2 ข้อ3 ข้อ4 ข้อ5 ข้อ6 ข้อ7 นี้ เรามาดูในเรื่องของฐานะที่1 ก่อน
ปรินิพพานในปัจจุบันของพระอนาคามี ยกตัวอย่างเช่น พระปุกกุสาติ ในสมัยที่พระศาสดาได้เดินทางไปยังกรุงราชคฤห์ ที่เมืองมคธ แคว้นมคธนั้น ได้เข้าไปพักที่โรงปั้นหม้อของนายภัคควะ ในที่นั้นพระปุกกุสาติได้เข้าไปพักอยู่ก่อน
พระศาสดาทำตามคำของนายช้างปั้นหม้อ เข้าไปขออนุญาตกันแล้วก็พักอยู่ที่นั้น ขณะที่พักอยู่ที่นั้น พระศาสดาได้สังเกตุเห็น อากัปกิริยาของพระปุกกุสาติ ว่าดีงามจึงถามถึงความเป็นมา ได้ทราบว่าพระปุกกุสาตินั้น ได้มีความศรัทธาต่อสมณะโคดม ได้ถือบวชตามธรรมของสมณะโคดม
แต่พอพระศาดาที่อยู่ต่อหน้าถามพระปุกกุสาติว่า ตอนนี้สมณะโคดมอยู่ที่ไหน
ก็ตอบเพียงว่า อยู่ที่กรุงสาวัตถี
ท่านเคยเห็นไหม ตอบว่า ไม่เคยเห็น
ท่านรู้จักไหม ตอบว่า ไม่เคยรู้จัก
ถ้าเห็นจะรู้จักไหม ตอบว่าไม่รู้จัก
นี่คือคำสนทนากันระหว่าง องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปุกกุสาติ เมื่อเห็นว่าพระปุกกุสาติมีความศรัทธาต่อตน ต่อธรรมของตน จึงได้แสดงธรรมให้พระปุกกุสาติได้ฟังตลอดทั้งคืน ด้วยธรรมอันประณีตยิ่ง เพราะรู้ว่าพระปุกกุสาติมีศรัทธาต่อตนเองอยุ่แล้ว
จนทำให้พระปุกกุสาตินั้น มีบุพกรรมที่ดีมาก่อน ได้ฟังธรรมนี้มาก่อนเนื่องๆ จำติดปาก จำขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิมาก่อน ทำให้พระปุกกุสาติบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี ปรารถนาที่จะออกบวชตาม พระศาสดาก็อนุญาต แต่ก่อนบวชต้องหาผ้า และหาบาตรมา
พระปุกกุสาติยินดียิ่งนัก จึงออกเดินทางหาบาตรและหาผ้า หรือหาผ้าและหาบาตร ขณะที่กำลังหาผ้าและหาบาตรอยู่นั้น ได้ถูกแม่วัวนม วัวแม่ลูกอ่อนขวิดตาย จากอากัปกิริยาที่เป็นไปของพระปุกกุสาตินี้ พระศาสดาพยากรณ์ว่า พระปุกกุสาตินั้น ได้ปรินิพพานแล้วในฐานะของพระอนาคามีนี้
นี่คือการปรินิพพานในขณะที่บรรลุธรรมสั้นๆ ยังไม่พ้น 1วันเลย ยังไม่เลยไปถึงพระอรหันต์เลย ปรินิพพานแล้ว
ฐานะที่2 เป็นเรื่องของพระพาหิยทารุจีริยะ ขณะที่พระศาสดากำลังบิณฑบาตรอยู่ พระพาหิยทารุจิริยะได้ขอฟังธรรม พระศาสดาบอกว่า ฐานะนี้ไม่ใช่ฐานะที่จะแสดงธรรม แต่จำนนด้วยข้อขอของพระพาหิยทารุจิริยะว่า ถ้าข้าพระองค์ต้องเดินทางไปแล้วตายก่อนหละ จะได้ฟังธรรมหรือ
เป็นเหตุให้พระศาสดาได้แสดงธรรมที่ย่นย่อให้กับพระพาหิยทารุจิริยะฟังว่า
ทิฏเฐนะ ทิฏตวาทิตา สุเตนะ สุตวาทิตา มุเตนะ มุตวาทิตา วิญญาเต วิญญาตวาทิตา
ได้เห็นสักแต่ว่าได้เห็น ได้ฟังสักแต่ว่าได้ฟัง ได้รู้สักแต่ว่าได้รู้ รู้แจ้งสักแต่ว่ารู้แจ้ง
เนื้อความแห่งธรรม 4 ธรรมนี้ ทำให้พระพาหิยทารุจิริยะบรรลุความเป็นพระอนาคามี ปราถนาที่จะออกบวชเช่นเดียวกัน พระศาสดาก็ตรัสเช่นเดียวกัน ให้หาผ้าหาบาตร พระพาหิยทารุจิริยะกระทำตามนั้น แต่ไปถูกแม่วัวนม วัวแม่ลูกอ่อนขวิดตายเหมือนกัน พระศาสดาได้ทำนาย หรือพยากรณ์การไปของพระพาหิยทารุจิริยะว่า ได้ปรินิพพานแล้ว โดยฐานะของพระอนาคามีนี้
นี่ฐานะที่1 บรรลุธรรมแล้วปรินิพพาน บรรลุความเป็นพระอนาคามีแล้วปรินิพพาน ยังไม่เลยไปถึงพระอรหันต์ นี่ฐานะที่1
ฐานะที่2 นี้ ปรินิพพานในขณะที่อาสวะก็สิ้น ชีวิตก็สิ้น ตรงนั้นหนะ ตรงตายนั่นหละ ปรินิพพานตรงการเสียชีวิตนั่นหละ อาสวะก็สิ้น ชีวิตก็สิ้นพร้อมกัน ในเรื่องนี้ถ้าดูจากอุปมานี้ จะเห็นชัด จะเห็นชัด
มีอุปมาอยู่ 6 อุปมา ฐานะที่1 ไม่มีอุปมา แต่เป็นเรื่องของคนจริงๆ บุคคลจริงๆ
ฐานะที่1 นี้ อุปมาเหมือนเล็กถูกไฟเผาตลอดทั้งวัน แดงร้อนอยู่ทั้งวัน นายช่างเคาะเอาค้อนมาเคาะเหล็กนี้ สะเก็ดไฟนั้นหลุด หลุดจากเหล็กแท่งใหญ่ สะเก็ดไฟพอหลุดปั๊บ หลุดปั๊บก็ดับปั๊บทันที หลุดปั๊บแล้วดับปั๊บทันที
นั่นคือสภาวะปรินิพพานของพระอนาคามี ฐานะที่2 นี้ คือขณะที่อาสวะก็สิ้น ชีวิตก็สิ้น คือหลุดปั๊บออก แล้วก็ดับทันทีเลย ปรินิพพาน จากอุปมานี้จะเห็นได้ง่าย
ฐานะที่3 คือ อันตราปรินิพพายี ฐานะนี้ สะเก็ดไฟได้หลุดออกจากเหล็กแท่งใหญ่ที่ถูกเผาตลอดทั้งวัน เมื่อถูกเคาะ หลุดออกมาแล้วลอยมา ลอยมายังไม่ตกถึงพื้นดับก่อน ดับแล้ว นั่นคือสภาวะปรินิพพานหลังการตาย คือตายแล้วหลุดออกมา แล้วก็ปรินิพพานหลังการตายนั้น คือดับตอนที่ลอบอยู่ในอากาศ
ฐานะที่4 เป็น อุปหัจจปรินิพพายี อุปมาเหมือนเหล็กถูกไฟเผาร้อนๆทั้งวันเช่นเดียวกัน เหล็กเดียวกัน นายช่างเคาะเหล็กนั้น สะเก็ดไฟ หลุดออกมาจากแท่งเหล็กใหญ่ ตกถึงพื้นจึงดับ ตกถึงพื้นแล้วก็ดับ ปรินิพพานตอนที่ตกถึงพื้นแล้วสะเก็ดไฟดับนั่นแหละ
ฐานะที่5 อสังขารปรินิพพายี ฐานะนี้สะเก็ดไฟที่หลุดออกมาจากเหล็กแท่งใหญ่ที่ถูกเผาทั้งวัน ลอยขึ้นมาตกถึงพื้น ยังไม่ดับแต่ไปตกถึงพื้นที่ถูกกองหญ้ากองไม้เล็กๆ ไหม้กองหญ้ากองไม้เล็กๆนั้นหมดเชื้อดับ ดับไป ปรินิพพานตอนนั้น นี่คือหลังความตาย
ฐานะที่6 สสังขารปรินิพพายี ฐานะนี้ก็อุปมาเดียวกัน คือเหล็กถูกไฟเผาร้อนๆทั้งวัน แล้วนายช่างเคาะเหล็กนั้น สะเก็ดไฟหลุดออกมา หลุดออกมาลอยตกไปถึงพื้น ตอนนี้ไปไหม้กองไม้กองหญ้า กองหญ้ากองไม้ที่ย่อมๆ ที่ใหญ่กว่ากองที่5 เมื่อซักครู่นี้ กองหญ้าย่อมๆ ไหม้จนหมดเชื้อ แล้วก็ดับไป นี่คือฐานะของ สสังขารปรินิพพายี ปรินิพพานหลังการตาย เป็นดังนี้
ฐานะที่7 อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ฐานะนี้อุปมาเหมือนกับว่า เหล็กถูกไฟเผาร้อนๆทั้งวัน สะเก็ดไฟที่ถูกนายช่างเคาะลอยออกมา ลอยออกมาแล้วตกถึงพิ้น ตกถึงพื้นแล้วถูกกองหญ้ากองไม้ที่ใหญ่ทีนี้ ใหญ่เลย แล้วก็ไหม้กองไม้กองหญ้าที่ใหญ่ๆนี้ ไหม้จนหมดเชื้อ
ไหม้แล้วก็ลามป่าลามทุ่งไป ไหม้กอหญ้ากอไม้ ลามป่าลามทุ่งไปจนถึง ชายหญ้าเขียวๆใหม้ต่อไปไม่ได้ ถึงชายน้ำก็ไหม้ต่อไปไม่ได้ ถึงที่ป็นที่อภิรมณ์ ในที่นี้ที่เปียกที่ชื่นอยู่ ไหม้ต่อไม่ได้ ไฟก็ดับลง แม้จะใหม้ไปเป็นบริเวณกว้าง แต่ก็ดับลง นี่คือฐานะที่ท่านอุปมา อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ปรินิพพานเช่นเดียวกัน
ปรินิพพานหลังการตายนี้มีอยู่5ฐานะ
คือฐานะที่3 อันตราปรินิพพายี
ฐานะที่4 คือ อุปหัจจปรินิพพายี
ฐานะที่5 อสังขารปรินิพพายี
ฐานะที่6 สสังขารปรินิพพายี
ฐานะที่7 อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
ฐานะ 5 ฐานะนี้ ปรินิพพานหลังการตาย ของพระอนาคามี
ฐานะที่1 ย้อนไปฐานะที่1 ปรินิพพานในปัจจุบัน แต่สั้นๆ ยังไม่เลย 1วัน ไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำ ไม่เลย 1วัน ยังไม่ไปถึงความเป็นพระอรหันต์ นี่ฐานะที่1
ฐานะที่2 ปรินิพพานในขณะที่อาสวะสิ้นแล้ว แลัวก็เสียชีวิตพร้อมกัน ฐานะที่3 ที่4 ที่5 ที่6 ที่7
5 ฐานะเบื้องล่างนี้ ปรินิพพานหลังการตาย ทั้งสิ้น นี่คือการปรินิพพานของพระอนาคามี 7 ฐานะ
ปรินิพพานทุกคน มาถึงพระอนาคามีแล้ว ไม่กลับไปจากโลกเป็นพระอนาคามี ไม่ไปสู่โลกอื่น ปรินิพพานในที่นั่น
ทุกคนจะต้องทำความเป็นที่สุดเห็นทุกข์ คือ บรรลุเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะอยู่ในปัจจุบันทั้งสิ้น แต่สั้นๆ ปัจจุบันก็ตัวอย่าง เช่น พระพาหิยทารุจีริยะ กับ พระปุกกุสาติ บรรลุธรรมแล้วก็ปรินิพพานในความเป็นพระอนาคามีนั่นแหละ
ฐานะที่2 ก็ในขณะที่อาสวะสิ้น ชีวิตก็สิ้นด้วย ปรินิพพานตรงนั้น
ฐานะที่2 ดังที่ได้อุปมา ที่อาตมาได้อุปมาแล้ว เป็นสะเก็ดไฟที่หลุดออกมาจากแท่งเหล็กใหญ่แล้วก็ดับ ปรินิพพานตรงนั่น หลังการตาย
ฐานะที่3 เป็นสะเก็ดไฟที่หลุดออกมาแล้วลอยอยู่กลางอากาศดับ
ฐานะที่4 เป็น อุปหัจจนี้ ลอยออกมาจากแท่งใหญ่ แล้วตกถึงพื้นดับ
ฐานะที่5 เป็นอสังขาระ ลอยออกมาจากแท่งใหญ่ แล้วก็ไฟถูกกองไหม้กองหญ้าเล็กๆแล้วก็ดับ
ไหม้จนดับ
ฐานะที่6 เป็น สสังขารปรินิพพายี ลอยออกมาจากแท่งใหญ่ไปถูกกองไม้กองย่อมๆไหม้จนหมดเชื้อแล้วก็ดับ ปรินิพพานตรงนั้น
ฐานะที่7 เป็น อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ลอยออกมาจากแท่งใหญ่ มาถูกกองหญ้ากองไม้ที่ใหญ่ๆ ไหม้จดหมดเชื้อ แล้วยังไม่พอ ยังลามป่าลามทุ่งไปอีก ไปจน จดหญ้าเขียว ไปจนจดชายน้ำ ไปจนจดที่ๆเปียก ที่ชื้นอยู่ ที่น่าอภิรมณ์ ไหม้ต่อไปไม่ได้หมดเชื้อก็ดับ ปรินิพพานในตรงนั้น
เราจะเห็นฐานะของพระอนาคามีได้ดังนี้ ในการปรินิพพานของท่าน ท่านจะปรินิพพานในช่วงเป็นพระอนาคามี ยังไม่เลยไปถึงพระอรหันต์
อาตเชื่อมั่นว่าถ้าเลย 1วันไปก็คือ ได้มีชีวิตอยู่เป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะว่า ความสิ้นอาสวะ สิ้นในพระอนาคามีนี้ เมื่อเลยไปถึงพระอรหันต์ เป็นผู้ที่ดับสังโยชน์ทั้ง 10 สิ้นแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะใดๆแล้วจึงเป็นพระอรหันต์
แต่ฐานะของพระอนาคามีนั้นสั้น จบลงในตอนที่บรรลุธรรมแล้วก็จบ แล้วก็จบตอนที่เสียชีวิต จบๆๆๆลงไปตามลำดับที่พระศาสดาอุปมาเอาไว้
ขอให้พวกเราได้ถ้วนรอบในธรรมนี้ไปตามลำดับ ดูเนื้อความแห่งธรรมที่วิญญูชน เมื่อได้ฟังอุปมาแล้วย่อมเข้าใจตาม นี่คือฐานะทั้ง7 ของพระอนาคามีที่ บรรลุธรรมแล้วปรินิพพานไปตามลำดับ
อนุโมทนากับทุกคนเอาไว้เท่านี้
แสดงธรรมโดย หลวงพ่อ พุทธปัญโญ
วันเสาร์ที่ 5 เดือน มิถุนายน ปี 2564

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา