24 พ.ค. 2022 เวลา 15:42 • ปรัชญา
ที่มาที่การสร้างบุญ สร้างกุศล สะสมบุญ สร้างกุศลเกิดขึ้น ให้จิตของเราเข้าใจในบุญ เข้าใจในการประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะหนีกรรม
เรื่องราวของปลายพุทธศาสนา เศรษฐี ชนชั้นกลางไม่ค่อยมาล่ะ คนยากจนเกิดขึ้น เหมือนกับคนหาเช้ากินค่ำ จะมาสร้างบุญสร้างกุศล สร้างบารมี หนีเวรกรรม เป็นขั้นเป็นตอนของเรื่องราวต่างๆ เช่นนี้ ฉะนั้นเรามีโอกาส ที่เค้าให้โอกาสชนชั้นกลาง
เราได้เกิดมาเป็นคนชั้นกลาง ไม่เดือดร้อนนัก ก็ไม่ทุกข์ต่างๆ และไม่สบายนัก ก็ได้มีปัญญาขวนขวายในเรื่องการสร้างบุญเกิดขึ้น แล้วยังสร้างเดินทางไปในแนวทางขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อลดละนิสัยกรรม ให้มาเปธรรมเกิดขึ้น
กิริยาต่างๆที่กระทำ ต้องประจักษ์ ให้เป็นจริงทั้งนั้น เมื่อเรารู้ความจริง เราก็ละสิ่งนั้นไป ไม่ใช่ว่าอุปโลกน์ขึ้นมา ว่า..สิ่งนั้นเป็นไอ้นั้น สิ่งนี้เป็นไอ้นี่ เราก็ไม่รู้ชัด จนกว่าจะรู้ชัดว่า จะมีสิ่งสิ่งที่เป็นจริง แล้วก็เป็นจริงยิ่งขึ้น เมื่อมีตัวกระทำอยู่ในนิมิตร ในการประพฤติปฏิบัติ มันจะมีลักษณะต่างๆ ที่เราจะไม่ไปกระทำสิ่งนั้นอีก นั้นคือ เรื่องราวที่จะแก้ไข นิสัยกรรมของเรานั้นเอง
เหมือนกับ การกิน ..ทุกคนรู้ว่าการกิน กิน..บางคนก็กินมาก บางคนก็กินน้อยอะไรต่างๆ ก็มี..แล้วกินที่มีสมาธิในการกิน มันก็มีตั้งเยอะแยะ คราวนี้ตัวกระทำต่างๆ เนี่ย .. เราจะเห็นรูปร่างของเค้า แต่ละคนๆ แม้แต่กิน..สมาธิกเหมือนกัน กินที่มีจิตรู้จักกิน เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นตัดกระทำแตกต่างกันไป แล้วก็..ถึงแม้จะกินแบบเรียบร้อยก็ดี จิตของเรา ก็ไม่อยากจะมีสังขารที่ต้องมานั่งกิน ที่ต้องมีภาระเกิดขึ้น
คราวนี้จะทำอย่างไร เมื่อมีสังขาร สังขารต้องประกอบด้วยอาหารการกิน เพื่อนำมาเป็นน้ำเลือดน้ำหนอง ที่จะเลี้ยงสังขาร แล้วเราก็ใช้สังขารนั้นเป็น โดยมาทำ ..มาสร้างบุญ สร้างบารมี หนีกรรม แล้วปัญญามันจะเกิดตรงไหนบ้าง
ก็อยู่ที่ตัวกระทำที่ ประจักษ์ในนิมิตร รูปร่างต่างๆ มันจะเปลี่ยน
อย่างนาย ก..เราก็เห็นนาย ก. นั่งกิน อย่างเต็มที่เลย
นาย ข ก็ กินบ้างเล็กๆน้อยๆ แล้วก็ยังมี ..นาย ง. อย่างงี้ นั่งกิน นั่งกินด้วยมีสมาธิในการกิน
..ทั้งสามคนนี่ กิริยาท่าทางเค้า ไม่เหมือนกัน เมื่อกิริยาท่าทาง ไม่เหมือนกัน สามคนก็มีทุกข์ทั้งสามคน แต่ว่า..กายแต่ละคนๆ รูปร่างในการกินไม่เหมือนกัน
จิตเรามีปัญญา เมื่อมีปัญญาเกิดขึ้น เห็นสังขารต่างๆนั้น ก็ไม่อยากจะอยู่ในสังขารนั้นอีกต่อไป เพราะต้องมีภาระในเรื่องการกิน ไม่โลภก็เหมือนโลภ เพราะอะไร ..
เพราะลิ้น ยังต้องการรสชาติตั้งสามอย่างเกิดขึ้น ฉะนั้นเราก็มาศึกษาเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้น ลักษณะการกินต่างๆ ก็จะเปลี่ยนไป ก็เป็น..กินเพื่อประทังสังขาร ไม่ใช่กินเพื่อหิว เพื่อให้มันอิ่ม
แต่ว่า กินเพื่อประทังสังขาร นำสังขาร เพื่อจะหนี กิริยาต่างๆ หรือ เรื่องราวต่างๆที่เป็นกรรม หนีออกมาเพื่อปล่อยวางเรื่องราวต่างๆ แม้แต่กรรมที่มีความสุข กรรมดี..ก็ต้องมีกิริยาท่าทางต่างๆ แต่มันกรรมที่ดี มีความสุขก็จริง ..ต้องเกิดมามีตัวตน ต้องสร้างขึ้นมา มันถึงจะรู้จักคำว่าสุข
คราวนี้ ถ้าเราไม่สร้างเลย ยุติทั้งหมด เหมือน ..คนที่ร่ำรวยแล้วเนี่ย ยุติการทำมาหากิน มาประพฤติปฏิบัติธรรม มาสร้างบุญ สร้างกุศล เรียกว่าพอแล้ว นั้น คือ ความดีของตัวเอง นั้นคือความสุขนั้นเอง แต่ก็..เราจะหยุดได้ทั้งสองอย่าง เราก็ทำความโลภโกรธหลง คือ ทำไม่ดีมา เราก็หยุด ทำดีเราก็หยุด ..
..จะหยุดได้ ก็มาดู เรื่องราวแนวทางขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็เดินตามแนวทางขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งสี่รอยนั้นเอง
นี่คือ ที่มาที่การสร้างบุญ สร้างกุศล สะสมบุญ สร้างกุศลเกิดขึ้น ให้จิตของเราเข้าใจในบุญ เข้าใจในการประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะหนีกรรม
คราวนี้การทำบุญมากๆนี่ต่อไป ทรัพย์สินเงินทองหามาด้วย หยาดเหงื่อแรงกายที่ลำบากลำบนที่เกิดขึ้น กว่าจะได้มา เอามาสร้างบุญสร้างกุศลมากเข้า ด้วยความเต็มใจ แล้วตั้งใจที่จะ สร้างบุญ..เพราะการสร้างบุญ ..ตาถ่ายรูป สิ่งที่เราทำ กิริยาวาจา เค้าก็เกิดขึ้น เมื่อกระทำได้มากเข้า หูของเรา ก็ได้ยินเสียงของเราอนุโมทนาเกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็หนุนนำให้เป็นผู้มีบุญ
เมื่อเป็นผู้มีบุญ ก็เป็นผู้มีปัญญา คนมีบุญก็มีปัญญา รู้จักดีและชั่วเกิดขึ้น ก็หนุนนำให้จิตของเราขวนขวาย จะหาแนวทางที่จะไม่มีกรรมอีกต่อไป ก็เดินทางมาหาพระภิกษุบ้าง อะไรบ้าง เพื่อหาแนวทาง เพื่อจะได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ
แล้วเราก็ก็รู้ทุกข์ที่เกิดขึ้นมาว่า แนวทางที่จะไม่มีทุกข์และสุขนั้น อยู่รอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เรารู้อย่างเดียวก็ไม่ได้ บุญก็หนุนนำให้ รู้จักว่า …
..ถ้ากายนิ่ง นั้นหมายถึง..เราไม่มีกายอีกแล้ว
..จิตเฉย..ไม่มีภาระอะไรอีกแล้ว
..นี่ก็เกิดเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ ไม่ต้องมีกายมาเดินมานั่ง มายืนมานอนอะไรต่างๆอีก ไม่ต้องไปขวนขวายอะไรอีกแล้ว ก็ต้องสะสมไปทีละเล็กทีละน้อย หมั่นกระทำขึ้น
.
วันหนึ่งคืนหนึ่งเราจะบอก ตัวเองว่า เรามีความกตัญญูรู้คุณของคุณบิดามารดา เราก็ต้องบอกว่า จิตของ ข้าพเจ้าอาศัยเรือนกายบิดามารดา ทุกวันๆ จิตของเราจะรู้จัก คำว่า..กายที่แท้จริงขแงเรา ไม่อย่างงั้น ใช้กายของเราล้มละลายไป
ต่อไปจิตของเรา ออกจากสังขาร กายล้มละลาย จิตของเราก็ไม่มีสังขารที่จะใช้ คือ สังขารมนุษย์ เพราเป็นผู้ล้มละลายกายไปแล้ว
..เพราะกายไม่มีบุญเลย แล้วเราจะไปเอาที่ไหน มาใช้ ..แม่ทั้งสี่ของเรา ดินฟ้าอากาศ ก็ไปประกอบเป็นสัตว์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น อาจจะไปอยู่ใน นรกบ้าง เป็นสัตว์บ้าง เกิดมา…เพราเราใช้หายไม่เป็น สุรุ่ยสุร่าย ไปจนหมดเนื้อหมดตัว หมดสังขารไป ที่น่าเสียดาย ที่ได้ทุนมาอันยิ่งใหญ่แล้ว แต่ไปละลายทุนของพ่อแม่ เสียหมดเลย
เพราะฉะนั้นอย่างที่มาสร้างบุญสร้างกุศลในวันนี้ แล้วยังมีการทำให้ กายนั้นเป็น กายที่จะบริสุทธิ์ผุดผ่องเกิดขึ้น ก็คือ กายบุญนั้นเอง นี่แหละ จิตของเราก็จะได้เรื่องบุญอย่างนี้
ขอให้ตั้งอกตั้งใจ ที่กระทำ ทำแล้วขอให้ทำเป็นขั้นเป็นตอน กายให้เป็น..นึกถึงเรื่องราวว่าเราโชคกีหว่าคนอื่นมากมายนัก เรื่องทรัพย์สินเงินทอง เพราะเราไม่ได้สะสมเรื่องราวเหล่านี้มามาก สะสมคำว่า บุญบารมี หนีกรรม เมื่อชาติที่แล้ว สะสมบุญบารมีหนีกรรมมาน้อย
แต่ทรัพย์สินเงินทอง ถ้าเราไปได้มั่งมีศรีสุข เราก็ไม่มีโอกาสที่จะมาทำเยี่ยงนี้ได้ เลยกลายเป็นที่ว่า เคยสะสมบุญบารมีมา กลับไปหลงใหล คำว่าโลภโกรธหลง คือ ยึดทรัพย์สมบัติต่างๆ ไม่ทำบุญไม่สร้างบารมี ก็กลับไปที่เก่า คือ อบายภูมิ เป็นโกฎเป็นกัปป์ ไปอีกนานแสนนาน กว่าจะรู้สึกตัวอีกที ก็นับชาติไม่ได้
โฆษณา