22 พ.ค. 2022 เวลา 13:40

พระไตรปิฎก กับ การนำพรหมชาลสูตร มาเป็นบทนำพระสูตรทั้งปวง

เพื่อความถ้วนรอบในธรรม ลำดับต่อไปนี้อาตมาจะแสดงธรรมในหัวข้อธรรมว่า พระไตรปิฎก กับ การนำพรหมชาลสูตร มาเป็นบทนำพระสูตรทั้งปวง โดยอาตมาได้อาศัย พรหมชาลสูตร พระสูตรที่1 ข้อที่1 จากพระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่9 เป็นที่ตั้ง เพื่อแสดงธรรมนี้ ขอพวกเราได้รับฟังไปตามลำดับเถิด
ในเรื่องของพระไตรปิฎก กับ การนำพรหมชาลสูตร มาเป็นบทนำพระสูตรทั้งปวงนี้ โดยลำดับที่ผ่านมาอาตมาได้แสดงธรรม ในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กับพวกเราได้รับฟัง มาตามลำดับแล้วว่า องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ไม่เว้นแม้กระทั่งองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณะโคดมนี้
ไม่มีพระองค์ใดดำริ หรือคิด หรือสังการ ให้ใครกระทำการรวบรวมพระธรรมคำสอน ในพระองค์ท่านเป็นบทพยัญชนะ เป็นพระไตรปิฎกเลย นั่นเป็นเพราะว่า พระธรรมคำสอนของพระองค์ท่านั้น มีคุณสมบัติที่ ลึกซึ้ง เห็นตามได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต คาดเดาไม่ได้ ละเอียดสุด บัณฑิตพึงรู้แจ้งได้ด้วยตนเอง
จากคุณสมบัติแห่งธรรมนี้ พระธรรมคำสอนจึงเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์เท่านั้น อนุสาสนีปาฏิหาริย์คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพร่ำสอนอย่างนี้ว่า
ท่านจงตรึกอย่างนี้ อย่าได้ตรึกอย่างนั้น
ท่านจงทำในใจอย่างนี้ อย่าได้ทำใจในใจอย่างนั้น
ท่านจงละสิ่งนั้น จงเข้าถึงสิ่งนี้แล้วอยู่
นี้คืออนุสาสนีปาฏิหาริย์
ประกอบด้วยองค์3 คือ
1 ศรัทธา หรือ ศาสดา
2 พระธรรม
3 ผู้ฟัง
องค์ประชุม 3 นี้คืออนุสาสนีปาฏิหาริย์
จะต้องเกิดจากมี ศาสดา มีพระธรรม มีผู้ฟัง เท่านั้น
ดังนั้นองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่ดำริ ไม่เคยสังการ ให้ใครกระทำการรวบรวมพระธรรมคำสอนท่าน เป็นบทพยัญชนะ เป็นพระไตรปิฎกเลย ทุกๆพระองค์
แล้วมูลเหตุของการเกิดขึ้นของพระไตรปิฏกนั้น อาตมาได้แสดงให้กับพวกเราได้รับฟังแล้วว่า เกิดขึ้นเพราะอรหันตสาวกที่มีนามว่า พระมหากัสสปะ ซึ่งบุคลท่านนี้ หรืออรหันต์องค์นี้ องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กับชับ ต่อพระภิกษุสงฆ์ของพระองค์ท่านในรูปอื่นๆว่า ถ้าใครจะกระทำการอันใดที่ยิ่ง ขออย่าให้ยิ่งเกินท่านพระมหากัสสปะนี้ นั่นแสดงว่า ท่านพระมหากัสสปะนี้ จะทำอะไรนั้นจะทำยิ่งกว่าใครอยู่
ดังนั้นเมื่อเราได้ทราบคุณสมบัติส่วนตัวของท่านพระมหากัสสปะว่าเป็นบุคคลที่ยิ่งแล้วหนิ เหตุการณ์เกิดขึ้นของพระไตรปิฎกเกิดขึ้นก็เพราะท่านพระมหากัสสปะ โดยเกิดขึ้นที่ สาเหตุอยู่ที่ ขณะที่ท่านพระมหากัสสปะนั้นเที่ยวจาริกประกาศธรรมในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ประมาณ 500 รูป ไปถึงเมืองปาวา
ขณะนั้นได้เห็นชีวกคนหนึ่ง ถือดอกมณฑารพเดินทางมาจากเมืองกุสินารา ท่านพระมหากัสสปะได้ข่าวถึงองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากอาชีวกคนนั้น ได้ทราบว่าบัดนี้ล่วงเข้าเป็นวันที่7 แล้ว ที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไป
ข่าวนี้ได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว หมู่สงฆ์ที่เป็นพระอเสขะบุคคล ก็สามารถข้ามพ้นความทุกขเวทนานี้ได้ แต่พระเสขะบุคคล ยังไม่สามารถข้ามพ้นเวทนานี้ได้ ก็ร้องไห้กลิ้งเกลือกเสือกสนไปมา
อากัปกิริยาที่ปรากนั้น พระสุภัททะซึ่งอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย ได้กล่าวขึ้นว่า
มาโสจิตถะ มาปเรเทวิตถะ สมุตตามะยัง เตนะมหาสมเณนะ อุปัททูทตาจะ โหม อิทังเตกัปปติ อิทังเตนะกัปปตีติ อิทานิ ปนมะยัง ยัง อิจฉิสสามะ ตังกริสสามะ ยังนะอิจฉิสสามะ ตังนะกริสสามาติ
อย่าเลยอาวุโส พวกท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย ก็บัดนี้ พวกเราได้พ้นดีแล้ว ด้วยว่า มหาสมณะนั้นได้เบียดเบียนพวกเราอยู่อย่างนี้ว่า สิ่งนี้ควรแก่เธอ สิ่งนี้ไม่ควรแก่เธอ ก็บัดนี้ พวกเราปรารถนาสิ่งใด เราจะทำสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใดเราจะไม่ทำสิ่งนั้น
เนื้อความแห่งคำกล่าวนี้ ท่านพระมหากัสสปะได้ฟังด้วยตัวเอง ได้เกิดความสลดสังเวชใจ แต่ไม่สามารถที่จะว่ากล่าวตักเตือนใดๆต่อพระสุภัททะได้ ได้เก็บความในใจนี้เอาไว้ แล้วนำหมู่สงเดินทางกลับเมืองกุสินารา จัดการพิธีพระศพ ในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนเป็นที่บริบูรณ์
แล้วหลังจากนั้น คำกล่าวของพระสุภัททะก็ยังอยู่ในจิตของท่านพระมหากัสสปะ ท่านจึงได้รวบรวม อรหันตสาวกที่เป็นเอตทัคคะต่างๆ อาทิเช่น
ท่านพระอานนท์เป็นผู้ยิ่งพระสูตร
ท่านพระอุบาลี เป็นผู้ยิ่งในพระวินัย
ท่านพระโสณะ กุฏิกัณณะ เป็นผู้มามาคอยซักถามสอบถ้วนสอบถาม
และอรหันตสาวกทั้งหมดทั้งมวลร่วมกัน กระทำการสังคายนาพระธรรมคำสอนในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ประกาศตลอดพระชนชีพ 45ปี 45พรรษานั้น เป็นบทพยัญชนะ เป็นพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกจึงเกิดขึ้น
แต่เกิดขึ้นเพราะ ทำไว้เป็นหลักฐาน ป้องกัน ป้องปราม บุคคลผู้ที่จะกล่าวจาบจ้วง ต่อองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ต่อพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธเจ้านั่นเป็นสำคัญ
ไม่ได้กระทำการรวบรวม เพื่อเป็นบทพยัญชนะนี้ เพื่อเป็นตำราเรียน หรือตำราศึกษา ให้ใครมาศึกษาเหล่าเรียนแล้วรู้ตามธรรมได้โดยง่าย ปฏิบัติตามธรรมเพื่อพ้นทุกข์ได้โดยง่าย ไม่ใช่เรื่องนั้นเลย พระไตรปิฎกจึงเกิดขึ้น
แล้วทีนี้มาดูว่า เพราะเหตุใดท่านพระมหากัสสปะ หรือหมู่สงฆ์ที่เป็นอรหันตสาวกนี้ จึงนำเอาพรหมชาลสูตร มาเป็นบทต้น มาเป็นบทนำพระสูตรทั้งปวง เรามาดูกัน อาตมาจะอ่านพรหมชาลสูตรบางส่วน ให้กับพวกเราได้รับฟัง เพื่อคงเนื้อความแห่งธรรมด้วย แต่บางส่วนอาตมาจะใช้วิธีอธิบายสรุปเพื่อความไม่เนิ่นช้า เรามาเริ่มต้นกันดังนี้
พรหมชาลสูตร ข้อ1
ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค เสด็จดำเนินทางไกลระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาฬันทา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป แม้สุปปิยปริพาชกก็ได้เดินทางไกล ระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาฬันทา พร้อมด้วยพรหมทัตตมาณพผู้อันเตวาสิก
ได้ยินว่าในระหว่างทางนั้น สุปปิยปริพาชก กล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย ส่วนพรหมทัตตมาณพอันเตวาสิกของสุปปิยปริพาชกนั้น กลับกล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย อาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองนั้น มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรงฉะนี้ เดินตามพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไปข้างหลังๆ ลำดับนั้น
แม้ขณะที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับแรมระหว่างทาง สุปปิยปริพาชกและอันเตวาสิกก็ประทับแรมที่1 ในบริเวณใกล้กันนั้นด้วย ระหว่างทางด้วย ก็เหตุการณ์ยังเกิดอยู่เหมือนเดิม สุปริยปริพาชกนั้น ก็กล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ส่วนพรหมทัตตมาณพผู้เป็นอันเตวาสิกนั้น ก็ยังกล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์อยู่
จากเหตุการณ์นี้ เมื่อเดินทางถึงที่หมายแล้ว สุปปิยปริพาชกกับอันเตวาสิกคือพรหมทัตตมาณพ ก็เดินทางแยกไป พอถึงที่หมายแล้วหมู่สงฆ์ขององค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นำเรื่องนี้มากล่าววิพากษ์วิจารณ์กัน องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาได้รับฟังเข้า เป็นเหตุให้องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แสดงธรรมให้กับหมู่พระภิกษุสงฆ์ของพระองค์ท่านได้รับฟังว่า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม
ติพระสงฆ์ ก็ตาม เธอนั้นไม่ควรอาฆาต ไม่ควรโทมนัสน้อยใจ ไม่ควรแค้นใจในคนเหล่านั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคือง หรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นเป็นแน่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคือง หรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น เธอทั้งหลายจะพึงรู้คำที่เขาพูดถูก หรือคำที่เขาพูดผิดนั้น
ละหรือ?
ภิกษุเหล่านั้นก็ทูลรับคำขององค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพระองค์ก็ตรัสต่อว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรกล่าวแก้ให้เห็นโดยความไม่จริงว่า นั่นไม่จริง เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าคนพวกอื่นจะกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลายก็ไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจในคำชมนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นเป็นแน่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือชมพระสงฆ์ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริง เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาได้ในเราทั้งหลาย ดังนี้
นี่คือประการที่1 ที่เป็นเหตุให้ท่านพระมหากัสสปะนั้น ได้รวบรวมพระธรรมคำสอนในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้น และได้นำเอาพระสูตรที่ชื่อว่าพรหมชาลสูตรนี้ มาเป็นเบื้องต้น เพื่อเชื่อมโยงจากคำกล่าวจาบจ้วงของพระสุภัททะนั่นเอง
พระสุภัททะนั้นกล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์ เป็นเอนกอยู่เช่นเดียวกัน ดังนั้นถ้าใครจะกล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์ องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศเอาไว้ว่า
ในคำที่เขากล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์นั้น เธอควรกล่าวแก้ให้เห็นเป็นจริงว่า นั่นไม่จริง เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ เพราะเหตุนี้ นั่นไม่มีในเราเพราะเหตุนี้ และแม้คำนั้นก็หาไม่ได้ในเราเพราะเหตุนี้
ต้องแก้ ไม่ใช่ปล่อยปะละเลย ท่านพระมหากัสสปะได้ทำหน้าที่ตรงนี้ และนำเอาพระสูตรนี้มาขึ้นเป็นเบื้องต้น นี่ประการที่1 หรือในประการเดียวกัน ในกรณีที่เขาชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บอกลำดับแล้ว
และในคำที่เขากล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือชมพระสงฆ์นั้น ในคำที่เขากล่าวชมนั้น เธอควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริง เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ เพราะเหตุนี้ นั่นก็มีในเรา เพราะเหตุนี้ และแม้คำนั้นก็หาได้ในเราทั้งหลาย เพราะเหตุนี้
ผู้เป็นหมู่สงฆ์ ที่เป็นผู้รู้ยิ่งแล้ว เช่นท่านพระมหากัสสปะ ท่านได้ทำหน้าที่ตรงนี้ ในคำที่เขากล่าวติท่านก็แก้ ในคำที่เขากล่าวชมท่านก็กระทำการแล้ว โดยนำเอาพระสูตรต่างๆมาประกาศ นี่คือเหตุประการที่1 ที่เป็นเหตุให้ท่านพระมหากัสสปะได้นำเอาพรหมชาลสูตร มาเป็นเบื้องต้นพระสูตรทั้งหมดทั้งมวล
อีกประการหนึ่งเกิดขึ้นเพราะว่า องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แสดงทิฏฐิของคนในสมัยนั้น จำนวน 62 ทิฏฐิ คือมีความเห็นต่างๆในการดำเนินชีวิต ในการกระทำการเพื่อตนเองจะได้พ้นทุกข์ใน 62 อาการ
50 อาการแรกนั้น เป็นอาการของผู้ที่เชื่อว่า โลกนี้เที่ยง คือมีการเวียนเกิด เวียนแก่ เวียนเจ็บ เวียนตาย มีการสืบสันตติอยู่ 50 นัยยะ
อีกนัยยะที่2 คือผู้ที่เชื่อว่า ตายแล้วสูญเป็นอุจเฉททิฏฐิ นัยยะนี้มีอยู่ 7 นัยยะ เชื่อว่าตายแล้วขาดสูญไปเลย นี่ประการที่2
ประการที่3 นั้น เชื่อว่าสามารถทำปรินิพพานในขณะที่มีชีวิตอยู่นี้ได้ อาการนี้มีอยู่ 5 อาการ
50 อาการนี้เชื่อว่า เวียนเกิดเวียนตาย
อีก 7 ประการเชื่อว่าคายแล้วขาดสูญ
อีก 5 อาการเชื่อว่าปรินิพพานได้
ในทิฏฐิ 60 ทิฏฐินี้ เป็นทิฏฐิที่กระทำแล้วไม่ถึงผล แม้แต่ทิฏฐิเดียว เป็นเหตุให้องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประกาศว่า ตยิทัง ภิกขุ ฉันนัง ผัสสายตนานัง สมุทยัญจ อัตถังคมัญจ อัสสาทัญจ อาทีนวัญจ นิสสรณัญจ ยถาภูตัง ปชานาติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ผู้รู้เหตุเกิด รู้เหตุดับ รู้คุณ รู้โทษ รู้อุบายเครื่องออกจากผัสสายตนะทั้ง6 ตามความเป็นจริง ภิกษุนั้นเป็นผู้รู้ยิ่งกว่าสมณะพราหมณ์เหล่าอื่นทั้งหมด เหล่าอื่นที่มีความเห็นอยู่ 62 อาการนั้น รู้ไม่จริง
แต่คนที่รู้ตามธรรมของพระศาสดา คือ รู้เหตุดับ รู้คุณ รู้โทษ รู้อุบายเครื่องออกจากผัสสายตนะทั้ง6 ตามความเป็นจริงนี้เท่านั้น เป็นผู้รู้ยิ่งกว่าสมณะเหล่านั้น หรือกว่าใครทั้งหมดทั้งมวล ต้องรู้ในเรื่องนี้
นี่คือเหตุปัจจัยประการที่2 ที่ทำให้ท่านพระมหากัสสปะ ได้นำเอาพรหมชาลสูตรมาเป็นเบื้องต้น หรือมาเป็นนำของพระสูตรอื่นๆทั้งหมดทั้งมวล
และองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้อุปมาเอาไว้ว่า สมณพราหมณ์เหล่าอื่นทั้งหมดนั้น ถูกทิฏฐิ 62 อย่างเหล่านี้ ครอบงำอยู่ ประดุจข่ายปกคลุมไว้ อยู่ในข่ายนี้เอง เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในข่ายนี้ ติดอยู่ในข่ายนี้ ถูกข่ายปกคลุมไว้ เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในข่ายนี้
เปรียบเหมือนชาวประมงหรือลูกมือชาวประมงผู้ฉลาด ใช้แหตาถี่ๆทอดลงยังหนองน้ำอันเล็ก เขาคิดอย่างนี้ว่า บรรดาสัตว์ตัวใหญ่ๆในหนองนี้ทั้งหมด ถูกแหครอบไว้ อยู่ในแห เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในแห ติดอยู่ในแห ถูกแหครอบไว้ เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในแห ฉันใด
นั่นหมายถึงว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าอื่นที่มีความคิด มีความดำริ มีความกระทำการเพื่อความพ้นทุกข์ เขาไม่มีญาณเฉพาะตนอันบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว จะกระทำความพ้นทุกข์ไม่ได้ มีวิธีนี้วิธีเดียว คือวิธีที่ รู้เหตุดับ รู้คุณ รู้โทษ รู้อุบายเครื่องออก รู้ผัสสายตนะทั้ง6 ตามความเป็นจริงนี้เท่านั้น นั่นคือรู้อริยสัจ4 คือรู้ทุกข์ รู้สมุทัย รู้นิโรธ รู้มรรค เท่านั้น
ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือ เหตุที่ท่านพระมหากัสสะปะ ได้นำเอาพรหมชาลสูตร มาเป็นเบื้องต้นพระสูตร เพื่อเป็นผู้นำพระสูตรอื่นๆ อีกจำนวน 25 เล่ม พระสูตรนี้เป็นพระสูตรที่1
หลังจากนั้นเมื่อท่านพระอานนท์ได้ฟังธรรมนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้ทูลถามว่า พระธรรมนี้ชื่ออะไรพระเจ้าข้า องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสว่า ให้ชื่อว่าอรรถชาละก็ได้ ธรรมชาละก็ได้ พรหมชาละก็ได้ ทิฏฐิชาละก็ได้ หรือ ตำราพิชัยสงครามอันเยี่ยมยอดก็ได้
นี่คือเหตุที่ท่านพระมหากัสสะปะ ได้นำเอาพรหมชาลสูตร มาเป็นบทนำของพระสูตรอื่นๆทั้งหมดทั้งมวล ในพระไตรปิฎก
อนุโมทนากับทุกคนเอาไว้เท่านี้
แสดงธรรมโดย หลวงพ่อ พุทธปัญโญ
วันอังคารที่ 8 เดือน มิถุนายน ปี 2564

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา