20 พ.ค. 2022 เวลา 02:35
ฌาน กับ ความเป็นอยู่ในปัจจุบัน ของพระอรหันต์
เพื่อความถ้วนรอบในฌาน ลำดับต่อไปนี้อาตมาจะแสดงธรรมในหัวข้อธรรมว่า ฌาน กับความเป็นอยู่ในปัจจุบันของพระอรหันต์ โดยได้อาศัยเอา ฉวิโสธนสูตร ข้อ166 เป็นต้นไป พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่14 เป็นที่ตั้ง เพื่อแสดงธรรมนี้ ขอพวกเราได้รับฟังไปตามลำดับเถิด
ในเรื่องของ ฌาน กับความเป็นอยู่ในปัจจุบันของพระอรหันต์นี้ อาตมาจะนำเอา ฉวิโสธนสูตร มาอ่านให้กับพวกเราได้รับฟัง เพื่อคงเนื้อความแห่งธรรมนั้นให้บริบูรณ์เป็นบางส่วน และอาตมาจะอธิบายสรุป เนื้อความแห่งธรรมนั้น ให้กับพวกเราได้รับฟังด้วย เพื่อความไม่เนิ่นช้าเป็นบางส่วน เรามาเริ่มต้นกันดังนี้
ฉวิโสธนสูตร ข้อ166 ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ก็ในสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพยากรณ์อรหัตตผลว่า ข้าพเจ้ารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าเพ่อยินดี อย่าเพ่อคัดค้าน คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น ครั้นไม่ยินดีไม่คัดค้านแล้ว พึงถามปัญหาเธอว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ โวหารอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ ตรัสไว้ชอบนี้ มี 4 ประการ
4 ประการเป็นไฉน คือ คำกล่าวว่า เห็นในอารมณ์ที่ตนเห็นแล้ว1
คำกล่าวว่า ได้ยินในอารมณ์ที่ตนฟังแล้ว1
คำกล่าวว่า ทราบในอารมณ์ที่ตนทราบแล้ว1
คำกล่าวว่า รู้ชัดในอารมณ์ที่ตนรู้ชัดแล้ว1
นี้แล โวหาร 4 ประการอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธได้ตรัสไว้ชอบ ก็จิตของท่านผู้มีอายุ ผู้รู้อยู่ เห็นอยู่ อย่างไรเล่า จึงหลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในโวหาร 4 นี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนโดยลำดับแล้ว สิ้นสัญโญชน์ในภพนั้นแล้ว พ้นวิเศษแล้ว เพราะรู้ชอบ จึงนับว่า มีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ได้ดังนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัยไม่พัวพัน พ้นวิเศษได้แล้ว พรากได้แล้ว ในธรรมที่ข้าพเจ้าได้เห็น มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่
ข้าพเจ้าไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัย ไม่พัวพัน พ้นวิเศษแล้ว พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้ยิน มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่
ข้าพเจ้าไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัยไม่พัวพัน พ้นวิเศษแล้ว พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้ทราบ มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่
ข้าพเจ้าไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัยไม่พัวพัน พ้นได้แล้ว พรากได้แล้ว ในธรรมที่ข้าพเจ้าได้รู้ชัดอยู่ มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่ ดูกรท่านผู้มีอายุจิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่ เห็นอยู่ อย่างนี้แล จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ยึดมั่นในโวหาร 4 อย่างนี้
เนื้อความแห่งธรรมตอนนี้ พวกเราได้ฟังแล้ว เราจะรุ้ชัดว่า นี่คือธรรมที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แสดงให้กับพระพาหิยทารุจิริยะฟัง ในตอนที่อาตมาได้แสดงในตอนที่แล้ว
ที่ว่า ทิฏเฐนะ ทิฏฐวาทิตา
สุสเตนะ สุสตวาทิตา
มุเตนะ มุตวาทิตา
วิญญาเต วิญญาตวาทิตา
ได้เห็นสักแต่ว่าได้เห็น
ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน
ได้รู้สักแต่ว่าได้รู้
รู้แจ้งสักแต่ว่ารู้แจ้ง
พระพาหิยทารุจีริยะ ได้ฟังธรรม 4 ประโยค หรือ 4 เนื้อความนี้ ก็บรรลุความเป็นพระอนาคามี แล้วหลังจากนั้นพระพาหิยทารุจีริยะ ก็ได้เสียชีวิตโดยการ ถูกแม่วัวนมขวิดเอา แต่ก็ปรินิพพานในภพนั้น แต่เนื้อความแห่งธรรมนั้นมาปรากฏอยู่ในความเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ก็ต้องฟังเนื้อความนี้ รู้ในเนื้อความนี้ ดังที่พระศาสดาได้แสดงเอาไว้ ตามที่อาตมาได้อ่านนี้
คือเนื้อความแห่งธรรมนี้ก็มี 4 อย่างคือ ข้าพเจ้าไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัยไม่พัวพัน พ้นวิเศษได้แล้ว พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้เห็น
ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัยไม่พัวพัน พ้นได้แล้ว พรากได้แล้ว ในธรรมที่ข้าพเจ้าได้ยิน ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัยไม่พัวพัน พ้นวิเศษได้แล้ว พรากได้แล้ว ในธรรมที่ข้าพเจ้าได้ทราบ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัยไม่พัวพัน พ้นวิเศษได้แล้ว พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้รู้ชัด
นี่คือความเป็นพระอรหันต์ ก็ต้องคงเนื้อความแห่งธรรมนี้ แต่ความเป็นพระอรหันต์นั้น ท่านมีชีวิตอยู่ที่ยืนยาวตามฐานะแห่งชีวิตของท่าน จะอยู่เกิน 1วัน 2วัน หรือเป็น 45ปี อย่างเช่นองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็เป็นพระอรหันต์ ท่านก็ต้องรู้ในธรรมเหล่านี้
นี่คือเนื้อความแห่งธรรมที่ย่อ เนื้อความแห่งธรรมที่ย่อ เราได้ฟังคำว่า อนุปาโย อนปาโย อัปปฏิพัทโธ วิปปมุตโต วิสังยุตโต วิมริยาทิกเตน วิหรติ ข้าพเจ้าไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัยไม่พัวพัน พ้นได้แล้ว พรากได้แล้วในธรรมนั้นๆ มีใจอันปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่
นี่คือเนื้อความแห่งธรรมที่สรุปอยู่ในองค์ฌาน ที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงการกระทำฌานของท่านพระสารีบุตร จากอนุปทสูตร ที่อาตมาเคยแสดงแล้ว พวกเราย้อนไปฟัง แล้วกลับมาลำดับให้ดู
นี่จะเห็นความเป็นไปตามลำดับของการกระทำฌาน ต้องทำอยู่ แม้ในขณะที่เป็นพระอรหันต์ ในที่นี้ พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งที่กล้าพยากรณ์ คือประกาศตนว่า ตนเป็นพระอรหันต์แล้ว จบแล้ว ที่ท่านว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพยากรณ์อรหัตตผลว่า ข้าพเจ้ารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีนั้น
ภิกษุรูปนี้ รู้ชัดว่า ตนเป็นพระอรหันต์แล้ว ทุกคนต้องรู้ ในปวงญาติของอาตมา ที่ตามอาตมามาอยู่นี้ ทุกคนต้องรู้ว่า เมื่อตนมาถึงสภาวะที่ตนได้กระทำมาตามลำดับแล้ว ก็ต้องรู้ว่า ตนผ่านโสดาบันมา ตนผ่านพระสกทาคามีมา ตนผ่านพระอนาคามีมา และที่สุดตนได้ทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อการกระทำอย่างนี้มิได้มี
ต้องรู้ชัด ขีณา ชาติ วุสิตัง พรหมจริยัง กตัง กรณียัง นาปรัง อิตถัตตายาติ ปชานาติ ต้องรู้ดังนี้ทุกคน ความเป็นพระอรหันต์ก็ต้องรู้อยู่ตลอดเวลา ต้องกระทำอยู่ตลอดเวลา
อนุปาโย อนปาโย อัปปฏิพัทโธ วิปปมุตโต วิสังยุตโต วิมริยาทิกเตน
ข้าพเจ้าไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัย ไม่พัวพัน พ้นได้แล้ว พรากได้แล้วในธรรมนั้นๆ ที่ได้เห็น ที่ฟัง ที่ดม ที่กิน ที่สัมผัส ที่รับรู้ด้วยจิตใดๆ มีใจอันปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่
คือต้องพรากอยู่ตลอดเวลา เราต้องดูตลอดเวลา เราต้องฟังตลอดเวลา เราต้องดมตลอดเวลา เราต้องกิน ต้องสัมผัส ต้องรับรู้เรื่องราวใดๆอยุ่ตลอดเวลา นี่คือคำประกาศขององค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อความเป็นพระอรหันต์ ก็ต้องกระทำฌานอยู่ตลอดเวลา
แล้วหลังจากนั้น ภิกษุรุปนั้น ก็ต้องรู้ใน อุปาทานขันธ์5 อุปาทานขันธ์5 นี้ เป็นบทธรรมย่อของปฏิจจสมุปบาท ที่ยาวๆนั้นเป็นรายละเอียด แต่เมื่อจะพูดในฐานะผู้รู้แล้ว พระศาสดามักจะพูดในฐานะของคำย่อ คืออุปปาทานในขันธ์5 อันมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ 5 องค์ธรรมนี้ ทุกคนต้องรู้ รู้ว่านี่เป็นธรรมย่อของปฏิจจสมุปบาท พระอรหันต์ก็ต้องรู้ชัดในเรื่องนี้ แล้วพรากในเรื่องนี้
หลังจากนั้นพระอรหันต์นี้ ก็ต้องรู้ในความเป็นธาตุ ธาตุในโลกนี้มีอยู่ 6 ชนิด มีอยู่ 6 อย่าง อันประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ และวิญญาณ ทั้ง 6 ธาตุนี้ เราต้องรู้ชัด และพรากออกทั้งหมดในความเป็นพระอรหันต์
ก็คือ อนุปาโย อนปาโย อัปปฏิพัทโธ วิปปมุตโต วิสังยุตโต วิมริยาทิกเตน ข้าพเจ้าไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัย ไม่พัวพัน พ้นได้แล้ว พรากได้แล้ว ในธรรมนั้นๆ ธรรมนั้นๆ ก็คือ ถ้าลำดับที่แล้วก็คือ อุปาทานขันธ์5 ที่เกิดทุกเรื่อง เกิดที่ตา เกิดที่หู เกิดที่จมูก เกิดที่ลิ้น เกิดที่กาย เกิดที่จิต เราอาศัยอยู่ แล้วก็พรากออก
พอมาถึงธาตุทั้ง6 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ วิญญาณ ในตัวเรามี ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ วิญญาณอยู่ เราก็ต้องไม่ยินดี ไม่ยินร้าย พรากออกทั้งหมด พรากออกทั้งหมด การพรากออกทั้งหมดนี้กระทำได้ด้วย การกระทำฌานเท่านั้น เป็นไปตามหลักการในมหาสติปัฏฐานสูตร หรือโพธิปักขิยธรรมเท่านั้น
ทำอย่างอื่นไม่ได้ นั่งสมาธิ เดินจงกรม นั่งฌาน เดินธุดง สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม 3วัน 5วัน 7วัน ใดๆไม่ได้ทั้งสิ้น ต้องกระทำอยู่ในขณะที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต หรือใจของเรา ดำเดินอยู่ในชีวิตนี้ เท่านั้น ต้องทำตลอดเวลาทำฌาน ต้องทำฌาน
เมื่อทำในธาตุทั้ง 6 แล้ว ก็ต้องทำที่อายตนะทั้ง6 ก็คือทำที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่จิต ต้องทำฌาน ต้องเป็นผู้รู้ ทุกข์เกิดที่ตาเพราะตาดู ทุกข์เกิดที่หูเพราะหูฟัง ทุกข์เกิดที่จมูกเพราะจมูกได้กลิ่น ทุกข์เกิดที่ลิ้นเพราะลิ้นได้รับรส ทุกเกิดที่กายเพราะสัมผัส ทุกข์เกิดที่จิตเพราะรับรู้เรื่องราวใดๆ
เมื่อเกิดขึ้นแล้ว อาศัยแล้ว รู้คุณ รู้โทษแล้วก็ต้องพราก พรากออกด้วยการกระทำฌาน อนุปาโย อนปาโย อัปปฏิพัทโธ วิปปมุตโต วิสังยุตโต วิมริยาทิกเตน ต้องทำตลอดเวลา อันข้าพเจ้าไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัย ไม่พัวพัน พ้นได้แล้ว พรากได้แล้วในธรรมนั้นๆ เกิดที่ไหนพรากที่นั้น ทำฌานออกทั้งนั้น
เมื่อกระทำตามลำดับแล้ว บุคคลผู้นี้ เป็นผู้ที่ได้ชื่อว่ามีศีลสังวร ศีลของพระศาสดา อันประกอบไปด้วย จุลศีล 26 ข้อ มัชฌิมศีล 10 ข้อ และก็ มหาศีล 7 ข้อ 26 10 7 ข้อนี้ ต้องกระทำตามศีลของพระองค์ท่าน ต้องปฏิบัติตามข้อธรรมทั้งหมดทั้งมวลที่ตนเองได้พหุสัจจมาแล้ว ได้ฟังมาแล้ว ก็ต้องทำ
มีศีลสังวร อินทรีสังวร ศีลทั้งหมดต้องปฏิบัติ แล้วเพื่อละออก อินทรีย์สังวร ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต เราเห็นทุกข์เกิดขึ้น แล้วก็ทำความดับ นั่นเรียกว่าสังวร กระทำด้วยการกระทำฌาน ไปตามลำดับ
เมื่อศีลสังวรแล้ว โภชเนมัตตัญญุตา ก็คือการดำเนินชีวิตของพวกเรา อยู่ในตลอดชีวิตนี้ ต้องรู้จักประเมิณประมาณ ธัมมัญญุตา อัตถัญญุตา อัตตัญญุตา มัตตัญญุตา กาลัญญุตา ปริสัญญุตา ปุคคลัญญุตา 7 อาการต้องมีในชีวิตเรา ต้องดำเนินอยู่ นี้คือขั้นตอนที่เรียกว่า โภชเนมัตตัญญุตา
แล้วหลังจากนั้นก็ต้อง ชาคริยานุโยคะ พรากความเป็นโยคะ4 กามโยคะ ภวโยคะ ทิฏฐุโอคะ อวิชชาโอคะ ออกจากตน ออกจากตน กาม คือกามทั้งหมด ภวะ คือภพทั้งหมด ทิฏฐุ คือความเห็นที่ผิดทั้งหมด อวิชชาโอคะ ความไม่รู้ทั้งหมดต้องพรากออก เรียกว่า ชาคริยานุโยคะ
ในชาคริยานุโยคะนี้ พระศาสดาได้แสดงเอาไว้ ในฉวิโสธนสูตรนี้เอาไว้ด้วย พระองค์ท่านจะแสดงเอาไว้ว่า ก็ข้าพเจ้าประกอบด้วยศีลขันธ์ของพระอริยะเช่นนี้ คือ ประกอบด้วยอินทรียสังวรของพระอริยะเช่นนี้ และประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ ของพระอริยะเช่นนี้แล้ว จึงได้พอใจในเสนาสนะอันสงัด คือ ป่าไม้ โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ บนภูเขา ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง
ข้าพเจ้าได้กลับมาจากบิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแล้ว ข้าพเจ้านั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นไว้เฉพาะหน้า ละอภิชฌาในโลกแล้ว มีใจปราศจากอภิชฌาอยู่ ชื่อว่า ได้ชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์จากอภิชฌา
ละความชั่วคือพยาบาทแล้ว เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาท อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์ และภูตอยู่ จึงได้ชื่อว่าข้าพเจ้าได้ชำระจิตของตน ให้บริสุทธิ์จากความชั่วคือพยาบาท
ละถีนมิทธะ เป็นผู้มีจิตปราศจากถีนมิทธะแล้ว มีอาโลกสัญญา มีสติสัมปชัญญะอยู่ ชื่อว่าได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ
ละอุทธัจจกุกกุจจะแล้ว เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบภายในอยู่ ชื่อว่าได้ชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะ
ละวิจิกิจฉา เป็นผู้ข้ามความสงสัยเสียได้ ไม่มีปัญหาอะไรในอกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ชื่อว่าได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉาแล้ว
นี่คือละนิวรณ์5 การละนิวรณ์นั้น5 จะต้องกระทำโดยการกระทำฌานเท่านั้น
ครั้นข้าพเจ้าได้ละนิวรณ์ 5 ประการนี้ อันเป็นเครื่องทำให้ใจเศร้าหมอง(ให้จิต)เศร้าหมองแล้ว อันเป็นเครื่องทำให้กำลังของปัญญา ทุรพล หรือถอยลงแล้ว จึงได้สงัดจากกาม วิวิจเจวะ จึงได้สงัดจากอกุศลธรรม วิวิจจะ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ เข้าปฐมฌาน อันมีวิตก มีวิจาร มีปีติ และสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ นี่ฌาน1
ได้เข้าทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งใจภายใน มีความเป็นธรรมอันเอกผุดขึ้น เพราะสงบวิตก และวิจาร ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติ และสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ นี่คือฌานที่2
ได้เป็นผู้วางเฉย เพราะหน่ายปีติ มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย เข้าตติยฌาน (ตอนนี้เข้าสู่ฌานที่3) ที่พระอริยะเรียกข้าพเจ้านั้นได้ว่า เป็นผู้วางเฉย มีสติ อยู่เป็นสุขอยู่
หลังจากนั้นก็ได้เข้าสู่จตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆได้ มีสติบริสุทธิ์อยู่ด้วยอุเบกขา
พระอรหันต์นะนี่ ผู้ที่ประกาศตนว่า ตนเป็น ขีณา ชาติ วุสิตัง พรหมจริยัง กตัง กรณียัง นาปรัง อิตถัตตายาติ ปชานาติ ข้าพเจ้ารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
ต้องทำอยู่ตามลำดับ ต้องประกอบด้วยิวิชชาและจรณะ พระศาสดามีอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น พระศาสดาเป็นอรหันต์อย่างไร เราก็เป็นอรหันต์อย่างนั้น อาตมากำลังชี้ให้พวกเราดูว่า ฌาน กับความเป็นอยู่ในปัจจุบันของพระอรหันต์ กระทำอยู่ตลอดเวลา กระทำอยู่ตลอดเวลา รู้มาตามลำดับ ตามที่อาตมาได้แสดงในฉวิโสธนสูตรนี้ให้กับพวกเราได้รับฟัง
ในท้ายที่สุด การละนิวรณ์5 คือการละสังโยชณ์10 ย่อลงเป็นนิวนณ์5 ย่อลงต่ำที่สุดคือ อกุศล3 คือโลภ โกรธ หลง เป็นธรรมอันเดียวกัน ต้องละด้วยการกระทำฌานเท่านั้น
ดังที่อาตมาได้แสดงในข้อ176 เมื่อซักครู่นี้ ครั้นข้าพเจ้าละนิวรณ์5 อันเป็นเครื่องกระทำให้ใจเศร้าหมอง ทำให้ปัญญาทุรพลแล้ว หรือถอยกำลังแล้ว จึงได้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน เข้าทุติยฌาน เข้าตติยฌาน เข้าจตุตถฌาน อยู่ตามลำดับ
ต้องกระทำอยู่ตามลำดับในปัจจุบันนี้ ทุกขณะ ในขณะที่มีชีวิตอยู่นี้ และที่สุด ทุกคนต้องทำ แม้นาทีสุดท้ายของชีวิต ดังที่อาตมาได้แสดงให้กับพวกเราได้ดูแล้วว่า องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะกำลังจะปรินิพพานนั้น ท่านพระอานนท์ได้ถามท่านพระอนุรุทธะว่า ตอนนี้พระศาสดาปรินิพพานหรือยัง
ท่านพระอนุรุทธตอบว่ายัง พระศาสดากำลังเข้าฌานอยู่ เข้าฌาน1 ฌาน2 ฌาน3 ฌาน4 เข้า อากาศ วิญญาณ อากิญจัญญา เนวสัญญานาสัญญา เข้าไปสู่สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วหลังจากนั้นก็ถอยย้อนกลับลงมา ไปจนถึงฌาน1 แล้วหลังจากนั้นจึงเข้าไปฌาน1 ฌาน2 ฌาน3 ฌาน4 แล้วก็ปรินิพพาน ต้องทำทุกคน ต้องทำทุกคน ไม่ใช่ทำเฉพาะพระพุทธเจ้า ทุกคนต้องทำ อาตมาก็ทำ ปวงญาติของอาตมาทุกตนต้องทำเรื่องนี้
ไม่มี เรื่องอื่นไม่มี นั่งสมาธิ นั่งฌาน เดินจงกรม เดินธุดงค์ สวดมนต์ อ้อนวอนใดๆไม่มี ไม่มี ให้ทุกคนมั่นใจว่า การกระทำฌานเท่านั้น คือการปฏิบัติการกระทำเพื่อความดับทุกข์ ทั้งหมดทั้งมวลในโพธิปักขิยธรรม หรือที่แสดงเอาไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร อยู่ที่ข้อสุดท้าย
อาตมาได้ชี้ให้ดูว่า ฌานนั้น จะต้องกระทำอยู่ในชีวิตปัจจุบันนี้ ทุกขณะของพระอรหันต์ ขอให้ทุกคนได้ใสใจในเรื่องนี้ให้ดี เพื่อจะกระทำตนให้รู้จริง แทงตลอดในธรรมมาเป็นลำดับ ได้ถือตนเป็นผู้ฟังธรรมเนืองๆ จำติดปาก จำขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ
แล้วเราจะถึงอานิสงส์ 4 ประการ แล้วจะบรรลุอจินไตย4 มาตามลำดับ ต้องรอก่อน ต้องกระทำก่อน หรือถ้าใครรู้ตามธรรมนี้แล้ว ก็ให้ถือว่ารู้ อย่าดูถูกตัวเอง อย่าดูหมิ่นตัวเอง รู้ก็ต้องรู้ว่ารู้ ไม่รู้ก้ต้องรู้ว่าไม่รู้ และต้องกระทำตนให้สมควรแก่ธรรม ตามลำดับ ต้องเพิ่มฐานะแห่งอินทรีย์ของตนขึ้นตามลำดับ
อนุโมทนากับทุกคนเอาไว้เท่านี้
แสดงธรรมโดย หลวงพ่อ พุทธปัญโญ
วันอาทิตย์ที่ 6 เดือน มิถุนายน ปี 2564
อ้างอิง https://youtu.be/6B7VDX_BDmU

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา