21 พ.ค. 2022 เวลา 11:10
พระไตรปิฎก ไม่ใช่ตำราเรียน
เพื่อความถ้วนรอบในธรรม ลำดับต่อไปนี้อาตมาจะแสดงธรรมหัวในข้อธรรมว่า พระไตรปิฎกไม่ใช่ตำราเรียน ไม่ได้รวบรวมเพื่อการศึกษาแต่อย่างใด โดยอาตมาได้อาศัย มหาปรินิพพานสูตรข้อ154-155 พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่10 เป็นที่ตั้ง เพื่อแสดงธรรมนี้ ขอพวกเราได้รับฟังไปตามลำดับเถิด
ในเรื่องของพระไตรปิฎกไม่ใช่ตำราเรียน ไม่ได้รวบรวมขึ้นเพื่อการศึกษาแต่อย่างใดนี้ สืบเนื่องจากปวงญาติของอาตมา ได้เกิดความสงสัยในธรรมว่า เพราะเหตุใดเมื่อบุคคลผู้หนึ่งผู้ใด เข้าไปศึกษาพระธรรมคำสอนในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกแล้ว จึงไม่สามารถรู้จริง ไม่สามารถแทงตลอดในพระธรรมคำสอนนั้นๆ จนเป็นที่ถ้วนรอบได้ จนเป็นเหตุให้เกิดความเป็นมิจฉาทิฏฐิ และกล่าวตู่พระธรรมคำสอน ในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่โดยทั่วไป
ในเรื่องนี้ อาตมาต้องตอบให้กับพวกเราได้รับฟังร่วมกันดังนี้ว่า องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ไม่เว้นแม้กระทั้งสมณะโคดม พระองค์สุดท้ายนี้ ทุกๆพระองค์นั้น ไม่เคยดำริ ไม่เคยคิด ไม่เคยสังการ ให้ใคร กระทำการรวบรวม พระธรรมคำสอนของพระองค์ท่าน เป็นบทพยัญชนะ เป็นพระไตรปิฎกเลย ไม่มีเลย ไม่มีแม้ซักพระองค์เลย
นั่นเป็นเพราะว่า พระธรรมคำสอนนี้
คัมภีรา ทุททสา ทรนุโพทา สันตา ปณีตา อตักกาวจรา นิปุณา ปัณฑิตเวทนียา
ลึกซึ้ง เห็นตามได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต คาดเดาไม่ได้ ละเอียดสุด บัณฑิตพึงรู้แจ้งได้ด้วยตนเอง นี่คือคุณสมบัติแห่งธรรมนั้น
2
ดังนั้นถ้าเมื่อเขียน หรือรวบรวมพระธรรมคำสอนเป็นพระไตรปิฎกแล้ว เนื้อความแห่งธรรม จะปรากฏที่เป็นสภาวะที่นิ่ง เงียบ ซักถามตอบทวนถามอะไรไม่ได้อีกเลย จะมีสภาวะเท่านั้น จะมีสภาวะอยู่นิ่งๆเงียบๆ ถ้าเมื่อเราสงสัยเราจะถามพระไตรปิฎกก็ถามไม่ได้ จึงเกิดการตีความ ถ้าเมื่อเราอ่านจบแล้ว พระไตรปิฎกเห็นว่าเราอ่านจบแล้ว ก็ไม่ได้ จะถามว่าท่านรู้เองเห็นเองแล้วใช่มั้ย จึงวางพระไตรปิฎกลงเช่นนั้น ทำไม่ได้
1
นี่คือความเบื้องต้น เป็นเหตุให้พระศาสดาทุกๆพระองค์ ท่านทุกๆพระองค์นั้น มีขีดความสามารถในการจาลึกอักษรเขียน จารนัยอักษรไม่ด่อยกว่าใครในโลก แต่ท่านไม่ทำ เพราะไม่ใช่เหตุ ใช่ปัจจัย ที่จะรู้ตามธรรมตามพระไตรปิฎกได้นั่นเอง ไม่มีเลย
ดังนั้นในกรณีที่พระไตรปิฎกได้อุบัติขึ้นในโลกนี้ อาตมาได้แสดงให้กับพวกเราได้รับฟังแล้ว แล้วพวกเราลองมาฟังซ้ำอีกทีหนึ่ง
ในสมัยที่ท่านพระมหากัสสปะ เดินทางไปจารีกประกาศธรรมในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงเมืองปาวา ขณะนั้นท่านพระมหากัสสปะได้เห็นอาชีวกคนหนึ่ง ถือดอกมณฑารพ เดินทางมาจากเมืองกุสินารา จึงได้ถามข่าวถึงองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทราบชัดว่า บัดนี้องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว 7วันแล้ว ล่วงเข้าวันนี้วันที่7 แล้ว
ข่าวนี้แพร่สะพัดไปในหมู่สงฆ์รวดเร็ว สงฆ์ผู้เป็นพระเสขะ เป็นผู้หลุดพ้นจากความทุกข์ จากการสูญเสียนี้แล้ว ก็ทรงสภาพอยุ่ได้ เป็นปกติ
แต่สงฆ์ที่เป็นอเสขะนั้น ยังไม่ก้าวล่วงสภาวะแห่งการสูญเสียนี้ ก็เกิดการโศกเศร้าเสียใจ ร้องห่มร้องไห้กลิ่งเกลือก จากสภาวะนี้พระสุภัททะ ซึ่งรวมมาในคณะท่านพระมหากัสสปะนี้ด้วย ได้กล่าวขึ้นว่า
มาโสจิตถะ มาปริเทวิตถะ สุมุตตามะยัง เตนะมหาสมเณนะ อุปัททูทตาจะ โหมะ อิทังเตกัปปะติ อิทังเตนะกัปปะตีติ อิทานิ ปะนะมะยัง ยัง อิจฉิสสามะ ตังกะริสสามะ อิจฉิสสามะ ตังนะกริสสามาติ
อย่าเลยอาวุโส พวกท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย บัดนี้ พวกเราได้พ้นดีแล้ว ด้วยว่ามหาสมณะนั้นได้เบียดเบียนพวกเราอยู่ว่า สิ่งนี้ควรแก่เธอ สิ่งนี้ไม่ควรแก่เธอ ก็บัดนี้ พวกเราปรารถนาสิ่งใด เราจะทำสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใดเราจะไม่ทำสิ่งนั้น
คำกล่าวนี้ท่านพระมหากัสสปะได้ยินด้วยตัวเอง แต่ไม่สามารถที่จะพูด หรือว่าอะไรให้ใครได้ แม้พระสุภัททะ จึงได้เก็บความโศกสลดนี้เอาไว้ แล้วชวนหมู่สงฆ์กลับ สู่เมืองกุสินารา แล้วจัดการพิธีพระศพในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนเป็นที่บริบูรณ์
หลังจากนั้นเมื่อเหตุการพร้อม ท่านก็ได้รวบรวมเอาเอตทัคคะต่างๆ อาทิท่านพระอานนท์ ท่านพระอุบาลี ท่านพระโสณะ กุฏิกัณณะ และอรหันตสาวกอีกจำนวน100 200รูป ทำการรวบรวมพระธรรมคำสอนในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้น
เพื่อเป็นหลักฐาน ป้องกัน ป้องปราม บุคคลผู้ที่จะกล่าวจาบต่อองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะกล่าวจ้วงต่อพระธรรม จะกล่าวจาบจ้วงต่อพระภิกษุสงฆ์ในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างพระสุภัททะนี้
ด้วยเหตุนี้เท่านั้น ท่านไม่ได้รวบรวมด้วยเหตุผลว่า เมื่อเรารวบรวมพระธรรมคำสอนในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนเป็นที่ถ้วนรอบ จนเป็นที่บริบูรณ์แล้ว จะมีผู้หนึ่งผู้ใดมาอ่านมาศึกษา แล้วจะรู้ตามธรรมนี้ได้โดยง่าย จะปฏิบัติตามธรรมนี้ได้โดยง่าย จะพ้นทุกข์จากวัฏสงสารด้วยธรรมนี้ได้โดยง่าย ท่านไม่ได้มีเจตนาดังนี้
ดังนั้น พระไตรปิฎกที่เกิดขึ้น ที่ปรากฏอยู่นี้ จากเหตุผลที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์ไม่ดำริ ไม่รวบรวม และท่านพระมหากัสสปะ ก็ไม่ได้รวบรวมเพื่อเป็นตำราเรียน เพื่อเป็นการศึกษาแต่อย่างใด
จึงทำให้ เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดเข้าไปอ่าน ไปศึกษาพระธรรมคำสอนในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกแล้ว จึงไม่สามารถรู้จริง ไม่แทงตลอด ในพระธรรมคำสอนนั้นๆจนเป็นที่ถ้วนรอบได้ จนเป็นเหตุให้เกิดความเป็นมิจฉาทิฏฐิ และกล่าวตู่พระธรรมคำสอนในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่โดยทั่วไป
1
หลักฐานที่1หลักฐานที่1ที่ชี้ให้ดูว่า หมู่มวลชาวพุทธเรา ไม่สามารถรู้จริง ไม่สามารถแทงตลอด ในพระธรรมคำสอนที่ปรากฏได้นั้น หลักฐานที่1 คือ หมู่มวลชาวพุทธทราบชัดว่า ธรรมที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นคือปฏิจจสมุปบาท
นำมาประกาศก็เป็นธรรมที่ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาทนี้ เพื่อให้หมู่มวลมนุษยชาติได้รู้ตาม ได้ปฏิบัติตาม ทั้งๆที่รู้เช่นนี้ ศรัทธาด้วยความบริสุทธิใจเช่นนี้ เมื่อเข้าไปศึกษาแล้วก็ไม่สามารถที่จะรู้จริงในปฏิจจสมุปบาทนั้นได้ ไม่รู้จริงได้
หลักฐานที่ดูได้ง่ายที่สุดคือ เมื่อไม่รู้จริงในปฏิจจสมุปบาท จะเห็นขันธ์5 เป็นร่างกายมนุษย์ ขันธ์5 ถูกแยกเป็นรูปกับนาม ขันธ์5 ถูกประกาศว่า เป็นธาตุ4 ขันธ์5 ไปอีกต่างหาก นั่นคือความเห็นผิดประการที่1
ปฏิจจสมุปบาทเป็นแม่บทธรรมหลัก ขันธ์5 เป็นบทธรรมย่อ ธรรม 2 อันนี้ เป็นธรรมอันเดียวกัน เกิดในขณะจิตเดียวกัน เพราะเป็นธรรมอันเดียวกัน ไม่ได้มีอันไหนเกิดก่อนเกิดหลังเลย นี้คือความเห็นผิดประการที่1 ที่มีอยู่โดยทั่วไป
อยากรู้ว่าใครเห็นผิด ใครอธิบายว่า ขันธ์5 คือร่างกายมนุษย์ ขันธ์5 แบ่งแยกเป็นรูปกับนาม นั่นหละ คนนั้นเห็นผิดในปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นธรรมที่แสดง อาการ ลิงคะ นิมิต อุเทส ของจิต ของมโน ของวิญญาณ ดูที่ตรงนี้ ดูที่ตรงนี้ คนนี้เห็นผิดแล้ว อ่านพระไตรปิฎกแล้ว ตีความเอาเอง พระไตรปิฎก หรือเนื้อความแห่งธรรมนั้น ตีความไม่ได้ จะต้องเป็นผู้รู้จริง เท่านั้น นี่เป็นประการที่ 1
ประการที่2 ที่ปรากฏอยู่โดยทั่วไป เราจะเห็นหมู่มวลชาวพุทธของพวกเรา นั่งสมาธิ เดินจงกรม สวดมนต์อ้อนวอน เดินธุดงค์ ประพฤติปฏิบัติการนั่งฌาน ประพฤติปฏิบัติในธรรมที่เป็น 3วันบ้าง 5วันบ้าง 7วันบ้าง หรือแล้วแต่เหตุการณ์บ้าง เหล่านี้ เหล่านี้ คือความเห็นผิดในธรรมของพระศาสดาทั้งสิ้น
การนั่งสมาธิไม่มีในพระสูตร ไม่มีในพุทธศาสนาเลย พระศาสดาไม่เคยประกาศ ไม่เคยแสดง ไม่เคยปฏิบัติ ไม่เคยบัญญัติ การนั่งสมาธิด้วยพระสูตรใดๆเลย ไม่มี อาตมาได้แสดงแล้ว และนี้คือหลักฐานที่หมู่มวลชาวพุทธของพวกเรากระทำความผิดต่อธรรมของพระศาสดาอยู่
พระศาสดาได้ประกาศใน อปริหานิยธรรม7 ว่า
ยาวกีวัญจ ภิกขเว ภิกขู
อัปปัญญัตตัง น ปัญญาเปสสันติ
ปัญญัตตัง น สมุจฉินทิสสันติ
ยถาปัญญัตเตสุ สิกขาปเทสุ สมาทาย วัตติสสันติ วุฑฒิเยว
ภิกขเว ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปริหานิ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุจะไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่ได้บัญญัติไว้แล้ว1
จะไม่ถอดบัญญัติที่ได้บัญญัติไว้แล้ว1
จะสมาทานประพฤติในสิกขาบทที่ได้บัญญัติไว้แล้ว1
ภิกษุนั้นพึงหวังได้ความเจริญเพียงอย่างเดียว ไม่มีความเสื่อมเลยเพียงนั้น ถ้าทำตามธรรมของท่าน
แต่บัดนี้ หมู่มวลชาวพุทธของพวกเรานั้น ได้บัญญัติสิ่งที่พระศาสดาไม่ได้บัญญัติ
ได้ถอนสิ่งที่พระศาสดาได้บัญญัติไว้แล้ว ได้สมาทานประพฤติในสิกขาบทที่ตนได้บัญญัติขึ้นใหม่ อยู่โดยทั่วไป นั่นคือ นั่งสมาธิบ้าง เดินจงกรมบ้าง นั่งฌานบ้าง เดินธุดงค์บ้าง สวดมนต์อ้อนวอนบ้าง หรือแม้กระทั้งร่วมกันปฏิบัติธรรม 3วัน 5วัน 7วันบ้าง เหล่านี้พระศาสดามีพระสูตรห้ามทั้งนั้น เดี๋ยวอาตมาจะแสดงให้ดูไปตามลำดับ
ดังนั้นหลังจากที่พวกเราทั้งหลาย ไม่สามารถรู้จริง ไม่สามารถแทงตลอดในพระธรรมคำสอนได้ แต่เราก็มีศรัทธาด้วยความบริสุทธิ์ใจ ปรารถนาที่จะประพฤติปฏิบัติตามธรรมของพระศาสดา ให้ถึงผลอันเป็นที่สุด คือพ้นจากวัฏสงสาร
แต่เนื่องจากธรรมนี้ ลึกซึ้ง เห็นตามได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต คาดเดาไม่ได้ ละเอียดสุด บัณฑิตพึงรู้แจ้งได้ด้วยตนเอง กำกับอยู่
เลยเป็นเหตุให้หมู่มวลชาวพุทธของพวกเรา ได้เป็นผู้ที่บัญญัติสิ่งที่พระศาสดาไม่ได้บัญญัติ ถอนสิ่งที่พระศาสดาได้บัญญัติเอาไว้ ประพฤติศึกษาในสิกขาบทที่ตนได้บัญญัติขึ้นใหม่อยู่โดยทั่วไป เราทั้งหลายจึงได้แต่ความเสื่อม ไม่ได้ความเจริญเลย อยู่เพียงนี้
ดังนั้นอาตมากำลังแสดงให้พวกเราได้รับทราบว่า พระไตรปิฎกนี้ไม่ใช่ตำราเรียน ไม่ได้รวบรวมขึ้นเพื่อให้เป็นการศึกษา สืบค้นความรู้แต่อย่างใด แต่เหตุการณ์นี้ ลำดับต่อไปนี้ อาตมาจะชี้ให้ดูว่า เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก
อาตมาชี้ให้พวกเราได้ดูเลยว่า หลังจากที่ อรหันตสาวกได้รวบรวมพระไตรปิฎแล้ว ทุกๆรูป ทุกๆนามที่เป็นอรหัตสาวก ได้ดับขันธปรินิพพานไปแล้ว อาตมายังไม่เห็นผู้หนึ่งผู้ใด ที่สามารถจะรู้จริง จะแทงตลอด ในพระธรรมคำสอนในพระไตรปิฎกนั้นจนถ้วนรอบได้เลย ยกเว้น ยกเว้น บุคคลที่อาตมาได้รู้ได้เห็นนี้เท่านั้น นอกนั้นไม่มีเลย
อาตมาไม่ได้ข่มขู่ ไม่ได้หักล้าง อาตมายินดีให้พิสูจน์ ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใด สามารถที่จะรู้จริงแทงตลอด ในพระธรรมคำสอนในพระไตรปิฎกได้เลย อาตมาได้เห็นแต่บุคคลผู้เดียวเท่านั้น มีผู้เดียวเท่านั้น ที่เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยในชาติปางก่อน
บุคคลผู้นี้เป็นผู้ที่ โสตานุคตานัง ภิกขเว ธัมมมานัง ฟังธรรมนี้มาก่อนเนื่อง
วจสา ปริจิตานัง จำธรรมนี้จนติดปาก
มนสานุเปกขิตานัง จำธรรมนี้จนขึ้นใจ
ทิฏฐิยา สุปปฏิวิทธานัง แทงตลอดด้วยดี ด้วยทิฏฐิในธรรมนี้มาก่อน
บุคคลผู้นี้เท่านั้น จึงสามารถรู้จริง จึงสามารถแทงตลอดในพระธรรมคำสอน ในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่อรหันตสาวกแสดงให้แก่กันและกันฟัง อยู่ในพระไตรปิฎกนี้ได้ มีบุคคลผู้นี้เท่านั้น เหตการณ์นี้เกิดขึ้นแล้วในโลก เป็นครั้งแรกด้วย ที่มีคนสามารถรู้จริงแทงตลอดตามธรรมในพระไตรปิฎกได้
นั่นเป็นเพราะว่า โดยเวลาล่วงมา ด้วยกาลนานนับชาติ นับกัป นับอายุของการเวียนเกิดเวียนตายไมได้ เหตุปัจจัยที่บุคคลคนนี้ฟังธรรมเนื่องๆ จำติดปาก จำขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ ได้เกิดอานิสงส์ขึ้นในประการที่2
ประการที่1 ระลึกธรรมขึ้นได้เอง บุคคลคนนี้ทำไม่ได้ บุคคลคนนี้ได้รับอานิสงส์ประการที่2 คือ เมื่อฟังอรหันตสาวกแสดงธรรมในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้แก่บรรดาอรหันตสาวกด้วยกันฟังอยู่ บุคคลผู้นี้รู้ตามธรรมนี้ได้ บุคคลผู้นี้เท่านั้น ที่สามารถอ่านหรือรู้ตามธรรมในพระไตรปิฎกได้ถ้วนรอบ
บุคคลที่3 ที่ฟังเทวบุตรแสดงธรรมก็รู้ไมได้ อ่านพระไตรปิฎกไม่ได้
บุคคลที่4 ผู้รู้ตามธรรม ที่มีผู้รู้มาบอก ก็อ่านพระไตรปิฎกไม่ได้ เป็นบุคคลผู้ที่2 เท่านี้
ผู้ที่ได้รับอานิสงส์ประการที่2 นี้เท่านั้น ที่สามารถรู้ตามธรรมในพระไตรปิฎกนี้ได้ถ้วนรอบ
นั่นเป็นเพราะว่า บุคคลคนนี้ เป็นบุคคลผู้ที่ฟังธรรมนี้มาก่อนเนื่องๆ ได้จำติดปาก ได้จำขึ้นใจ ได้แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ เธอมีสติหลงลืมเมื่อกระทำกาละ เธอย่อมเข้าสู่เทพนิกายหมู่ใดหมู่หนึ่ง บทแห่งธรรมนั้นไม่ปรากฏแก่เธอหรอก คนที่2
แต่เมื่อเธอได้ฟังธรรมที่อรหันตสาวก ได้แสดงธรรมแก่เทพบริษัทอยู่ หรือภิกษุผู้มีฤทธิ์แสดงธรรมแก่หมู่มวลภิกษุอยู่ เมื่อเธอได้ฟังแล้ว ก็รู้ว่า อ่อนี่คือธรรมที่เราได้เคยประพฤติปฏิบัติมาในกาลก่อน ผู้นี้เท่านั้นผู้เดียว ผู้เดียว มีผู้เดียวเท่านั้น อาตมาตรวจสอบด้วยจิต ด้วยกำลังแห่งจิตไปทั่วโลกแล้ว มีบุคคลผู้นี้ผู้เดียวเท่านั้น ที่จะสามารถรู้จริงแทงตลอดในธรรมนี้ได้
ดังนั้น เมื่ออาตมาได้รู้ได้เห็นดังนี้ จึงได้กระทำหน้าที่แห่งตน ตามเหตุตามปัจจัย ตามสำควร ได้บอกพวกเราได้รับทราบว่า ข้อที่พวกเราสงสัยว่า เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดเข้ามาอ่าน มาศึกษาพระธรรมคำสอน ในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกแล้ว
เพราะเหตุใดท่านเหล่านั้นจึงไม่รู้จริง ไม่แทงตลอดในพระธรรมคำสอนนั้นๆจนเป็นที่ถ้วนรอบได้ จนเป็นเหตุให้เกิดความเป็นมิจฉาทิฏฐิ และกล่าวตู่พระธรรมคำสอนในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่โดยทั่วไป
ตอบได้เลยว่า ท่านเหล่านั้น ไม่เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยในชาติปางก่อน ไม่เป็นผู้ฟังธรรมมาก่อนเนืองๆ ไม่เป็นผู้จำติดปาก ไม่เป็นผู้จำขึ้นใจ ไม่เป็นผู้แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ ท่านเหล่านั้นจึงไม่ได้รับอานิสงส์ 4 ประการ และไม่ได้ความเป็นอจินไตร 4 ประการ นั้นด้วย จึงไม่สามารถรู้จริง ไม่สามารถแทงตลอดในธรรมนั้น
และได้อาตมาได้ชี้ให้พวกเราดูว่า มีบุคคลเพียงเดี่ญวเท่านั้น ที่ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยในชาติปางก่อน ที่อาตมาได้รู้ได้เห็นอยู่ เพียงคนดียวนี้เท่านั้น ที่รู้จริง ที่แทงตลอดในธรรมคำสอนนี้ จนเป็นที่ถ้วนรอบได้
อาตมาจะรับผิดชอบในส่วนนี้กับปวงญาติ เป็นเบื้องต้นก่อน หรือถ้าแม้เหตุปัจจัยประชุมพร้อมกัน จะมีผู้หนึ่งผู้ใดมาร่วมรับฟังธรรมนี้ด้วย ก็นั่นหมายถีงว่าผู้หนึ่งผู้ใดเหล่านั้น เป็นบุคคลผู้ที่ได้รับอานิสงส์ จากการที่กระทำการฟังมาก่อนใน 4 ประการนั้นเช่นเดียวกัน จึงได้รับอานิสงส์ตามมา
1
บอกให้กับพวกเราได้รับทราบตามนี้ แล้วลำดับต่อไปนี้เราค่อยมาแก้ใข หรือมาช่วยกันกระทำงานของพระศาสดา ให้เป็นไปตามเจตจำนงของพระองค์ท่าน ให้เป็นไปตามลำดับ ประกาศธรรมของพระองค์ท่าน ตามธรรมที่อรหันตสาวกได้ประกาศธรรมของพระศาสดาในพระไตรปิฎก แล้วเราจะได้ช่วยหมู่มวลมนุษยชาติของพวกเรา ไปตามหน้าที่ ตามกำลัง
รับทราบเถิด รับทราบเถิดว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก
อนุโมทนากับทุกคนเอาไว้เท่านี้
แสดงธรรมโดย หลวงพ่อ พุทธปัญโญ
วันจันทร์ที่ 7 เดือน มิถุนายน ปี 2564
1

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา