25 พ.ค. 2022 เวลา 14:24 • ความคิดเห็น
เหตุเกิดบนรถเมล์
สองทุ่มแล้ว ผมขึ้นรถเมล์แถวมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อจะกลับบ้านที่ท่าเตียน
คนบนรถเมล์แน่นจนเบียดเสียด
ผมยืนโหนราวอยู่กลางรถเหมือนถูกใครจับโยนไปมา เพราะคนขับไม่บันยะบันยังบึ่งไปอย่างรีบเร่ง เบียดซ้ายป่ายขวา จนสาวๆ หลายคนในรถส่งเสียงหวีดร้องออกมาเบาๆ ตามจังหวะความหวาดเสียว
ผมสันนิษฐานว่า ผู้โดยสารไม่กล้าส่งเสียงหวีดร้องเต็มที่ คงเพราะกลัวไอ้คนขับรถจะได้ยิน
‘ชะ ชะ คนขับแบบนี้ คงไม่ปกตินักหรอก ยิ่งมีคนหวาดกลัว ใช่ว่ามันจะเพลาเท้าที่เหยียบคันเร่ง แต่กลับจะตะบี้ตะบันขับให้หวาดเสียวมากกว่าเดิม มันคงภูมิใจถ้าคนโดยสารร้องหวีดออกมาด้วยความกลัว’ ผมนึกในใจ
จังหวะเดียวกันที่รถหักออกทางซ้ายอย่างกะทันหันเพื่อหลบมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจนผมและผู้โดยสารอื่นต้องใช้มือเกาะราวจนแน่น ผมมองเห็นท้ายรถเมล์เฉียดมอเตอร์ไซค์ที่มีลุงแก่ๆคนหนึ่งเป็นคนขับนิดเดียว ผมท่องในใจ ‘นะโม นะโม’
พอผมเหลือบมองบนรถ เห็นคุณป้าวัยกลางคน ที่นั่งอยู่ข้างผม แกดึงเอาพระที่ห้อยคอออกมาหลับตาทำท่าพนมมือสวดอะไรงึมงำ พอรถฉวัดเฉวียนทีหนึ่ง ตาแกก็เบิกโพลงขึ้นทีหนึ่งเหมือนเห็นผี แล้วก็หลับตาสวดต่อ ผมอดไม่ได้เผลอตัวขำออกมาเบาๆ แต่แล้วก็ต้องกลับไปเกร็งข้อมือที่จับราวโหนอีก เมื่อรถเลี้ยวเข้าวงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
รถเมล์ที่แล่นมาเร็ว เข้าจอดที่ป้ายอนุสาวรีย์ เสียงเบรคลมดัง ฟืด…ฟืด…ยาวๆ คนบนรถที่ไม่ระวังต่างหัวคะมำไปตามกัน
เมื่อรถเมล์จอดสนิท คนบนรถรีบร้อนลงจากรถกว่าครึ่ง มีเสียงพึมพำเดาว่าเป็นเสียงด่าทอเมื่อลงจากรถแล้ว
ผมเดาว่าคนที่ลงไปบางคนลงไปก่อนที่จะถึงจุดหมายก็คงมี ผมมองดูป้าคนหนึ่งจูงหลานลงจากรถอย่างกับหนีใครมา พอพ้นประตูรถปุ๊บ แกหันมามองบนรถสบตากับผมที่มองแกอยู่พอดี แววตาแกดูหดหู่เหมือนกับจะบอกผมเป็นลางร้ายว่า ‘ไปดีนะไอ้หลานชาย’
แต่ชะตาผมคงยังไม่ถึงฆาตใจผมชื้นขึ้นมาเมื่อคนขับตีนผีลงไปจากรถ คนขับคนใหม่ขึ้นมานั่งประจำที่แทน ผมได้ที่นั่งอยู่ใกล้กับประตูตรงกลาง แต่ตอนนั้นที่นั่งในรถเต็มทุกที่ และมีคนยืนอยู่อีกสามสี่คน ระหว่างนั้นมีชายตาบอดถือไม้เท้าขึ้นมาบนรถ
ผมเหลือบซ้ายแลขวา ด้วยความหวังว่าจะมีใครที่นั่งอยู่สักคนลุกให้ชายตาบอดนั่ง เห็นชายที่นั่งข้างๆ ผม ก็มองคนอื่นไปมาเหมือนที่ผมทำ ชายอายุกลางคนที่นั่งแถวหลังถัดจากผมตะกี้ยังเห็นแกเอาข้าวต้มมัดมากินอยู่เลย แต่ตอนนี้แกก้มหัวลงทำท่าว่าหลับเสียแล้ว
ผมเริ่มนับหนึ่งถึงสิบในใจช้าๆ กะว่าต้องมีใครสักคนลุกให้ชายตาบอดนั่ง แต่นับจนถึงสิบไม่เห็นมีใครแสดงความเป็นสุภาพบุรุษสักคน
ผมบอกตัวเอง ‘แล้วกัน! คงเลี่ยงไม่พ้นแล้ว’ ผมลุกขึ้นดึงมือชายตาบอด
“พี่ครับนั่งตรงนี้ได้ครับ” ผมเชื้อเชิญ
“ไม่เป็นไรครับ ผมยืนได้”
“นั่งเถอะครับ ถ้ารถออก เดี๋ยวพี่จะเสียหลักล้มง่ายๆ” ผมคะยั้นคะยอ
“ไม่เป็นไรจริงๆ ผมยืนได้ ถ้าที่นั่งบนรถว่างคุณช่วยพาผมไปนั่งก็พอครับ”
ผมฟังชายตาบอดพูดรู้สึกแปลกใจ เพราะเท่าที่ผมเคยเห็น ไม่มีคนตาบอดสักคนเดียวที่ปฏิเสธเมื่อมีคนสละที่ให้นั่ง
อย่าว่าแต่คนตาบอดเลย ที่ผมเคยเห็นเมื่อวานนี้ อาซิ้มวัยสักสี่สิบขึ้นมาบนรถ แกทำท่ารีๆ รอๆ มองหน้าชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่อย่างกับว่ารู้จักกัน แกมองจ้องเขม็งไม่มียางอาย ชายคนนั้นคงทนสายตากดดันของแกไม่ไหวต้องยอมลุกสละที่นั่งให้แก พอได้นั่งเท่านั้นแหละ แกทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีคำว่า”ขอบคุณ”ออกจากปากมาสักคำ
ผมนึกอะไรเพลินๆ พอรถออกจากอนุสาวรีย์ คนขับคนใหม่ที่มาแทนก็สำแดง
ฤทธิ์เดช ขับเร็ว เบียดซ้ายป่ายขวาอุตลุดไม่แพ้คนเดิม จนผมต้องเอื้อมมือไปยึดแขนชายตาบอดไว้เพราะกลัวแกหัวคะมำ แต่แกก็เก่งสมกับที่บอกว่า “ไม่เป็นไร ผมยืนได้” แกโยกตัวไปตามจังหวะที่ตัวรถโคลงเคลงไปมา แต่แล้วผมได้ยินเสียงของแก
“คนขับ! คนขับรถครับ” แกพูดเสียงดังแข่งกับเสียงเครื่องยนต์ที่ครางกระหึ่ม “ช่วยขับรถช้าลง และขับให้ดีๆ ด้วยนะครับ”
ผมเอามือกระตุกแขนชายตาบอด “พี่ เดี๋ยวก็มีเรื่องหรอก” ผมพูดเสียงเขียว
ชายตาบอดยกมือขึ้น เหมือนพระพุทธรูปปางห้ามญาติ “ไม่เป็นไร คุณไม่ต้องกลัว ผมแค่บอกคนขับเท่านั้น ไม่ได้หาเรื่องใคร”
รถเมล์ติดไฟแดงพอดี คนขับหันกลับมามองชายคนที่พูด เขาเห็นไม้เท้าที่ชายคนนี้ถืออยู่
“ผมจะรีบวิ่งรถไปถึงท่าเตียนให้ทันลงชื่อขับกะดึกนะครับพี่ อาจจะขับเร็วบ้างสักนิด” คนขับพูด
“อย่างนี้เอง! แต่พี่ขับช้าลงหน่อยได้ไหม ผู้โดยสารในรถตั้งหลายคนจะได้ไม่ต้องเสี่ยงชีวิต ทุกคนมีภาระ มีคนที่ต้องดูแลกันทั้งนั้น เหมือนกับพี่คนขับนั่นแหละที่ต้องรีบทำรอบเพื่อได้เงินเพิ่มก็เพราะมีภาระที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน
พี่ลองคิดดู หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ถ้าเราเป็นอะไรไป ใครจะต้องเสียใจ แน่ล่ะคนที่รักเราเขาจะต้องเสียใจแน่ แต่ผมว่าเราเองจะเสียใจมากกว่าที่ไม่มีโอกาสดูแลพวกเขาได้อีก ขับช้าลงสักหน่อยก็จะดีครับ” ชายตาบอดพูดเสียงดังจนได้ยินกันทั้งรถ
แต่คนขับรถไม่ตอบอะไร
พอไฟเขียวรถเคลื่อนออกไปอย่างนุ่มนวล ไม่รีบร้อนเหมือนก่อนหน้า ผมรู้สึกโล่งอก คนอื่นในรถก็คงรู้สึกอย่างเดียวกัน เมื่อที่นั่งข้างผมว่าง ผมดึงแขนบอกชายตาบอดให้นั่งลง
พักใหญ่ รถมาจอดป้ายที่สนามหลวงแถวแม่พระธรณีบิดมวยผม ขณะที่ชายตาบอดกำลังเดินลงจากรถ คนขับหันมาพูดขึ้นว่า
“ขอโทษด้วยนะครับพี่ชาย”
ชานตาบอดหันไปทางหน้ารถแล้วพยักหน้าให้ ก่อนที่ใช้ไม้เท้าเคาะที่บันไดรถแล้วเดินลงจากรถไป
ผมมองตามชายตาบอด เห็นแกเดินอยู่ท่ามกลางแสงไฟสลัว ไม่มีทีท่าว่าแกจะกลัวหรือไม่มั่นใจในทุกย่างก้าวที่เดินเลย
อีกสามป้ายจะถึงบ้านของผมที่ท่าเตียน ฉับพลันคำถามหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว
‘ผมจะลงจากรถอย่างมั่นใจ และไม่กลัวอะไรเหมือนกับชายตาบอดคนนั้นได้ไหมนะ?’
โฆษณา