24 พ.ค. 2022 เวลา 07:02 • ปรัชญา
๕./๕ กายส่วนกาย จิตส่วนจิตต้องแยกจากกัน ปัญญารู้จักเรื่องราวของกรรม
สิ่งที่ไหลออกมาจากกายคนตาย
ครูยาอาจารย์ แนะนำสนทนาให้ฟัง เรื่องราวของบุญกุศล
วันนี้เป็นวันหนึ่ง ได้ความรู้ ความชัดเจนเรื่องราวต่างๆ ที่ท่านอธิบายมา ให้รู้เรื่องราวต่างๆ เรื่องราวของตัวเองมากขึ้น เรื่องกรรมเรื่องเวรนั้นแหละ ไม่มีเรื่องอะไร เค้าก็พูดกันอยู่เรื่อง แค่นี้
การทำอะไรต่างๆก็เราไม่มีผู้แนะนำ ชี้นำ เราก็ทำแบบที่ปู่ย่าตายาย เค้าทำ ที่ปลายแล้ว แต่ต้นๆเค้าไม่เอามา เพราะมันยืดยาด ชักช้า เค้าเอามา..พ่อแม่สมัยใหม่ ก็เลยทำกัน ไม่ได้บุญได้กุศล ได้กายก็ไม่ได้ ใจก็ไม่ได้
แต่ทำกันลอยๆ พอเกิดมาใหม่ ก็จะได้ทรัพย์สินเงินทอง ก็ไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว พอได้มาก็ลอยไปอีก เพราะความมั่นคงของการกระทำบุญ เป็นเรื่องหลักของกาย จิตของเราก็ไม่ได้บุญอันนั้น จนเก็บเงินเก็บทองไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ได้มาเท่าไหร่ ก็ใช้กันหมด แล้วใช้กันไม่เป็นประโยชน์ให้แก่ตัวเอง ใช้ไปในเรื่องราวของกรรม
จะเห็นว่าคนสมัยนี้ ใช้เรื่องเงินเรื่องทอง หามาก็ยากลำบาก แต่ก็ใช้ไปในเรื่องของกรรมซะ ไม่มีบุญ ไม่มีทาน จิตของเรา ก็แคบ อะไรนิดอะไรหน่อยก็มีความโมโหกัน ทำร้ายซึ่งกันและกันเกิดขึ้น โลกมันก็ไม่อะไรมากนอกจากเรื่องเหล่านี้ เท่านั้นแหละ
ชีวิต..เค้าก็อธิบายเรื่องราวเหล่านี้ ให้เราฟัง เราก็จะเข้าใจเพิ่มขึ้น เรื่องการศึกษาอะไรต่างๆ ก็ดีเราก็ได้รับความรู้มาว่า สิ่งนี้เป็นเรื่องที่เราศึกษา ต้องรู้ เราก็เรียนให้ได้รู้จักเค้า
ต่อไปเราก็ ..ไม่ต้องรู้จักกันอีก ไม่ต้องข้องแวะกันอีก เดี๋ยว..บอกว่า..เอ๊ะ..ข้าพเจ้ารู้แล้ว ทำไมมันยังมีมาอีก ก็มันยังไม่หมดชาติ หมดเรื่องราวต่างๆ ของเรา เราก็ต้องคลี่คลายกันไปอย่างนี้ เพราะมีความระมัดระวัง ความรู้มันก็เพิ่มขึ้น เหมือนกับครั้งนี้ เราได้ไปประสบการณ์มา
แล้วต้องมีอีกมั้ย มี..มันก็ปัญญา มันก็เกิดขึ้น ก็รู้เรื่องราวอะไรต่างดีขึ้น เข้าใจมากขึ้น กับสิ่งที่มา..ที่ไปเป็นยังไง นี่แหละ คนที่จะเรียนหนีกรรม เค้าก็ต้องรู้จักกรรมก่อน พอรู้จักแล้ว ก็อุปโลกน์ขึ้นมา ..มันก็ไม่รู้จักที่แท้จริง มันก็หลงอยู่อย่างนั่นแหละ
นั้น คือ สิ่งที่เราต้องขวนขวายให้แก่จิตของเรา การกระทำ ที่ท่านก็พูดออกมาอยู่ คำหนึ่งว่า ทำอย่างนี้ จิตมันกว้างขวางขึ้น กว้างขวางมันก็รู้จัก เรื่องราวต่างๆ ดีชั่วมากขึ้น จิตแคบมันก็ไม่รู้จัก ทุกข์ก็ไม่รู้จัก สุขก็ไม่รู้จัก ก็อยู่กันไปอย่างนี้ จนกว่าจะหมดชีวิต
..ทำไปเถอะ แล้วเราก็จะได้ความรู้เรื่องราวต่างๆ อ้อ..เดี๋ยวนี้ไม่ไหวแล้วน่ะ สังขารก็ไม่มีอะไร เค้าก็ได้บุญได้บารมีเพิ่ม ที่รับใช้ ผู้สูง หรือ จิตสูงๆนี่ ก็ได้ปัญญาบารมีเพิ่มขึ้น
แต่นี่แหละเรื่องราวเหล่านี้ โยมอาจจะสงสัยกันว่า เอ๊ะ ..ท่านจะเป็นผู้สำเร็จ เป็นผู้มีธรรม ในวันข้างหน้า ท่านไม่ได้ใช้ฤทธิ์ใช้เดชอะไร
เพียงแต่ว่า การที่นำแสงของธรรม หรือ การที่..กำจัดเรื่องราว ที่อยู่ในไสยศาสตร์ ตัวกระทำอะไรๆต่างๆ ออกจากายของเราไปเท่านั้น ไม่ใช่เป็นฤทธิ์เดชอะไร เดี๋ยว..จะบอกว่า เอ๊ะ..ทำท่าทำทาง เหมือนมีเดช..ไม่ใช่ น่ะ เป็นกิริยาหนึ่ง ซึ่ง..นึกว่า..หรืออีกภาพหนึ่งของท่าน แต่จิตมามันคนละท่าทางที่เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นจะไปดูข้างนอกไม่ได้ ต้องดูการกระทำสิ่งที่ไหลออกไป ที่เค้าไหลมาให้เรา เราก็สังเกตสังกาดู ที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง ที่ปรากฏขึ้นภายในกาย ภายในจิตของเรา แล้วจิตของเราเป็นยังไงต่อไป ไม่ใช่ว่าพอนั้น..ปุ๊บ..รู้เลย ก็ต้องไปฝึกไปปฏิบัติ แล้วก็จะรู้เรื่องราวเหล่านี้ เพิ่มขึ้นว่า เออ..สิ่งที่เห็นเป็นฤทธิ์เป็นเดช กลายเป็นธรรมไปหมด นี่ก็ให้ศึกษากันต่อไปน่ะ
เออ..ฉันก็มาอยู่แค่นี้แหละ วันนี้ ฉันก็มาช่วย ภิกษุนี้เหมือนกัน ไม่ใช่ก็ เดี๋ยว..จะทนไม่ค่อยไหว เพราะแสงที่มามากเกินเหตุที่ ที่จะรับได้ เลยมาบรรเทาให้นิดหน่อย นั้นแหละ ที่จริงว่าจะไม่ยอกหรอกน่ะ ภิกษุเค้าก็ฟื้นเร็วขึ้น นั้นแหละ การที่ปรารถนาดี ใจดีเกิดขึ้น ก็ดีแล้วล่ะ ก็เป็นเรื่องที่เป็นธรรมทั้งนั้น ไม่ได้เป็นกรรม จิตก็กว้างขึ้นดีขึ้น
การเดินทางก็ให้มีความปลอดภัย การประพฤติปฏิบัติ ก็ให้มีจิตมั่นคงในธรรม สิ่งใดที่เป็นอุปสรรค ขอให้แสงรัตนะ ตัดจากเรื่องราวต่างๆ ได้เป็นผู้ที่หนุนนำในศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สืบต่อไปน่ะ
ให้ทำให้มากๆ สิ่งที่เรา นึกไม่ได้ ก็พยายาม เรียนรู้ แล้วทำความเข้าใจให้ได้ สาธุ สาธุ สาธุ ให้เดินทางด้วยความปลอดภัย สุขะโต โหตุ สาธุ สาธุ สาธุ
โฆษณา